บทที่ 2
การแตกสลายของแก้ว
คำว่า ‘ทรมาน’ ซึ่งออกมาจากริมฝีปากของร่างที่อยู่ตรงประตูเรียกสติของคุณชายรองสกุลหลี่ ร่างโปร่งรีบผุดลุกขึ้นจากเตียง ก้าวถอยหลัง ทิ้งระยะห่างจากอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ เขาสูดลมหายใจเข้า พยายามข่มความกลัวของตนเอง พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เย็นชา
“ผู้กองหยาง ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นมากกว่าแค่เคยควงกันสองสามครั้ง เมื่อครู่ผมโกรธที่คุณทำรุนแรงกับเธอจึงเผลอพูดจาล่วงเกิน ต้องขออภัยด้วยที่หยาบคาย”
คุณชายรองสกุลหลี่กัดฟันก้มหัวให้อีกฝ่าย หากท้ายประโยคแฝงนัยเหน็บแนม “ผมเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่เจ้าหน้าที่สอบสวนพิเศษอย่างคุณ ย่อมไม่เคยชินกับเรื่องแบบนี้ หวังว่าคุณคงเข้าใจ”
ระหว่างที่เอ่ย ดวงตากลมโตก็กวาดมองไปทั่วห้องมืดเพื่อหาทางหนีทีไล่
ห้องเล็กแคบ มีเพียงเตียงกับโต๊ะเล็กอีกตัว ประตูมีสองบาน บานหนึ่งคือประตูที่เขาเพิ่งผ่านเข้ามา อีกบานดูท่าจะเป็น…ห้องน้ำ?
สภาพห้องนี้ดูดีกว่าห้องขังที่เขาเพิ่งเข้าไปเมื่อครู่ ไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ที่ส่อว่าเป็นห้องทรมาน ดูแล้วเหมือนเป็นห้องสอบสวนทั่วไปไม่ก็ห้องขังสำหรับนักโทษชั้นดีมากกว่า
อย่างที่คิด อีกฝ่ายคงยังมีความเกรงใจสกุลหลี่อยู่บ้าง ซ้ำเขาก็ไม่มีหลักฐานมัดตัวแน่นหนาเหมือนเมิ่งอี้หราน นายทหารฝ่ายสอบสวนพิเศษไม่กล้าสั่งทรมานเขาแน่
“หากคุณจะสอบสวนผมก็ขอให้ทำตามระเบียบ แต่ผมคงไม่มีข้อมูลอะไรจะให้คุณ นอกจากสิ่งที่ได้บอกไปแล้ว”
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเหยียดยิ้ม ยกแขนกอดอก เปรยว่า
“นั่นสินะ คุณกับเมิ่งอี้หรานอยู่คนละสายงานกัน คนที่คอยอำนวยความสะดวกด้านการเงินและจัดหาเสบียงอย่างคุณคงไม่มีข้อมูลที่ผมต้องการมากนักหรอก”
ผู้กองหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย หากคนฟังกลับสะดุดในใจ
อีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรว่าเขาทำงานหน้าที่ไหน เมิ่งอี้หรานไม่รู้เรื่องนี้ คนที่รู้ก็มีแค่…
ยังไม่ทันเรียบเรียงความคิด อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาใกล้จนเขาต้องถอยหลังไปเกือบจะติดผนังห้อง เอ่ยต่อ “เพื่อนคุณคนนั้นชื่ออะไรนะ หยู้ฝูใช่ไหม เข้าใจจับคู่ดีนี่ นักหนังสือพิมพ์เซ็นทรัลเดลี่ของพรรคก๊กมินตั๋ง กับคุณชายรองผู้โด่งดังแห่งเมืองจิ่นโจว คงจะเจอกันได้บ่อยๆ โดยไม่มีใครผิดสังเกต”
เฟยหมิงสูดลมหายใจลึก พยายามสะกดความหวาดหวั่น
หยู้ฝูเป็น ‘สหาย’ ซึ่งรับผิดชอบด้านการรวบรวมข่าวสารให้กองกำลังใต้ดินและเป็นหัวหน้าสายงานของเขา ถึงแม้หน้าฉากจะดูเป็นคนคงแก่เรียน แต่อีกฝ่ายก็ขึ้นชื่อเรื่องความใจแข็ง ไม่มีทางปริปากยอมสารภาพหรือซัดทอดเพื่อนร่วมงานง่ายๆ ยกเว้นแต่ว่า…
ราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ผู้กองหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบเยียบเย็นที่ข้างหู ทำให้คนฟังหนาวเยือกไปทั้งสันหลัง “ลูกชายเขาที่เพิ่งเกิดกำลังน่าเกลียดน่าชังดีนะ ภรรยาก็สวย ลูกน้องผมชมกันใหญ่”
“นี่คุณ! คุณทำอะไรพวกเขา!”
ภาพครอบครัวเล็กๆ ที่อบอุ่นซึ่งตนเพิ่งไปเยี่ยมเมื่อไม่กี่วันก่อนทำให้เฟยหมิงเป็นฝ่ายหลุดการควบคุม เขาขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย เค้นถามอย่างร้อนรน หากข้อมือเรียวกลับถูกกระชากออกอย่างง่ายดาย ซ้ำยังถูกยึดไว้แน่น
“ก็แค่ทำตามขั้นตอน ‘เจ้าหน้าที่สอบสวนพิเศษอย่างผม’ เคยชินกับเรื่องอย่างนี้ ย่อมต้องเลือกวิธีทรมานที่เหมาะสมกับคนที่ถูกสอบสวนอยู่แล้ว” อีกฝ่ายใช้คำเดียวกับที่เขาเพิ่งเหน็บแนมกลับมาย้อนเสียดสีผู้เป็นเจ้าของ
“ถ้าจับจุดอ่อนได้ ไม่ว่าใครจะปากแข็งแค่ไหนก็ต้องคายออกมาหมด ยิ่งจุดอ่อนของเพื่อนคุณไม่ใช่ตัวเขา ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่…ไม่เสียเวลา”
รอยยิ้มราวกับไม่รู้สึกรู้สานั่นทำให้เฟยหมิงกำหมัดแน่น
“ไอ้ปีศาจ! เด็กไร้เดียงสาแกยังทำได้ลงคอ!”
ร่างโปร่งถลันเข้าไป แต่อีกฝ่ายกลับใช้เพียงแขนข้างเดียวปัดหมัดของเขาออก พร้อมกับดันร่างเขาถอยหลังจนปะทะกับผนัง แรงกระแทกที่ศีรษะทำให้เฟยหมิงมึนไปชั่วอึดใจ ไม่ทันถอยหนีเมื่ออีกฝ่ายขยับตัวเข้ามาจนชิด ยึดมือสองข้างของเขาเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้
“ใช่! ผมเป็นปีศาจ และคนที่อยู่ในกำมือผมอย่างคุณก็ควรสังวรไว้”
ใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นเข้ามาหากระซิบบอก เฟยหมิงกัดริมฝีปากพยายามระงับตัวเองไม่ให้สั่น คนตรงหน้าพิสูจน์ให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมและไร้หัวใจ แม้แต่เด็กเล็กๆ ยังไม่ละเว้น แล้วกับเขา…
“ผู้กองหยาง คุณไม่มีหลักฐาน จะกักขังผมไว้ไม่ได้ ผมสั่งคนในบ้านให้แจ้งท่านพ่อว่าจะมากรมทหาร หากผม ‘หายตัวไป’ หรือบาดเจ็บถึงเลือดเนื้อ ท่านนายพลหยางต้องมีคำตอบให้สกุลหลี่!”
คุณชายรองตัดสินใจยกชื่อบิดาขึ้นมาขู่ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหัวเราะออกมาเบาๆ “บาดเจ็บ? คุณชายพูดราวกับว่าผมจะจับคุณเข้าห้องทรมาน ห้องนั้นเก็บไว้ใช้กับพวกสายลับคอมมิวนิสต์ใจแข็งแบบเมิ่งอี้หราน อย่างคุณน่ะไม่จำเป็นหรอก”
“แล้วคุณจะทำอะ…!”
ไม่ทันจบคำ ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็ฉกวูบลงบนริมฝีปากของเขา กดย้ำหนักๆ ก่อนที่จะผละออกเพียงนิด แล้วซ้ำลงไปอีกครั้ง
เฟยหมิงรู้สึกราวกับสมองขาวโพลนไปชั่วครู่ ในเสี้ยววินาทีต่อมาที่รวบรวมสติได้ ร่างโปร่งก็พยายามดันตัวออกจากการเกาะกุม หากอีกฝ่ายที่ขนาดตัวไม่ได้ต่างกันมากนักกลับสามารถใช้เพียงสองมือกดร่างเขาตรึงกับผนัง ข้อมือทั้งสองข้างถูกกำไว้แน่นราวกับบีบด้วยคีมเหล็ก แม้พยายามจะดิ้นรนเท่าไรก็ไม่อาจหลุดจากการเกาะกุม ฟันคมกัดเม้มริมฝีปากนุ่ม บังคับให้เผยอขึ้น เพื่อที่ปลายลิ้นร้อนจะได้สอดแทรกเข้าไปไล้เลียความหวานภายใน
ลมหายใจถูกสูดหายไปจนกลายเป็นความอึดอัด ท่ามกลางความพร่าเลือน สติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดสั่งให้เฟยหมิงขบฟันลงบนปลายลิ้นที่สอดเข้ามาเต็มแรง อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ตัวผละหนี หากก็ยังถากเฉียดจนลิ้นรับรสเค็มปร่า
คุณชายรองถ่มน้ำลายคละกลิ่นคาวเลือดลงบนพื้น สบถเสียงดังลั่น
“แก! แกมันวิปริต!”
นายทหารหนุ่มใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากของตน เหยียดยิ้มโดยไม่แยแสกับคราบเลือดที่เปื้อนติดถุงมือหนังสีดำ เขาดึงมันออกแล้วทิ้งลงไปข้างตัว
“ไม่เลวนี่ ก็ดี…ผมไม่ชอบอะไรที่ง่ายเกินไปอยู่แล้ว”
เฟยหมิงไม่รอให้ตนถูกข่มขู่ไปมากกว่านี้ เขารีบหมุนตัวถลันไปที่ประตู หากข้อมือกลับถูกคว้าไว้ อีกฝ่ายใช้แรงส่งของเขาเองหมุนกระชากจนร่างโปร่งเซถลากลับไปล้มลงนอนคว่ำบนเตียง ก่อนจะตามมาทาบทับโดยไม่ทันให้ตั้งตัว
“แกจะทำอะไร ปล่อย!”
คนที่ตัวเท่ากันหากกำลังกายมากกว่าหลายเท่าจับแขนทั้งสองข้างของเขาไพล่หลัง ก่อนจะกระชากร่างโปร่งให้นอนหงาย แล้วกดเข่าข้างหนึ่งลงบนลำตัวด้านหน้า ใช้น้ำหนักตัวของตนและน้ำหนักตัวเขาให้เป็นประโยชน์ พันธนาการร่างข้างใต้เอาไว้
เฟยหมิงกัดริมฝีปากเมื่อความปวดแปลบแล่นไปตามแขน เขาพยายามถีบขาส่งเข่าเข้าไปที่หน้าท้องแข็งแต่กลับไร้ผลใดๆ อีกฝ่ายปลดเนกไทตรงคอของเขาออก กระชากแขนข้างหนึ่งออกมาจากด้านหลัง มัดด้วยเนกไทจนแน่นแล้วผูกโยงไว้กับซี่กรงเหล็กตรงหัวเตียง
“ผู้กองหยาง คุณอย่าทำบ้าๆ นะ ปล่อยผม!”
เฟยหมิงเร่งเสียงดังขึ้นอีก หวังว่านายทหารที่เฝ้ายามอยู่ข้างนอกจะได้ยินแล้ววิ่งเข้ามาดู อย่างน้อยไอ้ทุเรศนี่ก็คงไม่กล้าทำเรื่องวิปริตต่อหน้าลูกน้อง หากอีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ความตั้งใจของเขา
“คุณจะร้องเสียงดังแค่ไหนก็ได้ ตามสบายนะคุณชาย ตึกนี้ปลอดคน ผมเพิ่งจะสั่งให้ย้ายนักโทษและผู้คุมทั้งหมดออกไปเมื่อวานนี้เอง”
เจ้าตัวยิ้มเหี้ยม ปลดเข็มขัดที่เอวของเขาออกอย่างใจเย็น ดึงรูดให้รัดรอบข้อมือข้างที่เหลือ
“นี่คุณ…วางแผนไว้ก่อนแล้วหรือ!”
คุณชายรองเผลออุทาน สำนึกรู้สิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะทำ นายทหารฝ่ายสอบสวนพิเศษได้ข้อมูลจากหยู้ฝูไปหมดแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะสอบสวนหรือทรมานเขาให้รับสารภาพ
หากสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการกลับเป็น…
บ้าเอ๊ย! เขาเดินมาสู่กับดักตั้งแต่ก้าวเข้าไปในห้องทำงานนั้น
เมื่อมือทั้งสองข้างถูกยึดโยงไว้กับหัวเตียงแล้วหัวเข่าที่กดลงบนหน้าท้องเขาก็ละออก ร่างสูงเปลี่ยนเป็นคร่อมลงมาทั้งตัว ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ด้านบนก้มลงมาอีกครั้ง ปลายลิ้นซึ่งยังเคล้ากลิ่นคาวเลือดไล่ไปตามข้างแก้มรวมถึงสันกราม ระเลยไปยังใบหูนิ่ม
เฟยหมิงเบี่ยงหน้าหนีสัมผัสสากระคายพร้อมกับตะโกนลั่น
“ปล่อยฉัน! ออกไปให้พ้น…อื้อ!”
ริมฝีปากที่กำลังส่งเสียงด่าทอถูกปิดลงอีกครั้งด้วยริมฝีปากของคนที่อยู่ด้านบน มือเรียวยาวหยาบกระด้างปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวก่อนจะสอดเข้าไปสัมผัสผิวเนียนด้านใน แตะแต้มจุดไวสัมผัสด้านหน้า ส่งผลให้ร่างโปร่งสะท้านเยือก
ความรู้สึกตามสัญชาตญาณพลุ่งขึ้นมาแทนที่ความแสยงในตอนแรก หากสติทำให้เขาดิ้นรนขัดขืน แม้จะรู้ตัวว่าไม่อาจหลุดหนีไปจากเงื้อมมือของคนที่ค้ำอยู่เหนือร่างของตนได้แล้ว
“ผู้กองหยาง…คุณทำแบบนี้ไม่ได้…ปล่อย”
ริมฝีปากอิ่มที่ถูกขบเม้มจนแดงก่ำพร่ำย้ำ แต่คนฟังกลับคลี่ยิ้มเย็น
“ผมทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ คุณชายรอง”
กางเกงสีเทาถูกปลดกระดุมออกแล้วรูดลงไป เฟยหมิงสูดลมหายใจเฮือกเมื่อฝ่ามือร้อนกอบกุมส่วนที่อ่อนไหว หูได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างพอใจ “ดูคุณเองก็ไม่ได้รังเกียจนี่”
“หุบปากนะ ไอ้…”
ใบหน้าหวานกัดฟันแน่น สัมผัสจากฝ่ามือนั้นขยับเร้าเร่งจังหวะ รูดรัดจนกระทั่งความรู้สึกภายในของเขาปะทุ เบื้องหน้ากลายเป็นภาพขาวโพลน
“ฮึก”
เสียงครางที่หลุดออกมาทำให้ฝ่ายที่กุมอำนาจเหนือกว่าคลี่ยิ้มสมใจ ฝ่ามือที่เปียกชุ่มลากไล้ก่อนจะแตะต้องสัมผัสช่องทางด้านหลัง ทำให้ร่างโปร่งที่อ่อนระทวยเพราะบรรลุจุดสูงสุดเมื่อครู่ผวาเยือก ความกลัวไต่มาตามสันหลัง พยายามเบี่ยงตัวหนี หากมือหยาบกลับจับต้นขาของเขาตรึงไว้กับที่ สอดปลายนิ้วเรียวเข้าไปรุกรานภายใน
“ไม่…ไม่เอา”
ร่างโปร่งส่ายหน้าไปมา พึมพำอ้อนวอนด้วยเสียงสั่นไหวราวกับสิ้นหวัง เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลื่อนมือไปปลดเข็มขัดและกระดุมกางเกงเครื่องแบบ
“สายเกินกว่าที่จะหยุดแล้วล่ะ คุณชาย” เสียงทุ้มเองก็แหบพร่าด้วยอารมณ์เบื้องลึก เฟยหมิงเม้มปากแน่น ตัดสินใจกระซิบด้วยเสียงแผ่วหวิว
“เหวินอี้…ขอร้อง…อย่า”
ชื่อเรียกนั้นกลับเป็นตัวเร่ง นายทหารหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนนิ้วออกไป แล้วแทนที่ด้วยสิ่งอื่นซึ่งร้อนแรงยิ่งกว่า
“อ๊า!!!”
ร่างที่อยู่ข้างใต้อุทานลั่น เกร็งตัวขัดขืนเมื่อถูกสอดแทรกเข้ามาภายในเพียงครั้งเดียว ความเจ็บเสียดแล่นปราดจากจุดที่สัมผัสกระจายไปทั่วร่าง สมองรับรู้ว่าส่วนนั้นฉีกขาด ใบหน้าขาวกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง หากไม่อาจห้ามหยาดน้ำตาที่ไหลออกมา
คนที่อยู่ด้านบนเองก็นิ่วหน้า ขบฟันกรอดกับช่องทางฝืดฝืน มือเรียวยาวขยับลงไปกอบกุมส่วนอ่อนไหวด้านหน้า ปลุกเร้าให้หลงลืมความเจ็บปวด ก่อนที่ร่างสูงจะเคลื่อนกายเป็นจังหวะเนิบช้า เรียกเสียงครางสะอื้นดังแผ่วโดยที่ผู้เป็นเจ้าของไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป
“อึก…”
หยาดน้ำใสที่ไหลออกมาจากดวงตากลมโตทำให้ใบหน้าเครียดขรึมเย็นชาอ่อนลงเล็กน้อย นายทหารหนุ่มก้มหน้าลงอีกครั้ง แตะริมฝีปากซับหยาดน้ำรสเค็มปร่า เสียงทุ้มกระซิบปลอบอ่อนโยนราวกับบ่าวสาวในคืนแรกเข้าห้องหอ
“เจ็บนิดเดียว อดทนหน่อยนะ…เฟยหมิง”
เสียงเรียกตอนท้ายนั้นแผ่วหวาน หากคนที่จมดิ่งลงไปในความเจ็บปวดแทบไม่ได้ยินสิ่งใด สิ่งที่รับรู้มีเพียงความเจ็บร้าวและร้อนรุ่ม ทุกครั้งที่อีกฝ่ายรุกรานเข้ามาราวกับกำลังฉีกทึ้งตัวเขาออกเป็นชิ้นๆ
คนที่อยู่ด้านบนเริ่มเร่งจังหวะพร้อมกับขยับรูดจุดไวสัมผัสด้านหน้า ริมฝีปากยังละเลียดอยู่บนผิวแก้ม เปลือกตา และริมฝีปาก ปลุกความกระสันตามสัญชาตญาณให้ลุกโชนคละเคล้ากับความเจ็บปวด
“อ๊ะ อา…”
เสียงครางดังแว่วเมื่ออีกฝ่ายกระทั้นกายโหมแรง ความจุกเสียดและเจ็บหนึบจากเบื้องล่างทำให้ใบหน้าหวานต้องหลับตาลง เกร็งมือทั้งสองข้างจับเนกไทและเข็มขัดที่พันธนาการตนเองเอาไว้แน่นเป็นหลักยึด ความรู้สึกภายในไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
“ฮึก!”
ร่างโปร่งกัดริมฝีปากแน่นเมื่อไปถึงจุดสูงสุดอีกครั้ง ไอร้อนรินรดหน้าท้องจนเปียกชุ่ม สติที่เหลือเพียงน้อยนิดรับรู้ว่าอีกฝ่ายกระแทกกายหนักๆ ก่อนจะเกร็งร่าง หลั่งความรุ่มร้อนภายในเข้ามาในกายเขา เสียงทุ้มคำรามต่ำในลำคอ แล้วทรุดลงมาทาบทับ
…แล้วภาพเบื้องหน้าก็กลายเป็นความมืดสนิท
นายทหารหนุ่มปลดพันธนาการออกจากร่างของคนที่หมดสติไปเพราะความเจ็บปวด ใบหน้าขาวนั้นหลับพริ้ม หยาดน้ำเอ่อคลอจากดวงตาที่ปิดสนิทก่อนจะไหลลงมาตามข้างแก้ม ปลายนิ้วเรียวยาวยื่นไปแตะซับให้ก่อนจะก้มลงสัมผัสปลายหางตาเปียกชื้นเพียงแผ่วเบาราวกับแตะต้องแก้วบางใส
แก้วเจียระไนบางใสที่เขาเคยได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ มาอยู่ในมือแล้ว
…และเขาก็ทำลายมันจนแหลกละเอียดด้วยน้ำมือของตนเอง
“ถ้าคิดจะโทษใคร ก็ไปโทษเมิ่งอี้หรานเถอะนะ เธอโชคร้ายที่ถูกจับมาทำงานกับสหายผิดคน” หัวหน้าฝ่ายสอบสวนพิเศษเอ่ยเสียงขรึม
อีกฝ่ายอาจจะคิดว่าการที่ตนคบหากับผู้หญิงมากมายคงทำให้สามารถซ่อน ‘สหายหญิง’ คนหนึ่งได้ง่ายๆ สำหรับคนทั่วไปที่มองคุณชายเจ้าสำราญของเมืองจิ่นโจวก็คงเป็นแบบนั้น…แต่ไม่ใช่เขา
ไม่ใช่คนที่เฝ้าจับตาดูคุณชายรองสกุลหลี่ตั้งแต่ตอนที่กองทัพก๊กมินตั๋งกลับมาครองอำนาจในเมืองนี้
ไม่ใช่คนที่สืบประวัติและจดจำใบหน้าของหญิงสาวทุกคนที่แวดล้อมอยู่รอบตัวร่างโปร่งได้
ไม่ใช่คนที่จับสังเกตได้ทันทีเมื่อหญิงสาวที่ไม่มีที่มาที่ไปคนนั้นปรากฏตัวขึ้นเคียงข้างอีกฝ่าย คลอเคลียกันเดินเข้าไปในโรงภาพยนตร์
เมิ่งอี้หรานโชคร้ายที่ถูกจับมาทำงานคู่กับคนเพียงคนเดียวที่นายทหารหัวหน้าฝ่ายสอบสวนพิเศษอย่างเขาให้ความสนใจ หล่อนจึงถูกสืบประวัติและรวบตัวไว้ได้อย่างรวดเร็ว
หากความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว คลังแสงที่ถูกระเบิดแม้ไม่ใช่คลังแสงหลัก แต่ก็ทำให้กองทัพขาดแคลนอาวุธไปส่วนหนึ่ง นั่นทำให้ต้องมีคนรับผิดชอบ
…แต่คนคนนั้นต้องไม่ใช่คุณชายรองที่อยู่ในอ้อมแขนเขาตอนนี้
นายทหารหนุ่มก้มลงจุมพิตข้างแก้มเนียนอีกครั้งอย่างทะนุถนอมก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง คลุมผ้าห่มผืนบางลงบนร่างเปลือยเปล่าที่บอบช้ำ เขาจัดเครื่องแบบของตนให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไปจากห้องขัง คล้องประตูด้วยโซ่เหล็กและแม่กุญแจยึดแน่น
หยางเหวินอี้ก้าวออกจากตึกหลังนั้น กระดิกนิ้วเรียกชายชราที่ถูกสั่งให้เฝ้าอยู่ด้านหน้าให้เดินเตาะแตะเข้ามาหา
“จัดน้ำและอาหารขึ้นไปให้ในห้องนั้นทุกมื้อ สอดเข้าไปทางช่องอาหารที่ประตูก็พอ เดี๋ยวฉันกลับมาจัดการเอง”
คนฟังพยักหน้าหงึกด้วยท่าทางตื่นกลัว หัวหน้าฝ่ายสอบสวนพิเศษเดินผละออกมา ใบหน้าคมเงยขึ้นมองไปยังช่องระบายอากาศแคบของห้องด้านบน ตรงจุดที่คนคนนั้นยังหลับใหลไม่ได้สติ เสียงทุ้มกระซิบกับสายลมเพียงแผ่วเบา
“อยู่ในนั้นไปก่อนนะครับ พี่เฟยหมิง แล้วผมจะกลับมา”
หากแก้วบางนั้นจะต้องแตกสลาย ก็ขอให้เป็นเพราะมือเขาดีกว่า
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments