บทนำ
ท่ามกลางไฟสงคราม
หลังการล่มสลายของราชวงศ์ชิง จีนเข้าสู่ยุคสาธารณรัฐโดยมีซุนยัดเซ็นเป็นผู้นำ หากเพียงไม่นานรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการแต่งตั้งก็ถูกบีบให้มอบอำนาจแก่ผู้นำทางทหารหยวนซื่อข่าย ทั้งประเทศระส่ำระสายเนื่องจากการแบ่งแยกขั้วอำนาจของขุนศึกและการรบพุ่งในดินแดนต่างๆ จนแผ่นดินลุกเป็นไฟ
ปี ค.ศ. 1928 รัฐบาลพรรคชาตินิยมก๊กมินตั๋งภายใต้การนำของเจียงไคเช็กขึ้นครองอำนาจ โดยที่ยังคัดง้างกับพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นอีกขั้วการเมืองที่กำลังเติบโตขึ้นมามีอำนาจทัดเทียม หากแล้วการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายก็ต้องหยุดชะงักเมื่อกองทัพญี่ปุ่นเริ่มรุกรานแผ่นดินจีน ทั้งกองทัพก๊กมินตั๋งและกองทัพคอมมิวนิสต์จึงต้องหันมาจับมือกันต่อต้านศัตรูจากต่างชาติ
สงครามจีน-ญี่ปุ่นคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ญี่ปุ่นเข้ายึดดินแดนแมนจูเรียที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งเป็นประเทศแมนจูกัวแยกออกจากแผ่นดินจีนและยกจักรพรรดิปูยี ราชวงศ์ชิงองค์สุดท้ายเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิด ปกครองประชาชนอย่างกดขี่ข่มเหงภายใต้เงื้อมเงาของความหวาดกลัว
หลังสงครามยืดเยื้อยาวนาน ในที่สุดแนวร่วมต่อต้านญี่ปุ่นของกองทัพก๊กมินตั๋งและกองทัพคอมมิวนิสต์ก็มีชัยและสามารถขับไล่กองทัพญี่ปุ่นออกไปจากแผ่นดินได้ในปี ค.ศ. 1945
…แล้วความขัดแย้งของสองขั้วอำนาจที่ถูกกดเอาไว้ในช่วงสงครามกับผู้รุกรานก็กลับปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
บทที่ 1
เบื้องหลังกระจกใส
จิ่นโจว มณฑลเหลียวหนิง เมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์เมืองหนึ่งในดินแดนแมนจูเรีย ตั้งอยู่ไม่ห่างจากทะเล ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงตระหง่าน เป็นศูนย์กลางรถไฟและเศรษฐกิจมาตั้งแต่สมัยโบราณ รุ่งเรืองด้วยอุตสาหกรรมทอผ้าและโรงกลั่นน้ำมัน
หลังเป็นอิสระจากกองทัพญี่ปุ่น จิ่นโจวเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง ชนชั้นสูงซึ่งเคยถูกกดอยู่ใต้อาณัติผู้รุกรานและเก็บงำทรัพย์สมบัติของตนไว้อย่างมิดชิดเริ่มออกมาลงทุนค้าขาย ร้านค้าสองข้างทางคึกคักไปด้วยผู้คน
รถยุโรปราคาแพงลิบซึ่งมีเพียงไม่กี่คันในมณฑลเหลียวหนิงแล่นเข้ามาจอดหน้าร้านอาหารซึ่งหรูหราที่สุดในเมือง ประตูฝั่งคนขับเปิดออก ร่างสูงเพรียวในชุดสูทสามชิ้นสีเทาทับด้วยเสื้อโค้ตสีน้ำเงินเข้มก้าวลงมา ใบหน้าขาวใต้กรอบเส้นผมสีอ่อนจัดทรงเรียบกริบ ดวงตากลมโตรับกับจมูกโด่งรั้น และริมฝีปากอิ่มที่ดูเหมือนกำลังหยักยิ้มอยู่ในทีดึงดูดสายตาทุกคู่ให้เหลียวมอง เมื่อรวมกับเครื่องแต่งกายและท่าทางปราดเปรียวยิ่งทำให้ดูโดดเด่น
เจ้าตัวก้าวยาวๆ อ้อมรถไปเปิดประตูอีกฝั่ง แล้วยื่นมือให้หญิงสาวในเครื่องแต่งกายแบบตะวันตก ควงแขนกันเดินเข้าร้านอาหาร
“หล่อสวยสมกันจริง ใครน่ะ”
หญิงสาวที่เดินอยู่ริมทางเท้าออกปากอย่างชื่นชมก่อนจะหันไปกระซิบถามเพื่อนของตนซึ่งเดินมาด้วย ภาพชายหญิงที่เพิ่งเดินควงแขนกันเข้าร้านอาหารไปนั้นดูหรูหราและนำสมัย เป็นภาพที่เห็นได้ไม่บ่อยนักในเมืองชายขอบอย่างจิ่นโจว
หญิงสาวอีกคนมองตามก่อนจะหันไปตอบ
“คุณชายหลี่เฟยหมิง คุณชายรองบ้านสกุลหลี่อย่างไรล่ะ ตระกูลนี้ร่ำรวยมาก เป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมือง แล้วเห็นว่ายังมีโรงถลุงเหล็กที่เสิ่นหยางด้วย ฝ่ายหญิงดูเหมือนจะเป็นบุตรสาวของบ้านสกุลเว่ยหรือไม่ก็สกุลหวู่ ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอก คุณชายหลี่เปลี่ยนคู่ควงบ่อย มีผู้หญิงสวยๆ อยู่ข้างตัวตลอด”
คนฟังพยักหน้ารับรู้
“คุณชายเจ้าสำราญของสกุลหลี่นี่เอง เคยได้ยินชื่อมานาน เพิ่งจะได้เห็นตัวจริงก็วันนี้”
ผู้ที่ถูกเอ่ยถึงไม่ได้ยินเสียงซุบซิบ ร่างโปร่งควงแขนหญิงสาวข้างกายเดินเข้าไปในห้องโถงเพดานสูง ด้านบนประดับด้วยโคมไฟแชนเดอเลียจากยุโรป ซึ่งในยามกลางคืนจะเปิดไฟให้เห็นแสงระยิบระยับสะท้อนลงบนฟลอร์เต้นรำ แต่ในช่วงกลางวันทางร้านจะจัดโต๊ะเอาไว้รับรองลูกค้าที่มากินอาหาร
ชายหนุ่มขยับเก้าอี้ให้หญิงสาวที่มาด้วยทรุดนั่งตามธรรมเนียมตะวันตก ก่อนจะเดินไปนั่งตรงข้าม รับเมนูจากบริกรมาเปิด
“วันนี้มีอะไรแนะนำบ้างไหม อาซิง”
เขาถามอย่างเป็นกันเอง บริกรซึ่งคุ้นเคยกันดีตอบกลับ “เราเพิ่งได้เนื้อลูกวัวมาเมื่อเช้า คุณชายหลี่จะรับเป็นสเต๊กมีเดียมแบบที่ชอบไหมขอรับ”
“อืม อันนั้นก็ได้” ลูกค้าประจำพยักหน้า เขาเอ่ยถามหญิงสาวที่มาด้วยกันว่าจะรับอะไรแล้วช่วยสั่งอาหารให้ ก่อนจะสะกิดถามบริกรเบาๆ
“มีใครฝากข้อความอะไรให้ฉันไหม”
คนถูกถามครุ่นคิด “ไม่มีนะขอรับ”
บริกรซึ่งเป็นชายหนุ่มวัยเดียวกันเอ่ยตอบโดยไม่มีท่าทางแปลกใจ ร้านอาหารแห่งนี้เป็นจุดนัดพบของชนชั้นสูงในเมืองจิ่นโจว ซ้ำยังขึ้นชื่อเรื่องการบริการ หลายครั้งที่มิตรสหายหรือแม้แต่คู่รักลับๆ จะฝากข้อความไว้กับพนักงานเพื่อให้แจ้งแก่ลูกค้าอีกคน
คุณชายหลี่แอบกระซิบถามเขาไม่ให้คู่ควงได้ยินเช่นนี้ เห็นทีคงกำลังรอข่าวจากหญิงสาวคนอื่น
คุณชายรองสกุลหลี่ขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่าไม่มีข้อความจากคนที่รออยู่ แต่แล้วใบหน้าเรียวก็คลี่ยิ้ม กลบเกลื่อนอาการพิรุธของตนจากสายตาหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม เขาชวนเจ้าหล่อนชิมอาหารจานหรู พูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ก่อนจะจ่ายเงินแล้วลุกออกมาจากร้านเมื่อจบมื้อ
เขาไปส่งคุณหนูตระกูลสูงคนนั้นที่บ้านแล้วจึงค่อยขับรถกลับบ้านของตน หากเพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปที่โถงของคฤหาสน์ทรงยุโรปหลังใหญ่ คนรับใช้ซึ่งรออยู่แล้วก็รีบเข้ามารายงาน
“คุณชายคะ มีทหารมาขอพบค่ะ”
ร่างสูงโปร่งชะงักกึก แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร นายทหารชั้นสัญญาบัตรคนหนึ่งก็เดินตามหลังคนรับใช้ของเขามา ใบหน้านิ่งสนิทนั้นเอ่ยเสียงขึงขังไม่เปิดทางให้ปฏิเสธ
“คุณชายหลี่เฟยหมิง ผมได้รับคำสั่งจากผู้กองหยางเหวินอี้ให้มาเชิญคุณชายไปพบที่กรมครับ ผู้กองมีธุระอยากสอบถาม รบกวนคุณชายช่วยตามผมมาด้วย”
ร่างโปร่งวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ เอนหลังพิงพนักโซฟาตัวยาวบุกำมะหยี่ มองไปรอบๆ ห้องทำงานทึบทึมนั้นด้วยสายตาประเมิน ห้องขนาดย่อมตกแต่งแบบเรียบง่าย มีเพียงโต๊ะทำงาน ตู้หนังสือ และชุดโซฟารับแขก แต่เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นของชั้นหนึ่งราคาแพงระยับ สะท้อนทั้งรสนิยมและฐานะของเจ้าของได้เป็นอย่างดี
“ผู้กองเชิญผมมา มีอะไรเหรอครับ”
เฟยหมิงเอ่ยถามคนที่นั่งพิงพนักโซฟาฝั่งตรงข้าม ร่างสูงในชุดเครื่องแบบสีเขียวแก่วางศอกลงบนเท้าแขนเก้าอี้ ประสานมือมองเขาเงียบๆ ตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในห้องทำงานแห่งนี้ อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ไม่แม้แต่จะยิ้มรับคำทักทาย มีเพียงพยักหน้าให้ลูกน้องซึ่งเป็นคนไป ‘เชิญ’ เขามาจากบ้าน ยกน้ำชามาวาง แล้วก็โบกมือไล่ให้ฝ่ายนั้นออกไปจากห้อง
ใบหน้าเรียวขาวขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดระคนปึ่งชา
หากเป็นคนอื่นมาแสดงกิริยาหยาบเช่นนี้ใส่คุณชายรองแห่งสกุลหลี่ เฟยหมิงก็คงลุกขึ้นเดินออกไปอย่างไม่แยแส แต่เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นกับร้อยเอกหยางซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าได้
สกุลหยางเป็นตระกูลเก่าแก่ที่ทรงอำนาจในจิ่นโจวมาหลายร้อยปี แม้ช่วงที่แมนจูเรียอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นจะต้องเร้นกายซ่อนเขี้ยวเล็บของตน แต่ยามนี้ที่กองทัพก๊กมินตั๋งกลับมาปกครองเมือง และนายพลหยางซึ่งเป็นเจ้าตระกูลขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดประจำจิ่นโจว อิทธิพลของสกุลหยางก็ครอบคลุมไปทั่วทั้งเมือง หลานชายคนเดียวของแม่ทัพใหญ่ผู้นั้นจึงไม่ใช่คนที่ใครจะปฏิเสธได้ง่ายๆ
อีกอย่างเฟยหมิงเองไม่อยากทำตัวเป็นปฏิปักษ์เด่นชัดให้เกิดข้อกังขา โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้สายตาคมกริบของนายทหารหัวหน้าฝ่ายสอบสวนพิเศษซึ่งขึ้นชื่อว่าเยือกเย็นและโหดร้ายที่สุดคนนี้
สงครามกลางเมืองซึ่งเริ่มคุกรุ่นทำให้กองทัพก๊กมินตั๋งที่เพิ่งไล่ต้อนกองทัพคอมมิวนิสต์ให้ถอยร่นไปอยู่ในเขตชนบทต้องเร่งสะสมกำลังพล จำนวนทหารก๊กมินตั๋งในเมืองจิ่นโจวจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับอิทธิพลและอำนาจล้นมือ
‘ฝ่ายสอบสวนพิเศษ’ ซึ่งถูกตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบผู้คนที่น่าสงสัยโดยเฉพาะ สามารถจับกุม ทรมาน หรือประหารชีวิตผู้ต้องสงสัยได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งอนุญาตจากเบื้องบน
หลังจากความเงียบชวนอึดอัด ในที่สุดอีกฝ่ายก็เปิดปากถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“ผมมีเรื่องอยากจะสอบถามคุณชายเกี่ยวกับ ‘ผู้หญิง’ ที่คุณชายคบหาด้วยช่วงนี้น่ะ”
เฟยหมิงฟังแล้วสะดุ้งในใจ เขานึกขอบคุณสติของตนที่ทำให้ยังรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ แกล้งทวนคำเพื่อต่อเวลาหาทางหลบเลี่ยง
“ผู้หญิงที่ผมคบหา? คนไหนล่ะครับ” ใบหน้าขาวเลิกคิ้วแสร้งสงสัย “พอดีช่วงนี้ผมติดต่อกับสาวๆ หลายคนเสียด้วย คงต้องรบกวนผู้กองระบุชื่อเธอให้หน่อย”
เขาถามด้วยน้ำเสียงยียวน คลี่ยิ้มกริ่มของชายเจ้าเสน่ห์ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่คนในจิ่นโจวเห็นจนชินตา เชื่อแน่ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางรู้จักชื่อของ ‘หญิงสาว’ คนนั้น เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้จักชื่อของเธอ ไม่รู้แม้แต่ที่อยู่หรือฐานะอาชีพ จะว่าไปเขาเคยพูดกับเธอเพียงสองสามคำเมื่อเดินไปในที่สมาคมเพื่อกันมิให้คนอื่นผิดสังเกตเท่านั้น
หญิงสาวเป็นคนของ ‘สายงาน’ อื่น เฟยหมิงถูกมอบหมายให้ซ่อนเธอไว้ในกลุ่มหญิงสาวมากมายที่เขาคบหาเพื่อเป็นฉากบังหน้า ด้วยฐานะคู่ควงของคุณชายรองแห่งสกุลหลี่ หญิงสาวจึงไปไหนมาไหนในจิ่นโจวได้สะดวกขึ้นมาก เขาไม่แน่ใจว่าหน้าที่ที่เธอได้รับมอบหมายคืออะไร เดาว่าคงเป็นตัวกลางส่งข้อมูลให้กับกองกำลังใต้ดินที่อยู่ในเขตนอกเมือง
ส่วนเขาเองด้วยตำแหน่งแห่งที่ที่เห็นชัดคงไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก นอกจากคอยอำนวยความสะดวก
คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามวางภาพถ่ายขาวดำใบหนึ่งลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา ดวงตากลมโตมองภาพนั้นแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง ในภาพคือหญิงสาววัยยี่สิบปี สวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนส่งยิ้มบางๆ ให้กล้อง
“เมิ่งอี้หราน นักศึกษาปีสอง คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยพลัดถิ่นจิ่นโจว” ผู้กองหยางเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยแต่กลับทำให้คนฟังเย็นสันหลังวาบ
พวกเขาพบหญิงสาวคนนั้นแล้ว!
เฟยหมิงกลืนน้ำลาย พยายามสะกดอารมณ์หวาดกลัว เขาขมวดคิ้ว หยิบภาพถ่ายขึ้นมาดูใกล้ๆ โดยระงับมือของตนไม่ให้สั่น แกล้งทำเป็นเพ่งมองแล้วก็วางภาพถ่ายลงบนโต๊ะ
“ผมไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ คิดว่าผู้กองคงจะเข้าใจผิดแล้วล่ะ”
“ไม่รู้จักงั้นหรือคุณชายรอง?”
อีกฝ่ายยืดตัวขึ้น ขยับมาจนใกล้เมื่อเอ่ยทวนคำพูดเขาบ้าง “น่าแปลกที่มีคนเห็นคุณควงเธอไปชมภาพยนตร์เมื่อสัปดาห์ก่อน อ้อ แล้วก็ไปเดินเล่นกันแถวกำแพงเมืองด้วย”
พวกเขาถูกจับตามอง?...ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
รังสีคุกคามที่แผ่ออกมาจากดวงตาคมคู่นั้นชวนให้ใจหวั่น แต่คุณชายสกุลหลี่ยังคงรักษาท่าที สมองคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว
ผู้กองหยางไม่ได้สั่งให้กองกำลังทหารในบังคับไปจับกุมตัวเขา แต่กลับให้คนสนิทไปเชิญมาเงียบๆ แสดงว่านี่เป็นเพียงการสันนิษฐาน พวกเขาน่าจะยังไม่มีเบาะแสอะไรมากนัก
เฟยหมิงเชื่อว่าระบบการส่งข่าวสารของกองกำลังใต้ดินมีประสิทธิภาพมากพอที่จะเก็บทุกอย่างหมดจดเกลี้ยงเกลาจนไม่น่าเหลือหลักฐานใดๆ
หญิงสาวที่เขาเพิ่งรู้ว่าชื่อเมิ่งอี้หรานเองก็น่าจะไหวตัวทันหลบหนีไปแล้ว ผู้กองหนุ่มจึงเสี่ยงเรียกตัวเขาซึ่งอยู่ในที่แจ้งมาหลอกถาม
หากไม่มีหลักฐานชัดเจน อีกฝ่ายก็ไม่สามารถกักตัวเขาไว้ได้ อิทธิพลของสกุลหลี่แม้ไม่สามารถคัดง้างกับสกุลหยาง แต่ก็มากพอที่อีกฝั่งจะต้องไว้หน้า ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามกับคุณชายรองอย่างเขาเหมือนกับที่จับกุมชาวบ้านเดินถนนทั่วไป
หากเขาเอาตัวรอดจาก ‘การพูดคุย’ ครั้งนี้ได้ นอกจากตัวเขาจะปลอดภัยแล้ว คนอื่นที่อยู่ในสายงานเดียวกันก็จะรอดตายด้วย
“ผมก็แค่เคยพบเธอที่งานเลี้ยงงานหนึ่ง พูดคุยกันถูกคอก็เลยชวนเธอไปชมภาพยนตร์แล้วก็เดินเล่นเท่านั้นเอง แต่ตอนหลังผมเห็นว่านิสัยเราคงไปกันไม่ได้ก็เลยบอกตัดสัมพันธ์กับเธอ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ยอมรับกับผู้กองเมื่อครู่ ผมเกรงว่าเธอจะเสื่อมเสียน่ะ”
เฟยหมิงเอ่ยขอโทษด้วยสีหน้ารู้สึกผิดจริงจัง แต่อีกฝ่ายกลับคลี่ยิ้มเย็นเอ่ยวาจาสุภาพหากมีเค้าเสียดสี“คุณชายเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้สินะ”
กระดาษปึกหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า ใบหน้าหวานก้มลงมอง มันคือเอกสารโฆษณานโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ “แค่เคยเห็นครับ แผ่นโฆษณานโยบายการปฏิรูปที่ดิน”
หากปฏิเสธไปเสียทุกข้อก็จะดูเป็นพิรุธ เขาจึงใช้วิธีซ่อนเรื่องโกหกในความจริง
“บอกตรงๆ นะ ผู้กอง ตอนนี้ทุกคนในเมืองก็ต้องเคยเห็นเอกสารของพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งนั้น เขตปกครองของพวกนั้นอยู่ห่างจากจิ่นโจวแค่นิดเดียวเอง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมเหรอ”
ผู้กองหนุ่มพยักหน้ารับ “ก็คงจะไม่เกี่ยว หากว่าเอกสารพวกนี้ไม่ได้ซ่อนอยู่ในตัวอดีตคู่ควงของคุณตอนที่เราจับกุมเธอ”
น้ำเสียงอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น
“พร้อมกับข้อมูลแผนที่คลังแสงของกองทัพที่เพิ่งถูกวางระเบิดเมื่อสัปดาห์ก่อน”
ภาพถ่ายอีกภาพถูกยื่นส่งมาตรงหน้า หญิงสาวผู้นั้นปรากฏอยู่ในภาพอีกครั้ง คราวนี้ฉากหลังเป็นห้องมืดทึม ใบหน้าที่งดงามของเธอมองตรงมาคล้ายกับภาพแรก ผิดกันตรงที่มันยับเยิน เต็มไปด้วยรอยช้ำ ดวงตาข้างขวาบวมปิด มีเลือดไหลออกจากจมูกและมุมปาก หากสีหน้ายังคงเรียบเฉยราวกับก้อนหินก้อนหนึ่ง
“ผมต้องขอชมรสนิยมของคุณนะ คุณชาย”
ใบหน้าคมเอ่ยทั้งที่สีหน้ายังคงนิ่งเรียบขัดกับคำพูดเสียดสี “ผู้หญิงคนนี้ทั้งสวยทั้งแกร่ง ถูกทรมานขนาดไหนก็ไม่ยอมปริปากซัดทอดคนอื่น”
“คุณ! นี่คุณทำอะไรเธอ!”
เขาเผลอหลุดการควบคุม ผุดลุกจากเก้าอี้ เอ่ยถามเสียงดัง แต่อีกฝ่ายกลับตอบอย่างสงบ
“ก็ทำตามขั้นตอน ถ้าคุณไม่รังเกียจผมก็อยากจะเชิญไปชมสักหน่อย”
ร่างสูงลุกขึ้น คว้าต้นแขนของเขา ดึงให้เดินออกจากห้อง เฟยหมิงพยายามสะบัดแขนออก แต่มือที่เกาะกุมไว้นั้นแน่นหนาราวกับคีมเหล็ก สุดท้ายเขาจึงได้แต่เอ่ยด้วยเสียงโกรธเกรี้ยว
“นี่คุณจะพาผมไปไหน! ผู้กอง คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ ผมจะเรียนให้ท่านพ่อทราบ!”
ผู้กองหนุ่มหันกลับมาเลิกคิ้ว ไม่แยแสต่อคำขู่
“ไม่ต้องห่วงหรอก คุณชาย ผมจะเรียนให้ท่านอาหลี่ทราบเองว่ารบกวนขอตัวคุณมาช่วยงานราชการสักพัก”
เขาพูดแล้วก็กระชากแขนอีกฝ่าย ดึงให้เดินลงบันไดด้านหลังตามมาถึงอาคารอีกหลัง อาคารนี้อยู่ไกลจากอาคารกรมทหาร ตัวตึกสองชั้นทรงยาวก่ออิฐฉาบปูนแบบเรียบๆ มีหน้าต่างเพียงไม่กี่บาน เพียงแค่ดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นสถานที่สำหรับทำสิ่งใด
เฟยหมิงถูกลากแขนเข้าไปภายในตึกที่มืดสนิท อีกฝ่ายผลักเขาเข้าไปในห้องเล็กห้องหนึ่ง ความมืดทึมทำให้เขามองเห็นเพียงเงาตะคุ่มๆ หากจมูกกลับได้กลิ่นคาวเลือดคละกับกลิ่นปฏิกูลชัดเจนจนต้องกลั้นหายใจ จนกระทั่งสายตาเริ่มปรับจนชิน เขาจึงเห็น ‘สิ่ง’ ที่กองอยู่บนพื้น
“เธอ?”
เขาอุทาน รู้สึกว่าร่างสั่นสะท้าน หญิงสาวที่งดงามคนนั้นกลายสภาพเป็นสิ่งที่แทบจะเรียกไม่ได้ว่ามนุษย์ ชายหนุ่มทำท่าจะวิ่งเข้าไปดูอาการ แต่มือของใครอีกคนที่อยู่ด้านหลังกลับคว้าเอาไว้
“สายไปแล้วล่ะ เพิ่งสิ้นใจเมื่อครู่นี้เอง นับว่าโชคดี”
เสียงไม่ยินดียินร้ายนั้นทำให้สติของเฟยหมิงขาดผึง เขาหันกลับไป เสยหมัดใส่ใบหน้าราบเรียบนั้น
“แกมันสัตว์นรก! เธอเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเองนะ!”
หากอีกฝ่ายกลับเบี่ยงหลบได้อย่างง่ายดาย ซ้ำยังคว้าข้อมือเขา บิดกลับไปด้านหลังเพื่อไม่ให้ขยับตัวทำร้ายตนได้อีก
“ผมเพียงทำตามหน้าที่ คุณชายหลี่ คุณควรรู้ว่าเมื่อก้าวลงไปสู่เส้นทางนั้นแล้ว ผลลัพธ์เช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นได้ เธอพ้นเคราะห์ไปแล้ว ผมว่าคุณห่วงตัวเองดีกว่า”
เฟยหมิงแค่นยิ้มแม้จะรู้สึกเจ็บจนชาไปทั้งแขน
“คุณไม่กล้าหรอก อย่าลืมสิว่าผมเป็นใคร”
ใบหน้าคมยิ้มเย็นตอบรับเสียงท้าทายนั้น “ก็ลองดูมั้ยล่ะ”
นายทหารหนุ่มดันนักโทษในมือออกจากห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นความตาย แล้วดึงแขนเขาลากขึ้นบันไดไปชั้นสอง ก่อนจะผ่านเข้าไปในห้องเล็กๆ อีกห้อง ห้องที่ไร้หน้าต่าง มีเพียงช่องระบายอากาศแคบด้านบน กับแสงจากหลอดไฟที่แขวนอยู่บนเพดาน
ร่างโปร่งถูกผลักลงบนเตียงเดี่ยวที่ตั้งอยู่
“ผู้กองหยาง! คุณจะทำอะไร!”
เฟยหมิงถามเสียงสั่นเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายปิดประตูห้องและกดล็อกตามหลัง ใบหน้าที่ถูกแสงไฟแรงเทียนต่ำเหนือศีรษะสาดใส่ก่อให้เกิดเงามืดทาบทับนั้นเหยียดยิ้มที่มุมปาก
“ทำให้คุณชายรู้อย่างไรล่ะว่าการทรมาน…ไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments