บทที่ 1
บริเวณหน้าศาลเจ้า แสงอาทิตย์เจิดจ้า
รถม้าวิ่งไปบนถนนยาว นางนั่งอยู่บนรถ มองผ่านหน้าต่างบานเล็กออกไปและเห็นผู้คนคึกคักจอแจบนท้องถนน
วันนี้มีงานวัด บนถนนมีผู้คนสัญจรไปมา บรรยากาศครึกครื้นกว่าปกติ
ทางทิศตะวันตกของเมืองเต็มไปด้วยแผงลอยขายของนานาชนิด ฝั่งนี้ของถนนมีคนบังคับลิงให้แสดงปาหี่ ฝั่งนั้นของถนนมีคนกำลังแสดงมวยปล้ำ ไม่นานรถม้าก็วิ่งผ่านเวทีหลังหนึ่ง นักแสดงหลายคนบนเวทีกำลังร้องรำ เหล่าชายหนุ่มเบียดเสียดอยู่หน้าเวที เพิงด้านข้างที่แบ่งแยกชายหญิงก็เต็มไปด้วยหญิงสาวอ่อนเยาว์และหญิงวัยกลางคน
รถม้าแล่นไปข้างหน้าผ่านอาคารสูงสามชั้น ด้านหน้าของอาคารหลังนั้นไม่กว้าง ไม่โดดเด่น แต่คำว่า ‘จำนำ’ บนม่านประตูกลับสะดุดตาทีเดียว
อักษร ‘จำนำ’ ตัวใหญ่ทำเอาหัวใจนางหดเกร็ง รถม้าวิ่งไม่หยุด ยังคงมุ่งไปข้างหน้า ทิ้งโรงจำนำแห่งนั้นไว้หน้าศาลเจ้า แต่นางกลับย้อนคิดถึงอดีตอย่างควบคุมไม่ได้ นางจำเหตุการณ์ตอนพบชายผู้นั้นครั้งแรกได้อย่างแม่นยำ ทุกรายละเอียดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ราวกับเหตุการณ์นั้นเพิ่งผ่านไปไม่นาน…
ห้าปีก่อน…
ตอนนางออกจากบ้าน ฟ้ายังไม่สว่างนัก หมอกบางๆ ยามเช้าทำให้ทุกอย่างดูไม่เหมือนจริง
จังหวะที่ก้าวข้ามธรณีประตู หัวใจนางเต้นรัว ฝ่ามือเย็นเล็กน้อย แม้จะเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าและรองเท้าบุรุษ ก่อนออกจากประตูก็ตรวจสอบเครื่องแต่งกายที่หน้ากระจกครั้งแล้วครั้งเล่าจนแน่ใจว่าตัวเองดูเหมือนบุรุษแล้ว แต่นางยังคงประหม่าเล็กน้อย
การกระทำเช่นนี้ของนาง หากถูกคนพบเห็นเข้า ชีวิตนี้ย่อมไม่เหลืออะไรอีก แต่พอคิดถึงป้าชุ่ยที่นอนเป็นไข้สูงไม่ลดอยู่บนเตียง นางก็กัดฟันก้าวเท้าออกไปและหันกลับมาปิดประตูหลังของบ้านตัวเอง
ท่ามกลางสายหมอกจางๆ ทั่วทุกหนแห่งเงียบสงัด
บ้านที่นางพักอาศัยตั้งอยู่นอกเมือง การเดินเข้าไปในเมืองต้องใช้เวลาเป็นชั่วยาม นางเดินไปบนถนนอย่างอกสั่นขวัญแขวน ตอนที่คนแรกบนถนนปรากฏตัวตรงหน้า หัวใจนางเต้นเร็วจนเหมือนจะกระดอนออกมาจากปาก
แต่คนผู้นั้นเพียงหาบผักสองกระบุงเดินผ่านนางไป
นางบังคับให้ตัวเองเดินต่อไปข้างหน้า ผู้คนบนท้องถนนค่อยๆ เพิ่มขึ้น ตอนแรกเวลาเจอผู้คน นางกลัวเหลือเกินว่าจะถูกเรียกให้หยุด ฝ่ามือมีเหงื่อซึมอยู่ตลอดเวลา แต่ผู้คนผ่านหน้าไปสองคน สามคนสี่คน ยิ่งเข้าใกล้ประตูเมือง คนก็ยิ่งเยอะ แต่ไม่มีใครเหลือบมองนางเป็นพิเศษ
ความหวาดหวั่นตอนออกจากบ้านค่อยๆ ลดเลือนไป เมื่อพบว่าไม่มีใครสนใจตัวเอง นางก็เริ่มวางใจ
นางมาถึงหน้าประตูเมืองในที่สุด มีคนเข้าแถวรอเข้าเมืองยาวเหยียด ด้านข้างมีคนขายโจ๊กเปล่ากับเครื่องเคียง ยังมีคนขายซาลาเปากับหมั่นโถวอยู่ริมทางด้วย นางเหลือบมองครู่หนึ่งแต่ไม่ได้เข้าไปซื้อ เดินไปต่อท้ายแถวรวมกับกลุ่มคนที่รอเข้าเมือง
ประตูเมืองเปิดทันทีที่ถึงเวลา ครั้นเห็นทหารเฝ้าประตูเมือง หัวใจนางก็เต้นรัวอีกครั้ง ทว่านางไม่ถูกขัดขวางแต่อย่างใด ผู้คนที่รอเข้าไปทำมาค้าขายกรูกันเข้าไปในเมือง มุ่งหน้าไปยังตลาดทางทิศตะวันตกของเมืองที่คึกคักที่สุด
นางตามคนเหล่านั้นไปจนถึงโรงจำนำหน้าศาลเจ้า ประตูโรงจำนำยังไม่เปิด ด้วยเกรงว่าจะมีคนดูออกว่านางเป็นสตรีปลอมตัวมา นางจึงไม่กล้ายืนอยู่บนถนน แต่เดินเข้าไปในตรอกเล็กฝั่งตรงข้ามและยืนรอ
ระหว่างที่รอโรงจำนำฝั่งตรงข้ามเปิดประตู นางอดยื่นมือไปลูบลูกปัดหยกที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อไม่ได้ กลัวว่าตัวเองจะประหม่าเกินไปจนทำมันหล่นบนถนน
มันยังอยู่ ยังอยู่ในอกเสื้อนางอย่างปลอดภัย
ป้าชุ่ยบอกว่าลูกปัดหยกเส้นนี้เป็นของที่นายท่านมอบให้ท่านแม่ตอนแต่งเข้ามา เป็นของรักของหวงของท่านแม่
ท่านแม่เป็นภรรยาเอก บ้านเดิมเป็นสกุลบัณฑิต บรรพบุรุษเคยเข้าหอตำราหลวง เคยเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ทั้งยังเคยเขียนหนังสือ เขียนราชโองการแทนฮ่องเต้ ท่านแม่เป็นกุลสตรีในสกุลใหญ่ รัดเท้าจนเท้าเล็กนิดเดียว สวมรองเท้าผ้าปักดิ้นเงินดิ้นทองคู่เล็ก นั่งเกี้ยวสีแดงสดบุฟูก ถูกคนหามข้ามภูเขาข้ามแม่น้ำ แต่งจากเมืองหลวงมาอยู่ซูโจว
ท่านแม่รู้เรื่องเพลงพิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาดก็จริง กลับไม่รู้ใจบุรุษ
บ้านเดิมของท่านแม่ตกต่ำ จึงส่งท่านแม่มาแต่งงานกับพ่อค้าที่ร่ำรวย ทว่าแม้จะร่ำรวยแต่กลับไม่รู้จักใช้ชีวิต ไม่มีความรู้และขาดศิลปะ สองสามีภรรยาจึงมักคุยกันคนละภาษา
นี่เป็นการแต่งงานที่ฝ่ายหญิงยอมลดเกียรติตัวเอง
ป้าชุ่ยมักจะเหยียดปาก บอกว่าในอดีตท่านแม่ลำบากเพียงใด บอกว่านายท่านไม่รู้จักทะนุถนอมดูแลท่านแม่ บอกว่าภายหลังนายท่านแต่งอนุทำให้ท่านแม่เสียใจเพียงใด บอกว่าท่านแม่ล้มป่วยด้วยเหตุนี้ แต่งงานมาได้ไม่ถึงสามปีก็จากไป