บทที่ 4
ในกรงเหล็ก
ริมฝีปากเย็นที่ทาบลงมาพร้อมกับแรงกดตรงหัวไหล่ทำให้ร่างโปร่งจำต้องเอนกายลงจนแผ่นหลังสัมผัสที่นอน สองมือยังคงดันแผ่นอกใต้เครื่องแบบหนาหนักนั้นไว้ ลมหายใจที่เหมือนถูกสูดหายกับน้ำหนักซึ่งกดทับลงมาทำให้รู้สึกอึดอัดจนกลายเป็นความวิงเวียน
เมื่ออีกฝ่ายละริมฝีปาก เฟยหมิงจึงหลับตาลง หอบหายใจกระชั้นถี่ รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวพอๆ กับลมหายใจ
เขาได้ยินเสียงถอนใจก่อนที่น้ำหนักซึ่งกดทับลงบนร่างจะหายไป ดวงตากลมโตปรือขึ้นมอง ร่างสูงเดินลับหายเข้าไปในห้องน้ำ คุณชายรองพยายามยันตัวลุกเมื่อเห็นโอกาสหลบหนี หากเพียงแค่ยกศีรษะขึ้น ความมึนงงก็เข้ามาจู่โจมอีกครั้ง เรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดหายไปเสียเฉยๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษไข้หรือยาที่ถูกบังคับให้กินเข้าไปเมื่อครู่
“บ้าชิบ…”
เขาสบถออกมาเบาๆ พยายามยันร่างขึ้น ร่างโปร่งหย่อนขาที่สั่นระริกลงจากเตียงจนได้ แต่พอจะยืนก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น ข้อศอกกระแทกกับขอบเตียงเหล็กจนเจ็บแปลบ ใบหน้าขาวกัดฟันกรอด กลั้นเสียงอุทานเอาไว้ได้ทัน ร่างโปร่งฝืนลากตัวเองไปยังประตูที่ปิดล็อก
ต่อให้ต้องลงไปคลานสี่ขา เขาก็ต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้
“คุณนี่ไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดจริงๆ สินะ”
เสียงราบเรียบที่มีเค้าเหนื่อยหน่ายดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้มือเรียวที่ยืดขึ้นไปสัมผัสลูกบิดประตูชะงัก หากทิฐิทำให้เขากลั้นใจบิดลูกบิดประตูเพื่อประกาศทางอ้อมว่าเขาไม่เกรงกลัวอีกฝ่าย
เสียงถอนใจหนักๆ ดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้ใกล้กว่าเดิม และก่อนจะทันรู้ตัว ร่างโปร่งที่คุกเข่าอยู่กับพื้นก็ถูกยกลอยหวือ อีกฝ่ายซ้อนแขนเข้าไปใต้ร่างเขาแล้วอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย
“ปล่อย!”
คุณชายรองรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ดิ้นรนแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเขาก็ถูกโยนโครมลงบนเตียงอยู่ดี
แม้ว่าความวิงเวียนจะจู่โจมจนแทบตาลาย แต่เฟยหมิงก็ยังฝืนยันตัวลุกขึ้น ถอยไปจนติดผนัง เขาเพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายถอดเสื้อเครื่องแบบตัวหนาออกไปแล้ว เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใน ส่งให้ความดุดันบนใบหน้าหล่อเหลานั้นลดลงเล็กน้อย แต่ความกลัวในใจเขากลับทบทวี โดยเฉพาะเมื่อมือเรียวยาวยื่นมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาออก
“ไม่! อย่า…”
มือสั่นเทากดลงบนมืออีกฝ่าย บีบแน่นเหมือนจะห้าม
คนตรงหน้าเพียงแค่ปัดมืออ่อนแรงของเขาออกก่อนจะปลดกระดุมลงไปทุกเม็ดอย่างรวดเร็ว เสื้อเชิ้ตชุ่มเหงื่อถูกถอดออกจากร่างโยนลงไปกองกับพื้น
เฟยหมิงหลับตาลงเมื่ออีกฝ่ายก้มตัวเข้ามาจนใกล้ แต่สัมผัสที่ทาบลงบนใบหน้ากลับเป็นผ้านุ่มเปียกชื้น ใบหน้าขาวลืมตาขึ้นทันที คนที่ก้มหน้าลงมาจนชิดกำลังใช้ผ้าชุบน้ำหมาดเช็ดใบหน้าและซอกคอให้เขา
“คุณทำอะไร”
ร่างโปร่งถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายหย่อนผ้าที่เขาจำได้ว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าซึ่งพับอยู่ในห้องน้ำลงในอ่างสังกะสีใบย่อม ก่อนจะบิดแล้วนำมาเช็ดแขนให้เขา
“เช็ดตัว” ใบหน้าคมคายตอบกลับมาสั้นๆ
คุณชายรองนิ่วหน้า “เจ็บ” เขาร้องประท้วงเมื่อแรงถูบนแขนนั้นลงน้ำหนักจนแสบผิว หากคนที่กำลังเช็ดตัวให้จับบ่าเขาเอาไว้แน่น
ใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วเอ่ยเสียงดุๆ
“อยู่เฉยๆ คุณมีไข้ ถึงจะกินยาแล้วแต่ถ้าไม่เช็ดตัวให้ดีคืนนี้จะลำบาก”
มือเรียวยาวเช็ดตัวให้คล่องแคล่ว กองกำลังของท่านนายพลหยางขึ้นชื่อเรื่องปฏิบัติหน้าที่ได้หลากหลายรูปแบบ แม้แต่พลทหารราบทั่วไปก็ยังต้องผ่านการฝึกด้านพยาบาลจนสามารถเป็นผู้ช่วยของแพทย์ทหารในยามสงครามได้
ฤทธิ์ยาและความเย็นชื้นที่ขับไล่ความร้อนภายในกายทำให้เฟยหมิงรู้สึกว่าหนังตาเริ่มหนักอึ้ง “คุณปล่อยผมไป…ได้ไหม”
ใบหน้าขาวปรือตาลงพลางถามด้วยเสียงขาดห้วง หากไม่ได้รับคำตอบ คนตรงหน้าเพียงแต่เช็ดตัวให้เขาต่อไปอย่างเงียบๆ
สุดท้ายคุณชายรองสกุลหลี่จึงไม่สามารถต้านทานความง่วงงุนที่ถาโถมเข้ามาได้
ท่ามกลางความมืดซึ่งครอบคลุม ร่างโปร่งสัมผัสได้ถึงอ้อมแขนที่ประคองแผ่นหลังเขาให้เอนลงนอน ปลายนิ้วเกลี่ยปัดเส้นผมซึ่งตกลงมาปรกใบหน้าออกไปให้ ตามด้วยสัมผัสของผ้าเย็นชื้นบนหน้าผาก ได้ยินเสียงทุ้มบอกเบาๆ แต่สติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดทำให้เขาไม่แน่ใจว่าน้ำเสียงอ่อนโยนนั้นเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ครับ พี่เฟยหมิง ผมยังปล่อยพี่ไปตอนนี้ไม่ได้”
…………………………………………………………..
เหวินอี้ละจากใบหน้าขาวที่หลับตาพริ้มนั้น เขาปลดเสื้อผ้าออกจากร่างอีกฝ่ายจนหมด แล้วเช็ดร่างกายร้อนผ่าวด้วยพิษไข้นั้นช้าๆ ข่มใจกดอารมณ์ที่ลุกโชนขึ้นเมื่อสัมผัสผิวขาวเนียนทีละจุด เมื่อเสร็จเรียบร้อยนายทหารหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน ห่มผ้าให้คนที่นอนหลับไปเพราะฤทธิ์ยา
ผ้านี่บางเกินไป
เขาขมวดคิ้ว นึกตำหนิตัวเองที่รีบร้อนบอกให้คนรับใช้เก่าแก่กลับไปนอนได้ สุดท้ายจึงต้องเป็นเขาเองที่เดินกลับไปยังห้องพักส่วนตัวเล็กๆ ของตนในอาคารกรมทหาร
เครื่องแบบชุดใหม่แขวนไว้ที่ตู้เสื้อผ้าแล้ว พร้อมชุดนอนที่วางพับบนเตียง สองชุด?
ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วนิดหนึ่ง ไม่รู้ควรจะนึกหงุดหงิดหรือนึกชมนายทหารคนสนิทที่รู้งานเกือบจะมากเกินไปดี เขารวบชุดนอนทั้งสองชุด เครื่องแบบของตน และผ้านวมผืนหนาบนเตียงขึ้นมา แล้วเดินกลับไปยังอาคารด้านหลังอีกครั้ง
อีกฝ่ายยังคงไม่รู้สึกตัวแม้เมื่อเขาจับชุดนอนของตนสวมลงบนร่างเปลือยเปล่า นายทหารหนุ่มเดินเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกาย ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้ง คราวนี้เขายิ้ม เมื่อแตะหลังมือทาบลงบนหน้าผากและซอกคอขาวแล้วพบว่าผิวร้อนผ่าวเมื่อครู่เย็นลงนิดหนึ่ง
ชายหนุ่มคิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะเอนตัวลงนอน สอดตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้านวมผืนเดียวกัน สวมกอดร่างอุ่นนั้นเอาไว้ในอ้อมแขน เขาจับข้อมือเรียวขาวที่ยังเหลือร่องรอยจากการถูกมัดด้วยเนกไทขึ้นมา แตะริมฝีปากลงไปบนรอยแดงช้ำนั้นเพียงแผ่วเบา ก่อนจะกระซิบติดริมหูอีกฝ่าย
“หลับให้สบายนะครับ ตื่นมาพรุ่งนี้พี่คงเกลียดผม อาจจะเกลียดมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ”
ใบหน้าคมหลับตาลง ถอนใจเบาๆ ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา
แสงอาทิตย์ในยามเช้าสาดผ่านช่องระบายอากาศเข้ามาทำให้ห้องมืดนั้นสว่างขึ้นเล็กน้อย ร่างที่ห่มผ้าหลับสนิทอยู่บนเตียงปรือตาขึ้น ความง่วงงุนยังหลงเหลืออยู่ บวกกับความอุ่นสบายของผ้านวมทำให้เขาคิดว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ในห้องส่วนตัวที่คฤหาสน์สกุลหลี่
จนเมื่อพลิกกายนอนหงาย แล้วภาพที่ปรากฏชัดไม่ใช่เพดานเตียงสี่เสา แต่เป็นเพดานปูนหยาบ เขาก็ทะลึ่งตัวลุกพรวด ก้มลงสำรวจร่างกายของตนเองเป็นอันดับแรก
เขาใส่ชุดนอนสีเข้มซึ่งไม่ใช่ของตัวเองและจำไม่ได้ด้วยว่าตนเปลี่ยนชุดเมื่อไร หากคุณชายรองเลือกที่จะไม่สนใจ ดวงตากลมโตมองกวาดไปทั่วห้อง สภาพก็ไม่ต่างจากเมื่อวานนัก นอกเสียจากประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท
ได้โอกาสแล้ว!
ร่างโปร่งรีบสลัดผ้านวมบนร่างออก เรี่ยวแรงที่ลดหายเมื่อคืนเหมือนจะกลับมาส่วนหนึ่ง แม้จะยังไม่ดีสมบูรณ์แต่ก็มากพอจะทำให้เขาลุกขึ้นยืนได้
คุณชายรองสกุลหลี่ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก ร่างโปร่งรีบเดินไปที่ประตูห้อง แต่เมื่อมือสัมผัสลูกบิด เขาจึงเพิ่งสังเกตว่าด้านบนของลูกบิดยังมีห่วงเหล็กเชื่อมติดอยู่ และตอนนี้มันก็ถูกคล้องด้วยแม่กุญแจตัวใหญ่ยึดติดแน่น
“เวรเอ๊ย!” เขาลองเขย่าแม่กุญแจแม้จะรู้ว่าไม่เกิดผล
“ถ้าคุณรู้จักเจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวนพิเศษอย่างผมดีพอ คุณจะรู้ว่าผมย่อมไม่พลาดด้วยเรื่องง่ายๆ”
เสียงที่ดังจากข้างหลังทำให้ร่างโปร่งรีบหันขวับ คนที่เดินออกจากห้องน้ำนั้นสวมเครื่องแบบเรียบร้อย กำลังติดกระดุมที่ข้อมือพร้อมกับเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “เดี๋ยวผมจะให้คนเอาอาหารเช้ามาให้ กินซะ การปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอจนไม่สบายไม่ช่วยอะไรหรอก เพราะไม่ว่าอย่างไรคุณก็ ‘ขัดขืน’ ผมไม่ได้อยู่ดี”
ถ้อยคำส่อนัยนั้นทำให้ใบหน้าขาวร้อนวูบด้วยความโกรธ เขาเลี่ยงจะเอ่ยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน หากถามกลับด้วยน้ำเสียงกระด้าง
“เมื่อไหร่คุณจะปล่อยผม”
“ไม่ใช่ตอนนี้” นายทหารหนุ่มชั่งใจว่าจะพูดต่อหรือไม่ แต่แล้วก็ปรับสีหน้าเป็นเย็นชาก่อนจะเอ่ยต่อ “อย่างน้อยก็จนกว่าผมจะเผารังพวกมดปลวกพวกนั้นให้สิ้นซากเสียก่อน”
คำปฏิเสธในประโยคแรกทำให้โทสะของคุณชายรองสกุลหลี่พุ่งสูง แต่ประโยคหลังกลับสะกิดใจจนเขาชะงัก นิ่งคิดก่อนจะเบิกตากว้าง ถามเสียงร้อนรน
“หยู้ฝูสารภาพอะไรกับคุณบ้าง! ไม่ใช่แค่เรื่องผมใช่มั้ย”
“ทุกอย่าง” รอยยิ้มเย็นปรากฏตรงมุมปากของนายทหารหนุ่ม “ทุก ‘รายชื่อ’ ที่เขารู้ รวมถึงรหัสในการส่งข้อมูลเรียกรวมตัวด้วย”
“ไม่จริง! หยู้ฝูไม่มีทางทำแบบนั้น”
ตามปกติแต่ละสายงานของกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์จะเป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกัน เพื่อป้องกันกรณีที่สหายคนใดคนหนึ่งถูกจับได้ ยามถูกทรมานจนทนไม่ไหวจะได้เอ่ยเพียงรายชื่อคนในสายงานของตนเท่านั้น หากหยู้ฝูเป็นข้อยกเว้น เขาเป็นตัวกลางรวบรวมข่าวสารจึงเกี่ยวโยงกับสหายมากมาย
“คุณชายรอง คุณประเมินสหายของตนสูงเกินไปรึเปล่า” ใบหน้าคมเหยียดยิ้มหมิ่นแคลน “คนเป็นพ่อ ทนเสียงลูกตัวเองร้องไห้ไม่ได้นานนักหรอกนะ”
ข้อนี้นายทหารหนุ่มไม่ได้โกหก เสียงเล่าลือเรื่องความโหดร้ายเลือดเย็นของเขา ทำให้เพียงเขาจับขาทารกน้อยขึ้นมาหิ้วไว้ด้วยมือข้างเดียว เสียงร้องไห้จ้านั้นก็ส่งผลเสียยิ่งกว่าเครื่องทรมานใดๆ
สายลับในคราบนักหนังสือพิมพ์คุกเข่าแทบเท้า โขกหัวขอความกรุณาพลางสารภาพทุกสิ่ง อ้อนวอนขอให้เขาไว้ชีวิตลูกน้อยของตน
“ไอ้…!”
คุณชายรองสบถออกมา อยากจะถลันเข้าไปต่อยหน้าของคนที่เอ่ยถ้อยคำอำมหิตนั้นออกมาได้ง่ายๆ แต่ประสบการณ์เมื่อวานสอนให้รู้ว่าการต่อกรกับอีกฝ่ายด้วยแรงไม่เกิดผลดี เขาจึงได้แต่กำหมัด กัดฟันสะกดอารมณ์
“แล้วคุณจะทำอะไรกับรายชื่อพวกนั้น จับมาทรมานให้สารภาพงั้นเหรอ”
“ไม่จำเป็นหรอก คุณชาย” คนถูกถามสาวเท้าเข้ามาใกล้ วางมือลงบนประตูที่อยู่ด้านหลังเขา ก่อนจะก้มหน้าลงกระซิบ “รายชื่อของเพื่อนคุณมีแต่พวกมดปลวกระดับล่าง พวกโฆษณาชวนเชื่อกับชักจูงผู้คนให้เข้าร่วมกับพวกกบฏคอมมิวนิสต์ ผมไม่คิดว่าจะได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์จากพวกนั้นอยู่แล้ว”
ใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับฉาบด้วยน้ำแข็ง
“มดปลวกน่ะ ไม่ต้องเสียแรงกับพวกมันมากนักหรอก แค่ล่อเข้าไปในกับดัก แล้วเผาให้เรียบในคราวเดียวก็พอ”
“นี่คุณจะ…”
เฟยหมิงคิดตามคำพูดอีกฝ่ายแล้วก็ตัวสั่น ความหวาดกลัวไต่ไปตามสันหลัง เขาแทบจะตะโกนออกไป
“ไม่ได้นะ! พวกนั้นส่วนใหญ่เป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยมไม่ก็นักศึกษามหาวิทยาลัยทั้งนั้น!”
สหายที่ทำหน้าที่โน้มน้าวใจผู้คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักศึกษาจากสโมสรนักศึกษาของจิ่นโจว นอกจากคนในมหาวิทยาลัยพลัดถิ่นแล้ว ยังรวมโรงเรียนมัธยมและโรงเรียนเทคนิคทั้งเจ็ดแห่งด้วย แทบทั้งหมดล้วนเป็นเด็กวัยรุ่นอายุไม่เกินยี่สิบปีที่เบื่อหน่ายการคอร์รัปชันของรัฐบาลก๊กมินตั๋ง และอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมจีน
“ขอร้องล่ะ ผู้กองหยาง! พวกเขาเป็นแค่เด็ก จับมาลงโทษให้เข็ดหลาบก็พอ”
เฟยหมิงจับแขนอีกฝ่ายไว้ ละล่ำละลักบอกเสียงสั่น เขารู้ดีว่าตนไม่มีอำนาจหรือเรี่ยวแรงพอจะขัดขวางอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเหล่าสหายได้ แต่อีกฝ่ายทำได้แน่
นายทหารฝ่ายสอบสวนพิเศษมองใบหน้าที่จ้องมองเขาอย่างเว้าวอนนั้น ก่อนจะส่ายหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ
“มันเป็นไปไม่ได้ แผนการจู่โจมผ่านการอนุมัติแล้ว ผมต้องมีคำตอบให้เบื้องบนเกี่ยวกับคลังแสงที่ถูกวางระเบิด เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ นี่คือการตอบโต้จากฝ่ายรัฐบาล คุณควรรู้ตั้งแต่ก่อนจะช่วยเมิ่งอี้หรานแล้วนะ คุณชาย ว่าราคาที่พรรคของพวกคุณต้องจ่ายมันไม่ใช่ถูกๆ”
ร่างในชุดเครื่องแบบปัดมือของเขาออก ก่อนจะดันให้พ้นจากประตู เอ่ยต่อโดยไม่เกี่ยวข้องกับบทสนทนาเมื่อครู่
“คุณอยู่ที่นี่ไปก่อน เดี๋ยวผมจะให้คนไปรายงานท่านอาหลี่ว่าคุณจะช่วยงานที่กรมสักสองสามวัน แล้ววันนี้จะให้คนเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้”
“ผู้กองหยาง!” เฟยหมิงคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้แน่น กัดริมฝีปากก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียง “เหวินอี้ ผมขอร้อง…อย่าฆ่าเด็กๆ พวกนั้น เรื่องคลังแสงนั่นผมจะรับผิดชอบเอง”
เสียงหวานที่เอ่ยเรียกชื่อ กับสีหน้าเว้าวอนนั้นไม่ทำให้ความเย็นชาบนใบหน้าคมจางลงแม้แต่น้อย
“ต่อให้แลกด้วยชีวิต คุณก็รับผิดชอบไม่ไหวหรอก หลี่เฟยหมิง”
พูดจบเขาก็ออกแรงผลักจนร่างโปร่งเซถอยไปด้านหลังจนล้มลงกับพื้น ชายหนุ่มไขกุญแจเปิดประตูก้าวออกจากห้อง แล้วประตูเหล็กหนาหนักก็ปิดปัง มือเรียวยาวสอดโซ่คล้องกุญแจด้านหน้า ได้ยินเสียงคนที่ล้มลงลุกขึ้นทุบประตูเสียงดังลั่น
“เหวินอี้! อย่าฆ่าพวกเขา! ขอร้องล่ะ ได้โปรดเถอะ!”
นายทหารหนุ่มก้าวออกจากตึกนั้นโดยไม่สนใจเสียงร้องตะโกนอ้อนวอนอย่างสิ้นหวังนั้นอีก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments