คู่อุ่นไอร่ายรัก
ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่หนึ่ง
เดินอยู่ท่ามกลางสายลมและหิมะที่โปรยปรายดุจบุปผา นางสงสัยว่าหรือตัวเองคิดอะไรง่ายเกินไป ทว่ายังคงหอบสัมภาระมุ่งหน้าไปร้านถัดไปอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ก็ยังได้รับคำตอบกลับมาเหมือนเดิม
‘นายท่าน ขอร้องท่านล่ะ อย่างน้อยก็บอกข้าเถอะว่าเหตุใดจึงไม่รับสินค้าของข้า’
‘ไม่รับก็คือไม่รับ พวกเราย่อมมีเหตุผลของเรา เจ้าจะเซ้าซี้อะไร ไปๆๆ อย่ามาขัดขวางการทำการค้าของพวกเรา!’
เป็นอีกครั้งที่นางถูกคนไล่ตะเพิดออกมา ก่อนถึงประตู คนผู้นั้นยังผลักนางทีหนึ่ง
นางถอยไปข้างหลังและสะดุดธรณีประตู ร่างกายเสียสมดุลแล้วล้มคะมำออกไปข้างนอก นางตื่นตกใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะหันหน้ากลับมาได้ก่อนกระแทกพื้น แต่ก็ยังล้มลงบนพื้นหิมะอยู่ดี
การหกล้มครั้งนี้ทำเอานางเจ็บจนเห็นดาว ชั่วขณะหนึ่งที่หายใจไม่ออกและไม่อาจขยับตัว ครั้นได้สติลืมตาขึ้นมาก็เห็นรองเท้าหุ้มแข้งสีดำคู่หนึ่งอยู่ตรงหน้า
นางแหงนหน้ามอง เห็นชุดคลุมยาวสีดำสนิท ป้ายห้อยเอว ตามด้วยเสื้อด้านหน้าที่ปักด้วยด้ายแดง ยังมีนัยน์ตาดำลึกไม่สิ้นสุดของชายผู้นั้น
ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้น มือถือร่มกระดาษน้ำมัน หลุบตามองนาง
นางตัวแข็งทื่อ ชั่วขณะนั้นไอร้อนพลันวิ่งพล่านไปทั่วร่าง รู้สึกเพียงอับอายและกระอักกระอ่วน
นางรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น ปัดน้ำจากหิมะและคราบสกปรกบนใบหน้าออก ก่อนจะเก็บผ้าที่ปลิวหลุดมือไปและหล่นกระจายเต็มพื้นขึ้นมา นางเร่งมืออย่างเต็มที่แล้ว แต่ยังคงรู้สึกถึงสายตาของเขา
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงยังยืนอยู่ตรงนี้ เหตุใดจึงไม่เดินจากไป รู้สึกขบขันหรือ อยากเห็นนางขายหน้าใช่หรือไม่ แต่ชายผู้นั้นกลับไม่ยอมขยับเขยื้อน เขายืนอยู่บนถนนใหญ่ จับจ้องนางนิ่ง
รอจนนางเก็บผ้าทั้งหมดขึ้นมาอย่างประดักประเดิด ห่อกลับลงไปในสัมภาระและลุกขึ้นยืน คิดจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว จึงได้ยินชายหนุ่มข้างหลังเอ่ยปาก
‘คิดจะทำการค้าหรือ’
นางอึ้งไปครู่หนึ่ง หยุดเดินและหันกลับไปมองเขา
ชายหนุ่มกางร่มจ้องมองนาง ใบหน้ายังคงเฉยชา ในมือเป็นหมวกสีดำใบเล็ก
นางเพิ่งรู้ตัวว่าหมวกของตัวเองหลุดอีกแล้ว ไม่รู้ถูกเขาเก็บขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไร
นางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปรับหมวกใบเล็กท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายพลางเปล่งเสียงตอบ
‘ใช่’
แม้นางจะลุกขึ้นมาแล้ว แต่ชายผู้นี้ก็ยังสูงกว่านางมากนัก เขาหลุบตามองนางแล้วเอ่ยขึ้น
‘ในเมืองแห่งนี้ การทำการค้ามีกฎธรรมเนียม’
‘กฎธรรมเนียมอะไร’ นางอึ้งงันไปก่อนจะเอ่ยถาม
ชายหนุ่มพยักพเยิดไปยังศาลเจ้าท้ายถนน
‘เห็นหอสุราที่แขวนโคมสีแดงตรงข้ามศาลเจ้านั่นหรือไม่’
นางหันมองไปยังทิศทางของศาลเจ้า จึงได้เห็นหอสุราที่แขวนโคมแดงไว้ด้านหน้า
นางรู้จักหอสุราแห่งนั้น นั่นคือหอสุราเรืองโรจน์ ทุกคนในเมืองนี้ต่างรู้จักหอสุราเรืองโรจน์ ที่นั่นมีพ่อครัวที่เก่งที่สุดในเมือง ยังมีธงหน้าร้านที่ใหญ่ที่สุดในเมืองด้วย แม้จะยืนอยู่ตรงนี้ก็ยังมองเห็นธงที่โบกสะบัดท่ามกลางสายลมได้อย่างชัดเจน
‘คนที่คิดจะทำการค้าต้องเข้าไปในหอสุราตรงข้ามศาลเจ้า ซื้อยันต์คุ้มภัยกับหลงจู๊ที่นั่นก่อน’
‘เพราะอะไร’ นางไม่เข้าใจจึงซักต่อ
‘คุ้มครองให้ปลอดภัย’ นัยน์ตาสีดำของเขาราบเรียบไร้คลื่นขณะเอ่ยเสียงเรียบ ‘ป้องกันไม่ให้ภูตผีปีศาจมารังควาน ทำให้กิจการรุ่งเรือง’
นางมองโคมไฟสีแดงท่ามกลางลมหิมะอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พอดึงสายตากลับมาที่ชายหนุ่ม เขาก็หมุนตัวจากไปแล้ว
ขณะมองแผ่นหลังที่จากไปของเขา นางรู้สึกฉงนและไม่สบายใจเล็กน้อย แต่นางลองมาหลายวิธีแล้ว ทำอย่างไรคนเหล่านั้นก็ไม่ยอมรับสินค้าจากนาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ลองไปดูที่หอสุราแห่งนั้นจะเป็นไรไปเล่า
นางมุ่งหน้าไปยังหอสุราแห่งนั้นเพื่อซื้อยันต์คุ้มภัยจากหลงจู๊
หลงจู๊มองห่อสัมภาระในมือนาง ถามเพียงว่านางจะทำการค้าอะไร หลังตอบเขาไป หลงจู๊ผู้นั้นก็มอบยันต์คุ้มภัยสีแดงให้นางอันหนึ่งและบอกราคา
ยันต์คุ้มภัยอันนั้นราคาค่อนข้างสูง แต่นางก็จ่ายเงินให้เขา หยิบเหรียญทองแดงที่มีติดตัวทั้งหมดออกมาจ่าย หลงจู๊ยังบอกนางว่าต้องมาจุดธูปที่ศาลเจ้าทุกเดือน แล้วเขาจะเปลี่ยนยันต์คุ้มภัยอันใหม่ให้
พูดง่ายๆ ก็คือการจ่ายเบี้ยรายเดือนนั่นแหละ
นางกะพริบตาปริบๆ และเข้าใจอย่างรวดเร็ว
ภายหลังสืบดูหลายครั้งถึงรู้ว่าหอสุรานั้นโจวเป้าเป็นเจ้าของ โรงจำนำก็เช่นกัน ในเมืองแห่งนี้มีหอโคมเขียวและบ่อนพนันจำนวนไม่น้อยที่เป็นของโจวเป้า
จอมเผด็จการโจวเป้าควบคุมกิจการน้อยใหญ่ในเมืองแห่งนี้
ในเมืองแห่งนี้หากไม่ซื้อยันต์คุ้มภัยกับโจวเป้าย่อมไม่อาจทำการค้าได้ ดังนั้นต่อให้สินค้าของนางดีและถูกเพียงใดก็ไม่มีคนกล้าซื้อ ไม่มีคนกล้ารับ
เมืองแห่งนี้ภายนอกอยู่ใต้การดูแลของทางการ ลับหลังกลับเป็นของโจวเป้า
ส่วนชายผู้นั้นเป็นลูกชายของโจวเป้า
เทียบกับความเหิมเกริมเอาแต่ใจของโจวเป้าแล้ว เขาเงียบและไม่ทำตัวเป็นจุดเด่น เป็นเพียงเงาขาวซีดที่อยู่เบื้องหลังจอมเผด็จการผู้นั้นเท่านั้น
ภายหลังนางได้ยินจากปากคนอื่นและรู้ชื่อของเขา
เขาชื่อโจวชิ่ง ชิ่งที่แปลว่าเฉลิมฉลองด้วยความยินดี แต่ยามผู้คนเห็นเขากลับไม่เคยรู้สึกยินดีเลยสักนิด ยิ่งไม่คิดที่จะชูจอกเฉลิมฉลอง
หลายปีให้หลัง ผู้คนตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่ง
ลูกชายของจอมเผด็จการ…ยังคงเป็นจอมเผด็จการที่ชั่วร้าย
* เซิงและเซียวเป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าของจีน เซิงมีลักษณะคล้ายแคน เซียวมีลักษณะคล้ายขลุ่ย
** กุญแจอายุยืน เป็นเครื่องประดับที่นิยมห้อยไว้ที่คอเด็กเพื่อความเป็นสิริมงคล ทำจากโลหะเงินหรือทองเป็นรูปแม่กุญแจสมัยโบราณซึ่งมีรูปร่างใกล้เคียงกับไต จึงเรียกอีกชื่อว่ากุญแจรูปไต ชาวจีนเชื่อว่าการสวมกุญแจอายุยืนจะช่วยคุ้มครองชีวิตให้ปลอดภัย แคล้วคลาดจากอันตราย
* คำว่าอดทน (忍) มีอักษรที่แปลว่าดาบ (刀) อยู่ด้านบน ส่วนคำว่าผลประโยชน์ (利) มีอักษรที่แปลว่าดาบเป็นส่วนประกอบอยู่ด้านข้าง
* พิธีรวบผมปักปิ่น หญิงสาวชาวจีนเมื่ออายุครบสิบห้าจะต้องทำพิธีรวบผมปักปิ่นแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่พร้อมที่จะออกเรือน
** เก้าอี้พนักวงโค้ง เป็นเก้าอี้สมัยโบราณของจีนที่พนักพิงด้านหลังโค้งมนและเชื่อมต่อกับที่เท้าแขน รูปทรงอ่อนช้อยงดงาม
* เฉาเฟิ่ง เดิมเป็นคำที่ใช้เรียกลูกจ้างในร้านขายเกลือหรือโรงจำนำ ภายหลังใช้เรียกหลงจู๊ผู้ดูแลโรงจำนำ
* หนอนไหมแปดชีวิต เป็นชื่อหนอนไหมชนิดหนึ่งที่ถูกเพาะเลี้ยงขึ้นในแคว้นอู๋ยุคสามก๊ก สามารถพ่นเส้นใยออกมาห่อหุ้มตัวเองได้ปีละแปดครั้ง จึงได้ชื่อดังกล่าว
* ขลุ่ยตี๋ เป็นเครื่องเป่าชนิดหนึ่งของจีน ทำจากไม้ไผ่ เวลาเล่นจะเป่าในแนวขวาง โดยเป่าลมจากรูด้านข้างคล้ายกับการเป่าฟลุต