X
    Categories: overgraYตรารักสายเลือดบาปทดลองอ่าน

ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 3 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

เด็กหนุ่มรูปงาม อุทิศตนเป็นบ่าวรับใช้

 

ในห้องที่ซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือ คนทั้งสองหลับตาพักผ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

ท่ามกลางความมืด หรูซิ่วปิดตาทั้งสองข้างลงแต่ไม่ได้หลับ เขานอนตะแคง แนบหน้าผากเข้าหาแก้มของคนรัก มือหนึ่งพาดอยู่บนหน้าอกองค์ชายสาม ก่อนจะลูบไล้ท่อนแขนของอีกฝ่ายเบาๆ พลางเงี่ยหูฟังเสียงลมหายใจอันคุ้นเคย ในใจบังเกิดความรู้สึกปลอดภัยมั่นคง

มีแต่ตอนที่องค์ชายสามอยู่ข้างกายเท่านั้นถึงจะทำให้เขารู้สึกสงบได้…

 

ในปีนั้น หลังจากได้อยู่ด้วยกันแทบทุกวันที่มองโกล เมื่อตามผู้เป็นนายกลับจิงเฉิง เขาคาดไม่ถึงว่าพ่อบ้านจะจัดให้อาศัยอยู่ในเรือนอีกหลังร่วมกับเด็กอายุสิบกว่าขวบหลายคน ไม่ได้พบหน้าองค์ชายสามติดต่อกันหลายวัน ความกระวนกระวายในใจยิ่งทบทวี

เขาเองก็บรรยายความรู้สึกนั้นไม่ถูก บางทีอาจเป็นเพราะองค์ชายสามเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตไว้ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าตนกับองค์ชายสามต่างกันราวก้อนเมฆกับดินโคลน ย่อมไม่อาจพบหน้าได้ตามใจอยาก ในวังโอ่อ่ากว้างขวางเช่นนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายพักอยู่ที่ไหน โอกาสที่จะบังเอิญพบก็ยิ่งหาได้ยาก

ผ่านไปหลายวันในที่สุดสวรรค์ก็เมตตา ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะสังเกตเห็นหรูซย่าผู้เคยรักษาแผลให้เขากำลังเดินอยู่ไกลๆ เขารีบเดินเข้าไปหา

‘ซิ่วเอ๋อร์นี่เอง มือของเจ้าหายดีแล้วกระมัง’

เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องบาดแผลแม้แต่น้อย เอ่ยปากขอร้องทันที ‘ก่อนกลับจิงเฉิง นายท่านบอกให้ข้าตั้งใจฝึกคัดอักษร ข้าเขียนได้หลายแผ่นแล้วจึงคิดจะเอาไปให้นายท่านดู’

อีกฝ่ายมีสีหน้าลำบากใจ ที่จิงเฉิงไม่เหมือนที่มองโกล องค์ชายสามเพิ่งได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่จากฮ่องเต้ วันทั้งวันยุ่งจนไม่อาจปลีกตัว ไหนเลยจะมีเวลามาสอนหนังสืออีก จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า ‘มิสู้เจ้านำมาให้ข้า ข้าจะเอาไปวางไว้ที่โต๊ะขององค์ชายสาม รอพระองค์ทรงว่างเมื่อใดก็จะทอดพระเนตรให้เอง’

เขาผิดหวังมาก แต่ก็รีบไปเอากระดาษคัดตัวอักษรจากในห้องพัก แต่คาดไม่ถึงว่าหรูซย่าจะไม่อยู่เสียแล้ว

เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นนานสองนาน หน้าม่อยคอตก ได้แต่ลากเท้าเดินกลับห้อง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอบอุ่นร้องเรียก

‘ซิ่วเอ๋อร์’

พอเขารีบเงยหน้าด้วยความตื่นเต้นยินดีก็ได้เห็นดวงหน้าอ่อนโยนดวงนั้น เครื่องหน้าทั้งห้าสมส่วน ไม่ว่าดูอย่างไรก็สบายตาสบายใจยิ่งนัก นั่นคือนายท่านของเขา!

‘ได้ยินหรูซย่าบอกว่าเจ้าจะเอากระดาษคัดตัวอักษรมาให้ข้าดู’ องค์ชายสามมองเขาด้วยรอยยิ้มบาง หรูซย่าที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังขยิบตาให้เขา

หรูซิ่วพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น รีบส่งกระดาษปึกนั้นให้ อีกฝ่ายรับไปดูอย่างละเอียด

‘เจ้าจำตัวอักษรใหม่ได้มากขึ้นกว่าเดิมอีกแล้ว ดียิ่งนัก’ ไม่นานองค์ชายสามก็เงยหน้ามองเขาอีกครั้ง ‘ข้าจะให้พ่อบ้านจัดให้เจ้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่นๆ พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานสกุลใหญ่ ในอนาคตจะเป็นกำลังให้ข้า เจ้าเองก็เช่นกัน ต้องขยันหมั่นเพียรให้มาก อย่าทำให้ข้าผิดหวัง’

‘ขอรับ ซิ่วเอ๋อร์จะไม่ทำให้นายท่านผิดหวังเด็ดขาด’ เรื่องที่นายท่านสั่ง เขาจะทำให้สุดความสามารถ

องค์ชายสามเห็นเด็กน้อยยืดตัวตรงขานรับเสียงใส สีหน้าก็สดใสกว่าเมื่อครู่นี้มาก ดวงตาทั้งคู่ยังส่องประกายแวววาว เด็กอายุแค่นี้กลับเอ่ยรับคำอย่างหนักแน่นจริงจัง ช่างเป็นภาพที่น่าสนใจนัก เด็กหนุ่มยิ้มพลางลูบหัวเขาทีหนึ่ง พยักหน้าให้แล้วหมุนกายเดินจากไป

หรูซิ่วมองตามเงาร่างสูงโปร่งนั่นไปจนสุดสายตา

ไม่กี่วันก่อน พ่อบ้านถามเขาว่าอายุเท่าไร ความจริงเขาไม่แน่ใจนัก ก่อนจะเกิดเรื่องที่มารดาถือมีดมาฟันเขา เด็กน้อยจำได้รางๆ ว่าตนหิวข้าวจนทนไม่ไหว จึงวิ่งไปขอข้าวกินที่ห้องครัว สตรีสองคนที่กำลังหุงหาอาหารอยู่เห็นเขาเข้าก็ยิ้มหยัน ‘นับดูแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ก็ใกล้จะอายุเก้าขวบแล้วสินะ’

ดังนั้นเขาจึงตอบพ่อบ้านไปว่าตนอายุเก้าขวบ พ่อบ้านบอกว่าอายุสิบสี่เมื่อใดก็จะมีโอกาสถูกเลือกให้รับใช้องค์ชายสาม การต้องรอถึงห้าปีนับว่านานไม่น้อย แต่ขณะเดียวกันเขาก็จะมีเวลาเหลือเฟือให้เตรียมตัว จะต้องถูกเลือกให้ได้…

 

ท่ามกลางความมืด หรูซิ่วหวนนึกถึงความทรงจำเมื่อหลายปีก่อน เขาขยับกายอย่างระมัดระวัง จับท่อนแขนขององค์ชายสามที่เขาใช้รองต่างหมอนเบาๆ ถูกนอนทับนานเกินไป คงจะปวดชาไปหมดแล้ว

“เหตุใดยังไม่นอน วุ่นวายอันใดอยู่อีก”

ไม่ทันได้ตั้งตัว องค์ชายสามพลันคว้าร่างเขาเข้าไปกอด น้ำเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นในห้องเล็ก

“รบกวนพี่สามจนตื่นเสียแล้ว” เขาหัวเราะเบาๆ รู้สึกถึงมือหนาแข็งแรงที่วางอยู่บนสะโพก

“ใครบางคนไม่ยอมนอนแต่โดยดี ขยับตัวไปมาเหมือนลูกแมวน้อย เช่นนี้จะให้ผู้อื่นอดใจไหวได้อย่างไร” องค์ชายสามลืมตาขึ้น ถามเสียงอ่อนโยน “คิดอะไรอยู่หรือ ไม่รู้ว่าในหัวนี้บรรจุความนึกคิดเอาไว้เท่าใดกันแน่ เคยได้พักอย่างสงบบ้างหรือไม่”

“พี่สามพูดราวกับข้าเป็นคนเจ้าแผนการอย่างไรอย่างนั้น” เขาโต้แย้ง

“มิใช่หรือ ปีนั้นเป็นผู้ใดกันที่ยอมรับว่าวางแผนมาห้าปีเต็มเพื่อให้ได้เป็นบ่าวรับใช้ของข้า” องค์ชายสามหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เขานอนตะแคง ใช้มือข้างหนึ่งประคองแก้ม สบตากับอีกฝ่าย อีกมือหนึ่งก็ลูบไล้สะโพกรวมถึงเรียวขาของหรูซิ่วเบาๆ

หรูซิ่วเลียนแบบท่าทางของเขา เท้าแก้มนอนตะแคง สบตากับเขาตรงๆ ในแววตามีรอยขบขัน “ท่านคงพอใจยิ่งที่เห็นผู้อื่นคิดอยากปรนนิบัติตนถึงเพียงนี้”

องค์ชายสามหัวเราะเบาๆ เด็กหนุ่มรูปงามเฉลียวฉลาดคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา ขอร้องเพื่อให้ได้เป็นบ่าวรับใช้ เขาย่อมต้องรู้สึกยินดี ซ้ำยังพอใจอยู่ไม่น้อย

หรูซิ่วมองค้อนเขาทีหนึ่ง พูดต่อด้วยน้ำเสียงกึ่งขัดเคืองกึ่งหยอกล้อ “ท่านกลับใจดำไม่เลือกข้า”

 

ตอนที่อายุสิบสี่ เขาหลงคิดว่าโอกาสมาถึงแล้ว

เขาใช้เวลาห้าปี ลืมตาตื่นขึ้นก็เรียนหนังสือ ไม่เคยเกียจคร้านแม้แต่น้อย ศึกษาสี่ตำราห้าคัมภีร์จนแตกฉาน ฝึกพิณภาพหมากอักษร ไม่ว่าจะศาสตร์วิชาความรู้ ศิลปะวิทยายุทธ์ ขี่ม้า หรือด้านอื่นๆ เขาล้วนโดดเด่นเป็นเลิศ ถึงขั้นทิ้งห่างเพื่อนร่วมชั้นชนิดไม่เห็นฝุ่น

ระหว่างนั้นก็ต้องทนถูกรังแกต่างๆ นานา เคยมีคนขังเขาไว้ในตู้เสื้อผ้า ยังพนันกันว่าเขาจะร้องอ้อนวอนหรือกลัวจนปัสสาวะราดหรือไม่ ผลคือเขาไม่แม้แต่จะร้องไห้ด้วยซ้ำ เอาแต่นั่งคุดคู้อยู่ข้างในนั้นหนึ่งวันหนึ่งคืน จนกระทั่งพ่อบ้านรู้สึกผิดสังเกตจึงช่วยเขาออกมา

ครั้งหนึ่งตอนที่เขาขี่ม้าได้ดีจนอาจารย์ร้องชม ก็มีคนรู้สึกอิจฉา จงใจปัดอาหารเย็นของเขาทิ้ง ทุกคนหลงคิดว่าหรูซิ่วที่ปกติเป็นคนสุภาพพูดน้อยคงจะอดทนข่มกลั้นไว้ แต่เขากลับคว้าร่างเพื่อนร่วมชั้นที่ตัวใหญ่กว่าทุ่มลงพื้น ใช้มือเดียวบีบคอฝ่ายตรงข้ามจนใบหน้าม่วงคล้ำ

คนบางคนพูดด้วยเหตุผลดีๆ ไม่ได้ ก็ต้องลงมือให้รวบรัดหมดจด ก่อนหน้านี้หรูซิ่วเคยลอบสั่งสอนคนที่ชอบรังแกเขามาแล้วสองคน เพียงแต่ไม่มีใครตัวใหญ่เท่าคนนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เขาคือคนที่คลานขึ้นมาจากนรกอันมืดมิด ยังจะมีอะไรให้ต้องกลัวอีก

‘พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ! รีบปล่อยมือเดี๋ยวนี้!’

เขาได้ยินเสียงคำรามของพ่อบ้านจึงรีบปล่อยมือแล้วประคองคนผู้นั้นขึ้นมา ตอบเสียงเยือกเย็น ‘เขาหกล้มทำอาหารของข้าตก ข้าแค่ช่วยดึงเขาขึ้นมาเท่านั้นขอรับ’

พ่อบ้านมองพวกเขาอย่างแคลงใจ คนผู้นั้นถูกหรูซิ่วบีบคอจนวิงเวียนหัวหมุน หอบหายใจไม่เป็นท่า พ่อบ้านคิดจะซักไซ้ต่อ แต่หรูซิ่วกลับยกอาหารเย็นของอีกฝ่ายขึ้นมา ‘เขาบอกว่าเพื่อเป็นการชดใช้จึงยกอาหารของตัวเองให้ข้ากิน เขาไม่กินก็ได้’

หลังจากคราวนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าหาเรื่องเขาอีก เพียงแต่แววตาของพ่อบ้านเปลี่ยนไปคล้ายกำลังระแวดระวังเขา

ต่อมาองค์ชายสามจับกวางกลับมาได้ จึงสั่งให้หรูชุนบ่าวรับใช้คนสนิททำหน้าที่ดูแลด้วยตัวเอง ส่วนหรูซย่ากับหรูชิวเริ่มอายุมากแล้ว จึงย้ายให้ไปทำงานสำคัญอย่างอื่น พริบตาเดียวบ่าวรับใช้ข้างกายองค์ชายสามก็ว่างลงถึงสามตำแหน่ง

ตอนนั้นหรูซิ่วอายุย่างสิบห้าปี เขาไม่ใช่เด็กน้อยอ่อนแอผอมแห้งอีกแล้ว ห้าปีกว่ามานี้ร่างกายของเขาสูงขึ้นไม่หยุด เครื่องหน้าก็สลัดคราบของเด็กน้อยออกไป แววตากระจ่างใส โดดเด่นสะดุดตายิ่ง เป็นเด็กหนุ่มรูปงามที่ใครเห็นก็ต้องตาลุกวาว

วันนั้นพอหรูซิ่วเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นก็เห็นองค์ชายสามนั่งอยู่ด้านหน้าสุด พ่อบ้านและอาจารย์ที่สอนหนังสือให้พวกเขายืนอยู่ด้านข้าง คอยทำหน้าที่อ่านบทความที่แต่ละคนเขียน

หรูซิ่วทั้งหวั่นวิตกทั้งตื่นเต้น ยิ่งตอนที่องค์ชายสามเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาชื่นชมหลังจากอ่านบทความที่เขาเขียนจบ ก็ยิ่งทำให้หรูซิ่วคาดหวังว่าจะถูกผู้เป็นนายเลือก

ไม่คาดคิดว่าหลังจากองค์ชายสามชมทุกคนแล้ว ก็เอ่ยรายชื่อผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นบ่าวรับใช้คนสนิททั้งสาม ชื่อของหรูซิ่วไม่ได้อยู่ในนั้น

เขาราวกับถูกสายฟ้าห้าสายฟาดเข้าใส่ ในหัวสับสนงุนงงไปหมด ได้แต่นิ่งมององค์ชายสาม

องค์ชายสามลุกขึ้นจากไปอย่างรีบร้อน ตอนที่ออกไปยังหันมามองเขาครู่หนึ่ง ใบหน้าแย้มยิ้มอ่อนโยน

แต่สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่รอยยิ้มบางๆ เพียงรอยยิ้มเดียว เขาบกพร่องที่ใดกัน หรือว่าพ่อบ้านใส่ไฟเขาต่อหน้านายท่าน ทำให้นายท่านไม่อยากเลือกเขา?

 

หลายปีผ่านมา เขายังจดจำความรู้สึกสิ้นหวังในตอนนั้นได้ขึ้นใจ…

“ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนั้นข้าเสียใจมากแค่ไหน” หรูซิ่วทำหน้าเศร้าโศก

องค์ชายสามเห็นก็รู้สึกสนุก หยิกบั้นท้ายเขาทีหนึ่งพลางยิ้มตำหนิ “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำอะไรเช่นนั้นเป็นกับเขาด้วย ข้าน่าจะสั่งสอนเจ้าให้เข็ดหลาบ ไฉนจึงซุกซนเช่นนี้ ที่เล่าเรียนมาเอาไปเก็บไว้ที่ใดหมด”

หรูซิ่วหัวเราะ “ท่านไม่เห็นสีหน้าของพ่อบ้านในเวลานั้นหรือ เขาโกรธจนตาถลนควันออกหู อาการที่พูดไปด้วยหนวดกระตุกไปด้วยเช่นนั้นข้าก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ยังตะโกนสั่งให้คนนำไม้มา คิดจะโบยข้าอีกด้วย”

“สมควรถูกตี” องค์ชายสามยกมือตบบั้นท้ายเขาผ่านผ้าห่มทีหนึ่ง

“พี่สามอยากเห็นข้าถูกตีมากหรือ แล้วไยตอนนั้นท่านถึงเข้ามาห้ามเล่า” หรูซิ่วยิ้ม

องค์ชายสามตีหัวของหรูซิ่วเบาๆ เอ็ดว่า “มิใช่เพราะกลัวว่าหัวเจ้าเล่ห์ของเจ้าจะถูกตีหรืออย่างไร”

วันนั้นที่หรูซิ่วก่อเรื่อง พอองค์ชายสามรู้ข่าวก็รีบไปช่วยเขาให้รอดพ้นจากไม้ในมือของพ่อบ้าน จากนั้นก็ต้องเร่งเข้าวังสะสางธุระ พ่อบ้านโมโหอย่างยิ่งจึงลากตัวหรูซิ่วไปที่ห้องหนังสือ สั่งให้คุกเข่าสำนึกผิดรอให้องค์ชายสามกลับมาจัดการ

จนกระทั่งกลางดึกองค์ชายสามกลับจากวัง ครั้นได้ยินว่าหรูซิ่วคุกเข่ารออยู่ตลอดก็เดือดดาลนัก ความจริงระหว่างนั้นหรูซย่าทนใจแข็งไม่ได้ จึงบอกให้หรูซิ่วลุกขึ้นแต่เขากลับไม่ยอมท่าเดียว บอกว่าจะรอให้องค์ชายสามเป็นผู้จัดการ

องค์ชายสามได้ฟังก็ทั้งเคืองทั้งขัน เมื่อนึกถึงสายสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ในช่วงสั้นๆ ที่มองโกล ด้วยความเวทนาที่หรูซิ่วช่างโชคร้าย ความรักใคร่เอ็นดูที่เขาฉลาดเฉลียว จึงได้แต่คิดว่าคนฉลาดมักจะหัวรั้นอยู่บ้างด้วยกันทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้จึงข่มกลั้นโทสะ มุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือ

ไม่ผิดจากที่คาด ก้าวแรกที่เดินเข้าประตูไปก็เห็นตัวการนั่งคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ ดวงหน้าแม้จะนุ่มนวลสลักเสลา แต่กลับปรากฏแววดื้อรั้นอย่างชัดเจน

‘ได้ยินว่าเจ้าถามพ่อบ้านว่าเขาเคยใส่ไฟเจ้าหรือไม่ ทั้งยังข่มขู่จงเอ๋อร์ว่าหากไม่ยอมสละตำแหน่งบ่าวรับใช้คนสนิท จะเปิดเผยเรื่องที่เขาแอบขโมยดื่มสุราในคลังใต้ดิน’ จงเอ๋อร์คือหนึ่งในคนที่ถูกเลือก องค์ชายสามไม่เข้าใจว่าเหตุใดหรูซิ่วต้องบีบบังคับจงเอ๋อร์เช่นนี้ เขานั่งลงตรงหน้าโต๊ะหนังสือ ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ‘ซิ่วเอ๋อร์ ที่ข้าพูดมาเมื่อครู่ มีคำไหนที่กล่าวหาเจ้าผิดๆ บ้าง’

ผู้เยาว์ไม่เคารพผู้ใหญ่ ข่มขู่เพื่อนร่วมชั้น นี่สมควรเป็นการกระทำของผู้มีการศึกษาอย่างนั้นหรือ

 

องค์ชายสามลดราวาศอก เด็กหนุ่มพ้นโทษ

 

‘…มีผลย่อมต้องมีเหตุ’ หรูซิ่วเอ่ยออกมาสั้นๆ ก่อนจะเสริมว่า ‘หากนายท่านไม่คิดจะถามสาเหตุ เพียงเห็นว่าซิ่วเอ๋อร์กำลังหาข้ออ้าง ไม่อยากฟังเรื่องให้ชัดเจน เช่นนั้นท่านอยากโบยอยากลงโทษ ซิ่วเอ๋อร์ก็จะน้อมรับด้วยความเต็มใจ’

องค์ชายสามได้ยินก็รู้สึกว่าน่าขัน เขายังไม่ได้เริ่มตำหนิเลยด้วยซ้ำ เจ้าหนูคนนี้กลับชิงเอ่ยตัดหน้าเสียก่อนแล้วว่าเขาไม่คิดจะถามไถ่ก็ไม่เป็นไร กลยุทธ์ถอยเพื่อรุกเช่นนี้ ถือว่าใช้ได้เหมาะเจาะนัก และหากเขาไม่ยอมฟัง ก็คงไม่ต่างจากเจ้านายปัญญาทึบที่ไม่ยอมฟังเหตุผล

พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันตามสบายเช่นนี้มานานเท่าใดแล้ว คล้ายว่าหลังกลับจากมองโกลก็ไม่ได้ทำเช่นนั้นอีกเลย คาดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่กี่ปี เด็กน้อยจะชาญฉลาดถึงเพียงนี้

‘ฟังดูแล้ว เหมือนเจ้าจะคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดใช่หรือไม่’

หรูซิ่วนิ่วหน้า ‘ซิ่วเอ๋อร์รู้ตัวว่าทำผิดไม่น้อย ดังนั้นจึงคุกเข่าอยู่ที่นี่เป็นการไถ่โทษ’

‘เริ่มแรกเจ้าบอกมิใช่หรือว่ามีผลย่อมมีเหตุ ไยจู่ๆ ก็กลับคำขอไถ่โทษเสียเล่า หากเจ้าเขียนบทความเช่นนี้ หน้าหลังย่อมไม่สอดคล้อง แสดงถึงความเขลาของตน’ องค์ชายสามจับผิดคำพูดเขา

‘ซิ่วเอ๋อร์ทบทวนหน้าหลังดูแล้ว อย่างไรก็ขบไม่แตก เหตุใดนายท่านจึงไม่เลือกซิ่วเอ๋อร์ให้รับใช้ท่านขอรับ’ เขาอาศัยคำขององค์ชายสามถามกลับ ‘ต้องเป็นเพราะซิ่วเอ๋อร์ทำความผิดเอาไว้มากมายโดยไม่รู้ตัวเป็นแน่ เช่นนั้นนายท่านมิสู้ลงโทษข้าโดยตรงเลยเล่าขอรับ’

องค์ชายสามนิ่งงันไป เด็กน้อยก่อเรื่องวุ่นถึงเพียงนี้เป็นเพราะว่าไม่ถูกเขาเลือกให้รับใช้ข้างกายอย่างนั้นหรือ บังคับจงเอ๋อร์ให้สละตำแหน่งเพราะคิดว่าตนจะมีโอกาสเข้ามาแทนที่อย่างนั้นหรือ

ทันใดนั้นความจริงก็กระจ่างแจ้ง ทั้งยังเป็นความจริงที่น่าสนใจอย่างยิ่งเสียด้วย เขาคิดอยู่ตลอดว่าซิ่วเอ๋อร์เป็นเด็กว่าง่าย จะก่อเรื่องก่อราวได้อย่างไร แต่ที่แท้อีกฝ่ายกลับก่อเรื่องวุ่นถึงเพียงนี้ก็เพราะเขานี่เอง!

‘เจ้าลุกขึ้นมาก่อน’ องค์ชายสามแย้มรอยยิ้มบาง น้ำเสียงอบอุ่น

หรูซิ่วโตมาท่ามกลางสายตาเย็นชา จึงเป็นคนช่างสังเกตอารมณ์และสีหน้าของผู้อื่น หลายปีมานี้องค์ชายสามยิ่งโดดเด่นสง่างามขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกครั้งที่มองเขาก็ยังอบอุ่นอ่อนโยนดังเช่นตอนแรก คราวนี้เขามองออกตั้งแต่ต้นว่าองค์ชายสามหาได้โกรธกริ้วไม่ ทั้งยังรักเอ็นดูเขาไม่เสื่อมคลาย ใคร่ครวญดูแล้ว ย่อมไม่มีทางลงโทษเขาเป็นแน่ ดังนั้นจึงทำใจกล้าโขกหัว ‘ซิ่วเอ๋อร์ไม่ลุกขอรับ ซิ่วเอ๋อร์ทำให้นายท่านโมโห ไม่กล้าลุกขอรับ’

องค์ชายสามยิ้มขันอยู่ในใจ หากเป็นบ่าวไพร่คนอื่นกล้าตีโพยตีพายต่อหน้าเขา ย่อมถูกเขาสั่งให้คนลากตัวออกไปโบยนานแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซิ่วเอ๋อร์…เขาย่อมไม่อาจตัดใจลงมือ บางทีอาจเป็นเพราะวาสนาที่ได้ช่วยชีวิต เขาพูดกับตัวเองเช่นนั้นอยู่ในใจ ได้แต่ถามอย่างจนทางเลือก ‘เจ้าอยากรับใช้ข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ’

‘ตั้งแต่ซิ่วเอ๋อร์เข้ามาอาศัยในวัง ทุกวันล้วนคิดอยากจะปรนนิบัตินายท่าน ห้าปีที่หมั่นเพียรศึกษาก็เพื่อเป้าหมายนี้เท่านั้นขอรับ’

อีกฝ่ายตอบอย่างสัตย์ซื่อเปิดเผยยิ่ง หากจะบอกว่าองค์ชายสามไม่ซาบซึ้งก็คงโกหก เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล ‘เจ้ารู้หรือไม่ว่าบ่าวรับใช้ข้างกายต้องทำหน้าที่ใดบ้าง’

หรูซิ่วพยักหน้าทันใด ‘ข้าเคยถามพี่หรูซย่าแล้ว ข้ารู้หน้าที่ของบ่าวรับใช้ข้างกายขอรับ’

‘ไหนลองพูดให้ข้าฟังสิ’

‘จัดระเบียบห้องนอนกับห้องหนังสือของนายท่าน ปรนนิบัตินายท่านทำกิจวัตรประจำวัน ตอนเช้าล้างหน้าผลัดอาภรณ์ ต้มน้ำชงชา จัดเตรียมอาหารสามมื้อ ติดตามนายท่านออกไปข้างนอก เตรียมเกี้ยวเตรียมม้า ตอนเย็นเตรียมของสำหรับชำระกาย จัดเตียง นอกจากนี้ก็ทำงานตามที่นายท่านสั่ง’ ทุกสิ่งเขาล้วนแต่อยากทำ

องค์ชายสามส่ายหน้าพลางยิ้ม ‘ไม่รู้ว่าควรเรียกเจ้าว่าเฉลียวฉลาดหรือว่าโง่งมกันแน่’

‘นายท่าน?’ หรูซิ่วงุนงง ดวงตาใสกระจ่างแวววาวจับจ้องมองไปที่เขา

‘เจ้าลุกขึ้นมาก่อนเถิด’ เขาได้ยินว่าอีกฝ่ายคุกเข่านานครึ่งค่อนวันแล้ว

หรูซิ่วลุกขึ้นช้าๆ ครั้นเห็นสีหน้ายิ้มแย้มขององค์ชายสามก็จับต้นชนปลายไม่ถูก

วันนี้เดิมทีเขาหมายข่มขู่จงเอ๋อร์ลับๆ ไหนเลยจะคาดคิดว่าพ่อบ้านจะผ่านมาได้ยินเข้าพอดี เรื่องราวจึงลุกลามใหญ่โตเช่นนี้ ความจริงเขาเองก็กระวนกระวายใจอยู่ไม่น้อย กลัวจะทำให้องค์ชายสามรู้สึกรังเกียจ โชคดีที่ตอนนี้ดูเหมือนองค์ชายสามไม่เพียงไม่ถือโทษโกรธเคือง แต่ยังอารมณ์ดีอย่างมาก

‘การที่ไม่เลือกเจ้าเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายเป็นความต้องการส่วนตัวของข้าเอง ไม่คิดว่าจะทำให้เจ้าเข้าใจผิดเสียได้’ องค์ชายสามเอ่ยเสียงนุ่ม

หรูซิ่วเป็นเด็กที่เขาเห็นว่ามีพรสวรรค์ดีที่สุด เมื่อได้อ่านบทความที่หรูซิ่วเป็นคนเขียน ในใจก็เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมานานแล้วว่าหรูซิ่วคัดอักษรได้งามนัก เชี่ยวชาญเขียนกลอนท่องกวี เป็นเลิศไม่ว่าบุ๋นหรือบู๊ ความสามารถเหนือกว่าคนอื่นไม่รู้เท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงวางแผนอย่างอื่นไว้ในใจ

เขาจะเชิญอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงมาสอนสั่งหรูซิ่ว

ที่ผ่านมาพวกเด็กๆ เหล่านี้จะร่ำเรียนเขียนอ่านกับสือเค่อ* ในวัง ในหมู่สือเค่อก็มีบางคนที่ความรู้กว้างขวาง บางคนก็มีวรยุทธ์ไม่เลว แต่ถ้าเข้มงวดขึ้นมาอีกระดับ ความรู้เหล่านั้นก็เป็นเพียงความรู้ปลายแถว ใช้ศึกษาเล่าเรียนทั่วไปได้ก็จริง แต่สำหรับเด็กเฉลียวฉลาดมากพรสวรรค์อย่างหรูซิ่ว จะให้ร่ำเรียนกับแค่สือเค่อเหล่านั้นก็น่าเสียดายเกินไป หากได้อาจารย์ผู้มีชื่อเสียงคอยชี้แนะ วันข้างหน้าย่อมประสบความสำเร็จ และเป็นประโยชน์กับเขายิ่ง

‘นายท่าน…’ หรูซิ่วได้ฟังแผนขององค์ชายสามที่วางเอาไว้ด้วยสีหน้ายากจะเชื่อ ในใจทั้งตื่นตระหนกทั้งลิงโลด ขอบตาของเขาร้อนผ่าว ก่อนจะก้มลงคุกเข่าโขกหัว ‘ซิ่วเอ๋อร์ไหนเลยจะคู่ควรให้นายท่านสิ้นเปลืองความคิดเช่นนี้’

องค์ชายสามชื่นชอบคนมากความสามารถมาแต่ไหนแต่ไร จึงรีบผละจากโต๊ะหนังสือเข้าไปประคองให้เขาลุกขึ้น ‘ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า ศึกษาอีกไม่กี่ปีไม่ว่าบุ๋นหรือบู๊ย่อมต้องก้าวหน้ายิ่งกว่านี้แน่ ถึงตอนนั้นข้ายังมีเรื่องอีกมากให้เจ้าไปทำจนทำไม่หวาดไม่ไหวเชียวล่ะ ไยต้องมายื้อแย่งตำแหน่งบ่าวรับใช้ด้วย’

หรูซิ่วซาบซึ้งเหลือจะกล่าว ทั้งยังรู้สึกละอายกับเรื่องวุ่นวายที่ตนก่อในวันนี้จนสองแก้มแดงก่ำ แต่พอคิดว่าต้องแยกจากองค์ชายสามไปไกล ในใจก็อาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก จึงพึมพำว่า ‘ซิ่วเอ๋อร์เพียงอยากอยู่ข้างกายนายท่าน มีนายท่านสอนสั่ง ไม่ว่าอาจารย์มากชื่อเสียงจากไหนก็ไม่อาจเทียบนายท่านได้ ซิ่วเอ๋อร์นับถือนายท่านเป็นอาจารย์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นขอรับ’

คำกล่าวนี้เต็มไปด้วยความเคารพรักและเทิดทูนอย่างไม่ปิดบัง

องค์ชายสามนึกยินดีอยู่ในอก รู้สึกว่าตอนนั้นตนช่วยชีวิตคนไม่ผิดจริงๆ รอบตัวของเขามีคนคอยเฝ้าประจบประแจงอยู่เต็มไปหมด แต่กลับไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังเป็นเด็กหนุ่มที่เฉลียวฉลาด ชวนให้รักใคร่เอ็นดูคนหนึ่ง

‘เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน หลังจากนี้ให้เจ้าทำหน้าที่เป็นเด็กรับใช้ในห้องหนังสือของข้า ตอนที่ข้าไม่อยู่ ตำราที่อยู่ในนี้กับในคลังหนังสือเจ้าสามารถนำมาอ่านได้ พู่กัน แท่นฝนหมึกและกระดาษก็ใช้ได้ตามใจชอบ’ องค์ชายสามเห็นหรูซิ่วคลายคิ้วที่ขมวดมุ่นแล้วยิ้มอย่างเบิกบานก็รู้สึกว่าน่าเอ็นดู จนอดเอื้อมมือเข้าไปขยี้ผมไม่ได้ ก่อนจะพูดคล้ายต่อว่าแต่ไม่ใช่ ‘อย่าได้ดีใจเร็วเกินไป เรื่องนี้ยังต้องมีเงื่อนไข ตอนนี้ข้ายุ่งอยู่กับงานราชการ ไม่อาจตรวจทานบทเรียนของเจ้าได้ ยังต้องเชิญอาจารย์จากข้างนอกเข้ามาสอนสั่ง ถ้าข้ารู้ว่าเมื่อใดเจ้าไม่ตั้งใจศึกษาหรือทำให้อาจารย์ไม่พอใจ จะส่งเจ้าไปทำความสะอาดห้องสุขา และจะไม่อนุญาตให้เข้ามาเหยียบห้องหนังสืออีก เข้าใจหรือไม่’

หรูซิ่วยิ้มกว้าง พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ น้ำตาแทบร่วงเผาะ ชั่วขณะนี้ไม่ว่าองค์ชายสามจะตั้งเงื่อนไขอย่างไร เขาล้วนแต่รับปาก ขอเพียงได้อยู่ข้างกายองค์ชายสาม จะให้ทำอะไรเขาก็ยอมทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านี้ยังได้เป็นเด็กรับใช้ในห้องหนังสือแทนตำแหน่งบ่าวรับใช้ที่หมายตา ซ้ำยังจะได้อาจารย์มากชื่อเสียงมาอบรมสอนสั่ง เหนือกว่าที่เขาเคยต้องการอยู่มากโข เช่นนี้จะไม่ให้เขาตื่นเต้นยินดีได้อย่างไร!

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ในที่สุดความปรารถนาของเขาก็เป็นจริง ได้อยู่ข้างกายองค์ชายสามดังหวัง ยามองค์ชายสามอ่านตำราเขาก็ต้มน้ำชงชา ยามองค์ชายสามเขียนอักษรเขาคอยฝนหมึก ยามองค์ชายสามหารือเรื่องงานราชการเขาก็จดบันทึกใจความสำคัญ

ช่วงเวลานั้น เมื่อหวนกลับไปคิดถึง ในใจก็รู้สึกหวานล้ำยิ่งนัก…

 

* สือเค่อ หมายถึงแขกที่มาพึ่งพาอาศัย หรือผู้ที่ขุนนางหรือราชนิกุลอุปการะเลี้ยงดู ให้อาหารและที่พัก โดยแลกกับการช่วยงานจิปาถะต่างๆ เช่นเป็นที่ปรึกษาหรืออาจารย์สอนหนังสือ

เพียงแรกเห็น จิตใจก็เตลิด

 

ในห้องหนังสืออันเรียบหรู เด็กหนุ่มท่าทางน่าเอ็นดูผู้หนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ดวงหน้าขาวสะอาดแววตามาดมั่น ทั่วร่างส่งกลิ่นอายของผู้รู้หนังสือ เขากำลังจับพู่กันคัดอักษรอย่างตั้งใจ ข้อมือขยับไปมา เขียนตัวอักษรอย่างคล่องแคล่ว ลายมือพลิ้วไหวขับเน้นความเรียบง่ายสง่างามของเขา ท่าทีเช่นนี้ราวกับคุณชายสูงศักดิ์จากตระกูลบัณฑิต

เด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือหรูซิ่วที่อายุย่างสิบเจ็ดปี

สองปีที่ผ่านมา ภายใต้การสอนสั่งอย่างเข้มงวดขององค์ชายสาม ไม่ว่าบุ๋นหรือบู๊ของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างยอดเยี่ยม ระยะนี้จึงเริ่มช่วยองค์ชายสามจัดการงานราชการต่างๆ รวมไปถึงตอบจดหมายที่ไม่สลักสำคัญนัก บางครั้งยังติดตามองค์ชายสามไปร่วมงานชุมนุมต่างๆ ถือเป็นเด็กรับใช้ในห้องหนังสือควบตำแหน่งองครักษ์

แต่ใช่ว่าจะได้ตามออกไปข้างนอกทุกครั้ง อย่างเช่นเดือนนี้องค์ชายสามตามเสด็จฮ่องเต้ไปมองโกล เขาก็ไม่ได้พาหรูซิ่วไปด้วย

‘เจ้าต้องตั้งใจอ่านหนังสือ วรยุทธ์ก็ต้องฝึกฝนอย่าได้เกียจคร้าน’

ตอนที่องค์ชายสามกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมตัวออกเดินทาง พอเหลือบมาเห็นหรูซิ่วซึ่งกำลังช่วยเก็บสัมภาระก็เอ่ยกำชับสองประโยคง่ายๆ

หรูซิ่วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แต่ในใจอดรู้สึกวูบโหวงไม่ได้

ทุกครั้งที่องค์ชายสามเดินทางไปมองโกลจะต้องพาหรูซย่าไปด้วย คราวนี้ก็เช่นกัน เหตุเพราะหรูซย่าซึ่งเพิ่งได้เลื่อนขั้นให้เป็นหัวหน้าองครักษ์มีวรยุทธ์ดีที่สุด ทั้งยังเป็นวิชาแพทย์

ดังนั้นระยะนี้หรูซิ่วจึงเริ่มหาตำราแพทย์มาศึกษา ส่วนด้านวรยุทธ์ หลังฝึกฝนอย่างหนักมาสองปี แม้วิชาหมัดจะยังสู้หรูซย่าไม่ได้ แต่วิชาดาบกับธนูก็อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว เมื่อถึงเวลาคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติพอจะได้ติดตามองค์ชายสามไปมองโกล เขาจึงหวังว่าบางทีนอกจากหรูซย่า องค์ชายสามจะใคร่ครวญให้เขาติดตามไปด้วย

ในลานหน้าเรือนแว่วเสียงฝีเท้าเร่งร้อน หรูซิ่ววางพู่กันลง ก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องหนังสือ เมื่อยื่นหน้าออกไปดูก็เห็นบ่าวรับใช้สามคนยื้อยุดกันไปมาพลางหัวเราะ กระโดดโลดเต้นจะไปที่เรือนด้านหลังอย่างเบิกบาน

ดูท่าว่าพอองค์ชายสามไม่อยู่ บ่าวรับใช้คนอื่นๆ ก็ต่างสุขสันต์นัก มีเพียงเขาที่จิตใจหดหู่ ไม่แจ่มใส

‘พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่’ เขาถาม

หนึ่งในนั้นค่อนข้างสนิทสนมกับหรูซิ่ว จึงรีบกวักมือเรียกเขาให้เข้าไปหา ‘มีเรื่องสนุก รีบตามมาสิ’

อีกสองคนพอเห็นเขา สีหน้าก็ไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะหรูจงที่เคยโดนหรูซิ่วข่มขู่มาก่อนยิ่งไม่อยากให้เขาตามไปด้วย แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้หรูซิ่วก็ยิ่งอยากรู้

เขาตามคนทั้งสามไปคลังเก็บของที่เรือนหลัง คนเดินนำหน้าส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียงพลางเบาฝีเท้า บ้างก็ขึ้นไปยืนบนกองฟืน บ้างก็ปีนบันไดเล็ก ทุกคนต่างหาที่สูง หรูซิ่วเองก็ขึ้นไปเบียดบนบันไดยาว ยังไม่ทันยืนให้มั่นก็ได้ยินเสียงครางกับเสียงหอบหายใจประหลาด เขามองตามสายตาของทุกคนไปก็ได้เห็นภาพอันทำให้เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นในหัว

ในคลังเก็บของมีร่างหนึ่งหญิงหนึ่งชาย ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า กำลังกระหวัดรัดรึงอย่างเร่าร้อน

หรูซิ่วเบิกตาโพลง จับจ้องภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ชายหญิงในคลังเก็บของไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าด้านนอกมีกลุ่มคนซุ่มดูอยู่ เสียงหอบหายใจดังขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายชายกระชากกางเกงตัวในออก ก่อนจะดันเรียวขาของฝ่ายหญิงขึ้นมาชิดหัวไหล่ ผสานร่างแนบแน่น

คนที่มาแอบดูซึ่งล้วนอยู่ในวัยสิบเจ็ดสิบแปดปีต่างออกอาการสนอกสนใจอย่างยิ่ง บางคนหนีบต้นขา บางคนกัดหลังมือตัวเองแน่น บางคนถึงขั้นอ้าปากค้างก็มี

หรูซิ่วที่แต่ไหนแต่ไรก็มีนิสัยเยือกเย็น ยามนี้ยังพลอยหัวใจเต้นแรง หน้าแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งผาก เขาพลันนึกถึง ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ ที่เคยค้นเจอจากหีบในห้องหนังสือเมื่อไม่นานมานี้ ที่แท้จินตนาการก็ไม่อาจปลุกเร้าได้เท่ากับเห็นด้วยตาตัวเอง

คู่รักเสพสม คงเป็นเช่นนี้กระมัง…

เสียงประสานเร่าร้อนในคลังเก็บของยิ่งมายิ่งถี่กระชั้น ยิ่งสอดประสานยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หัวใจเด็กหนุ่มสั่นระรัวราวกับถูกใครต่อยเข้าที่หน้าอกอย่างจัง ไม่นานสตรีผู้นั้นก็หวีดเสียงสูง เขาฟังจนในหัวอื้ออึงมึนงงไปหมด รอจนเสียงร้องนั้นเบาลง

คาดไม่ถึงว่าหลังผ่อนคลายลงแล้ว สตรีผู้นั้นจะเลื่อนสายตาขึ้นมอง นางเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพด้านนอกช่องหน้าต่าง ก่อนจะกรีดร้อง หน้าซีดเผือด

‘รีบหนีเร็ว!’

ครั้นเห็นว่าถูกจับได้ ทุกคนก็พร้อมใจแยกย้ายหายไปคนละทิศ หนึ่งในนั้นที่ปีนขึ้นไปสูงกว่าเพื่อนก้าวพลาดหล่นลงมา เหลือเพียงมือข้างเดียวยึดจับบันไดเอาไว้ได้ ใกล้จะตกอยู่รอมร่อ หรูซิ่วที่เดิมวิ่งออกไปไกลแล้ว พอได้ยินเสียงร้องก็หันกลับไปมอง แล้วเข้าไปช่วยประคองอีกฝ่ายไว้ได้ทันท่วงทีพร้อมกับดึงให้เขาวิ่งหนีไปด้วยกัน

เด็กหนุ่มสี่คนวิ่งตะบึงราวกับหนีเอาชีวิตรอด เมื่อมาถึงเรือนขององค์ชายสามจึงหยุดพัก เสียงหอบหายใจดังเคล้าเสียงหัวเราะ

‘ที่แท้เจ้าเองก็มีคุณธรรมน้ำมิตร น่าชื่นชม’ คนที่ถูกช่วยเอาไว้ชี้ไปที่หรูซิ่ว ต่อยหมัดใส่หัวไหล่เขาเบาๆ

‘สองคนเมื่อครู่เป็นใครหรือ’ หรูซิ่วถาม

‘แม่ครัวกับคนส่งผักน่ะ คนหนึ่งเป็นแม่ม่ายอีกคนก็เป็นพ่อม่าย ส่งสายตาให้กันไปมานานแล้ว เมื่อเดือนก่อนถึงค่อยลักลอบเจอกันที่คลังเก็บของ ไอหยา น่าเสียดายที่ถูกนางเห็นเข้า หลังจากนี้คงไม่มีเรื่องสนุกให้ดูอีกแล้ว…’

หรูซิ่วอดหัวเราะออกมาไม่ได้

ทุกคนสนุกสนานเฮฮากันอยู่ครู่หนึ่งถึงแยกย้าย

หรูซิ่วกลับไปเขียนบทความต่อที่ห้องหนังสือ ทว่ากลับทำได้ไม่ดีนัก ในหัวมีแต่ภาพชายหญิงร่วมรักที่เห็นมาเมื่อครู่ สีหน้าของสตรีนางนั้นดูราวกับสุขสมยิ่ง เมื่อได้อยู่กับคนที่ตนรักคงเป็นเช่นนั้นกระมัง ได้กอดเกี่ยวเรือนร่างของคนรัก เปล่งเสียงครางที่ราวกับทั้งสุขสันต์ทั้งขัดเคือง…

เฮ้อ…ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือแล้ว!

เด็กหนุ่มวางพู่กันลง นั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงลุกเดินเข้าไปในคลังเก็บหนังสือ หยิบ ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ ที่เก็บอยู่ในหีบเล่มนั้นออกมาอ่าน ได้ยินว่าสิ่งนี้เป็นของที่องค์ชายบางพระองค์แอบมอบให้องค์ชายสามเมื่ออายุครบสิบแปดปี

องค์ชายสาม…จะไล่อ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียดเหมือนกับเขาในตอนนี้หรือไม่ จะยิ่งอ่านก็ยิ่งครั่นเนื้อครั่นตัว ริมฝีปากแห้งผาก ร้อนรุ่มไปทั้งกายเหมือนกับเขาในตอนนี้หรือไม่

ก่อนหน้านี้องค์ชายสามได้แต่งภรรยาให้กำเนิดบุตร เช่นนั้นคงเป็นเหมือนคู่ชายหญิงเมื่อครู่ ปฏิบัติตามธรรมเนียมของโจวกง*…

เขาพลันนึกขึ้นได้ บางครั้งยามที่บ่าวรับใช้คนสนิทขององค์ชายสามขอลางาน ก็มักให้เขาเข้าไปปรนนิบัติองค์ชายสามอาบน้ำแทน ยามนั้นเขาย่อมได้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าขององค์ชายสามเป็นธรรมดา ทว่าแต่ไหนแต่ไรเขาก็เคารพรักและเทิดทูนอีกฝ่ายเสมอ จึงไม่เคยทำสายตาว่อกแว่ก ยิ่งไม่เคยแอบคิดฟุ้งซ่าน

แต่เวลานี้ในหัวเขากลับปรากฏภาพองค์ชายสามที่ปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจนหมด เรือนกายของนายท่าน ร่างกายท่อนล่างของนายท่าน…

ทันใดนั้นตัวอักษรหลายตัวบน ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ ก็แล่นเข้ามาในหัวสมอง

 

‘ดวงหน้านุ่มนวลสลักเสลาดุจหยก…สง่างามน่าเกรงขาม…แท่งหยกผงกขึ้นราวกับโกรธเกรี้ยว…ขยับขึ้นลง ปัดป่ายซ้ายขวา มุ่งตรงสู่ตะวันยอดขุนเขา…’

 

ดวงหน้าขาวกระจ่างของหรูซิ่วแดงก่ำ เขาปล่อยกายปล่อยใจกับภาพขององค์ชายสามยามอาบน้ำชำระกายอย่างไม่อาจยับยั้ง หัวใจเต้นระรัว ทว่าความรู้สึกผิดพลันทะลักล้น เขาปิด ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ อย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ‘พั่บ’ แล้วยัดมันกลับลงในหีบแบบส่งๆ

หรูซิ่วประณามตัวเองอยู่ในใจ แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งจิตใจที่ฟุ้งซ่านได้

นึกย้อนดูแล้ว คงจะเป็นตั้งแต่ตอนนั้นกระมังที่เขาบังเกิดความคิดที่ไม่อาจเปิดเผยต่ออีกฝ่าย

หลังจากนั้นเดือนกว่า องค์ชายสามเดินทางกลับมา พอได้เห็นร่างนั้นก้าวเท้าเข้าลานเรือนมาอย่างผ่าเผย อบอุ่นดุจลมวสันต์ สว่างไสวดุจดวงดารา หรูซิ่วทั้งรู้สึกยินดีทั้งละอายสลับผลัดเปลี่ยนไปมา ก่อนจะตัดสินใจเก็บความรู้สึกซับซ้อนไม่ชัดเจนของตัวเองไว้สูงสุดเทียมก้อนเมฆบนท้องฟ้า

และก็เป็นปีนั้นเองที่สายสัมพันธ์ระหว่างเขากับองค์ชายสามยุ่งเหยิงสลับซับซ้อนชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน

 

* ธรรมเนียมของโจวกง หมายถึงเรื่องในห้องหอของสามีภรรยา ในช่วงต้นราชวงศ์โจวตะวันตก ความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวในสมัยนั้นเป็นไปอย่างไร้ระเบียบแบบแผน โจวกงจึงกำหนดขั้นตอนการผูกสัมพันธ์ของหนุ่มสาวเอาไว้ 7 ขั้นตอน ได้แก่ สู่ขอ ถามชื่อและเวลาตกฟาก มอบของหมั้น ยกขบวนสินสอด กำหนดฤกษ์แต่ง เข้าพิธีวิวาห์ และสุดท้ายจึงเป็นการเข้าห้องหอ

ความหฤหรรษ์ผลิบานทั่วแผ่นฟ้า มังกรกับดวงตะวันร่วมเสพสม

 

ในห้องหนังสือกว้างตกแต่งอย่างเรียบหรู เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งยืนฝนหมึกอยู่ข้างโต๊ะ สายตาหลุบมองต่ำ การเคลื่อนไหวลื่นไหลชำนาญ ท่าทีจดจ่อดูฉลาดเฉลียว แต่ไม่นานดวงตาดำขลับของเขากลับฉายรอยไม่สงบ ค่อยๆ เหลือบมองผู้ซึ่งกำลังจับพู่กันเขียนตำราอย่างตั้งใจ…องค์ชายสามผู้สูงศักดิ์ สง่างามและเปี่ยมไปด้วยปัญญา นายท่านของเขา

สายตาของเด็กหนุ่มจับจ้องไปที่ดวงหน้าของผู้เป็นนาย เริ่มที่หน้าผากขาวสะอาด เรียวคิ้วเข้มหนา ต่อด้วยดวงตาใสกระจ่าง สันจมูกโด่งตรง รวมไปถึงริมฝีปากที่ขบเม้มน้อยๆ

เขารู้สึกอยู่เสมอว่าองค์ชายสามรูปงามยิ่ง แต่หลังจากกลับจากมองโกลคราวนี้ ยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าคำว่า ‘รูปงาม’ นั้นยังตื้นเขินเกินไป ไม่อาจพอใช้บรรยายผู้ที่อยู่ตรงหน้าได้

จากสายตาของเขา เครื่องหน้าทั้งห้าขององค์ชายสามล้วนสมส่วนได้รูป ไม่ว่าจะมองจากด้านบน จากด้านหน้า จากด้านข้าง ไม่ว่าจะด้านซ้ายหรือด้านขวา จะมองอย่างจริงจังหรือมองแบบผ่านๆ ล้วนได้สัดส่วน เขา…เคยลองทำมาแล้ว หรูซิ่วกล้าพูดได้เลยว่าหากให้จิตรกรที่มีฝีมือดีที่สุดมาวาดภาพใบหน้าขององค์ชายสามอย่างละเอียดลออ จากนั้นเมื่อพับรูปวาดเป็นสองส่วน เครื่องหน้าซีกซ้ายและขวาจะต้องทับกันสนิทพอดี ในความคิดของเขานี่ต่างหากจึงเป็นความสมส่วนที่แท้จริง

หากพูดถึงกลิ่นอายความองอาจผ่าเผยในตัวองค์ชายสาม ย่อมเห็นได้ชัดจนไม่ต้องพูดมากอยู่แล้ว เขาคิดว่าในประโยค ‘ผู้มีปัญญามักจิตใจกว้างขวาง ผู้ศึกษากลอนกวีมักสง่างามมีราศี’ นั้นหมายถึงองค์ชายสามนั่นเอง ขุนนางที่แวะเวียนมาที่วังส่วนใหญ่ล้วนสังกัดกรมพิธีการ แต่ละคนเป็นบัณฑิตมีการศึกษา แต่เขาไม่เคยเห็นผู้ใดมีสง่าราศีมากกว่าองค์ชายสามมาก่อน สรุปคือนายท่านของเขาเป็นผู้สง่างามบริสุทธิ์ ต่อให้ไม่มีอาภรณ์ติดกายก็ยังเป็นเช่นนั้น…

หากให้เขาเขียนบทความสรรเสริญรูปลักษณ์ขององค์ชายสาม ทุกประโยคจะต้องลงท้ายด้วยคำว่าสุภาพสง่างาม

 

‘เรือนกายสูงใหญ่ แข็งแกร่งกำยำ ทั้งสุภาพสง่างาม

แขนแกร่งน้าวศร เรียวขายาวหนีบควบม้า ทั้งสุภาพสง่างาม

ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน เปล่งประกายยามต้องน้ำ ทั้งสุภาพสง่างาม

เส้นขนดำขลับ แท่งหยกชูชัน ทั้งสุภาพสง่างาม

 

หยุดก่อน! นี่ไม่ใช่คำชมแล้ว แต่เป็นจิตใจฟุ้งซ่านต่างหาก เหตุใดเขาถึงได้หยาบโลนเช่นนี้…

‘ซิ่วเอ๋อร์…ซิ่วเอ๋อร์?’

ความคิดที่ไม่อาจเปิดเผยต่อผู้ใดได้พลันถูกขัดจังหวะ เด็กหนุ่มสะดุ้งอย่างร้อนตัว ทำแท่งหมึกหลุดมือร่วงลงพื้น น้ำหมึกกระเซ็นออกมา เปื้อนกระดาษเซวียนจื่อบนโต๊ะก่อนจะไหลหยดลงพื้น เขาตระหนกจนหน้าซีด รีบคุกเข่าเก็บแท่งหมึกขึ้นมา ทว่ากลับไม่ระวังชนเข้ากับกระดาษเซวียนจื่อจนมันปลิวกระจัดกระจาย ชั่วขณะนั้นจึงยิ่งลนลานเข้าไปใหญ่

มือไม้ของเขาไม่เคยเกะกะเช่นนี้มาก่อน รู้สึกอึดอัดไม่เป็นตัวเองยิ่ง

‘เป็นอะไรไป’ องค์ชายสามตกใจเล็กน้อย เขาวางพู่กันลง มองไปที่เด็กหนุ่มผู้กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่บนพื้น

หรูซิ่วหน้าแดงก่ำ ลนลานเงยหน้าขึ้นตอบ ‘เป็นข้าสะเพร่าเองขอรับ ข้าจะรีบไปนำผ้ามาเช็ดเดี๋ยวนี้’

เมื่อองค์ชายสามเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายก็นิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะฉีกยิ้ม คล้ายกำลังเบิกบานอยู่ไม่น้อย หรูซิ่วจับต้นชนปลายไม่ถูก เพียงเห็นองค์ชายสามยื่นมือออกมาเชยคางเขา ใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดแก้มเบาๆ

‘ดูเจ้าสิ ใบหน้าขาวราวไข่ปอกจู่ๆ ก็มีหนวดงอกขึ้นมาหนึ่งเส้น แต่กลับน่าดูยิ่งนัก’ องค์ชายสามยิ้ม ‘ดูเหมือนข้าจะเช็ดให้ยิ่งเลอะกว่าเดิมเสียแล้ว’

สมองของหรูซิ่วขาวโพลน ใบหูและลำคอล้วนแดงก่ำในพริบตา เรือลำน้อยกลางดวงใจที่โคลงเคลงอยู่แล้วพลันพลิกคว่ำ เขารีบลุกขึ้นยืนก่อนจะรีบร้อนเอ่ยปาก ไม่สนว่ากำลังกำแท่งหมึกกับกระดาษเซวียนจื่อไว้ในมือ ‘ข้าเช็ดเองได้ขอรับ นายท่านรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะให้พวกจงเอ๋อร์เข้ามาทำความสะอาด’

พูดจบก็รีบสาวเท้าออกจากห้องหนังสือราวกับกำลังวิ่งหนี องค์ชายสามส่ายหน้าพลางหัวเราะ แต่ไหนแต่ไรเด็กน้อยก็ละเอียดรอบคอบ ทั้งยังเข้มงวดกับตัวเองยิ่ง คงเพราะทำแท่งหมึกหลุดมือ ใจจึงได้กระวนกระวาย ลนลานจนทำอะไรไม่ถูก

หากจะว่าไป หลายวันมานี้หรูซิ่วคล้ายมีเรื่องในใจ หรือว่า…

ไม่นานพวกจงเอ๋อร์ก็เข้ามาทำความสะอาด องค์ชายสามเองก็เริ่มจดจ่อกับงานราชการ จากนั้นก็หารือเรื่องรายละเอียดพิธีต่างๆ กับขุนนางจากกรมพิธีการ ยุ่งจนไม่อาจปลีกตัวไปไหน พริบตาเดียวฟ้าก็มืดเสียแล้ว

เมื่อเหล่าขุนนางจากไป หรูซิ่วถึงค่อยกลับเข้ามาในห้องหนังสือ จัดระเบียบตำราต่างๆ อย่างเงียบๆ

ครั้นเห็นองค์ชายสาม แก้มที่ถูกสัมผัสไปเมื่อเช้าก็แดงก่ำขึ้นมาอีก เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าแม้องค์ชายสามจะปฏิบัติกับบ่าวรับใช้อย่างใจกว้างเสมอ ทว่าก็ยังรักษาระยะห่างระหว่างนายบ่าวอยู่ วันนี้เขาเสียกิริยาทำแท่งหมึกหล่น ด้วยนิสัยขององค์ชายสามไม่มีทางที่จะช่วยเช็ดหน้าให้เด็กรับใช้ในห้องหนังสือคนหนึ่ง…

‘เจ้าหายไปไหนตลอดทั้งบ่าย จงเอ๋อร์บอกว่าหาเจ้าไม่เจอ ข้าไม่มีคนช่วยจดบันทึก จึงได้แต่ให้จงเอ๋อร์ทำให้’ องค์ชายสามมองเขา น้ำเสียงแฝงรอยกรุ่นโกรธเล็กน้อย ทว่าไม่ได้แสดงความโกรธออกมา กลับกัน พอเห็นสองแก้มของอีกฝ่ายแดงระเรื่ออยู่ตลอดก็กวักมือเรียกเสียงเบา ‘ซิ่วเอ๋อร์ มานี่’

เด็กหนุ่มเข้าไปหาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ขณะที่คิดจะหาข้อแก้ตัว หน้าผากก็ถูกแตะ สัมผัสอุ่นร้อนบนผิวหน้าทำให้คำพูดที่กำลังจะหลุดออกจากปากหยุดชะงัก

องค์ชายสามดึงมือกลับ พูดเสียงอ่อนโยน ‘ข้าคิดไว้แล้วเชียวว่าเจ้าอาจจะไม่สบาย ไม่เช่นนั้นคงไม่วิ่งหายไปจนตามตัวไม่เจอเช่นนี้ เจ้าตัวร้อนอยู่เล็กน้อย อีกเดี๋ยวข้าจะให้หรูซย่าช่วยดูให้ วันหน้าหากรู้สึกไม่สบายก็พูดมาตามตรง’

หรูซิ่วก้มหน้าขานรับส่งๆ องค์ชายสามเห็นเช่นนั้นจึงยิ้มแล้วลูบหัวเขา

‘องค์ชายสาม แขกมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ’ จงเอ๋อร์เข้ามารายงาน

หรูซิ่วไม่รู้ว่าควรตอบสนองท่าทีอ่อนโยนขององค์ชายสามอย่างไรอยู่พอดี เมื่อถูกขัดจังหวะจึงถอนหายใจยาว เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นองค์ชายสามมีสีหน้ายินดี สั่งให้จงเอ๋อร์รีบพาแขกเข้ามาในห้องหนังสือ ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงให้หรูซิ่วออกไปได้

แขกที่มาในคืนนี้ หรูซิ่วเคยได้ยินหรูซย่าเอ่ยถึงอยู่บ้าง ได้ยินว่าเป็นบุตรชายของขุนนางขั้นหนึ่งในราชสำนัก เป็นหนึ่งในสหายร่วมเรียนขององค์ชายสามเมื่อครั้งยังเยาว์ ตอนนี้รับตำแหน่งอยู่ในกรมปกครอง แม้ในทางงานราชการจะไม่เกี่ยวข้องกับองค์ชายสาม แต่ก็มักแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนที่วังเสมอ

หรูซิ่วเห็นองค์ชายสามเก็บแววตาเป็นห่วงเป็นใยเมื่อครู่กลับไปอย่างรวดเร็ว เอาแต่กำชับจงเอ๋อร์ให้เตรียมชา เตรียมของว่าง จุดธูปหอม ทำราวกับเขาไม่มีตัวตน ในใจก็พลันผุดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่อยู่

‘เหตุใดยังไม่ไปอีกเล่า คืนนี้ไม่ต้องให้เจ้าอยู่รับใช้แล้ว ออกไปเถิด’ องค์ชายสามว่าก่อนจะหันไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องอื่น

หรูซิ่วนิ่งอึ้ง ได้แต่เหม่อมองเงาหลังขององค์ชายสาม ก่อนจะข่มใจเดินจากมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างยากเย็น เมื่อกลับถึงห้องตัวเองก็นั่งเหม่ออยู่บนเตียง เดี๋ยวก็คิดถึงสัมผัสอ่อนโยนตอนที่องค์ชายสามเช็ดแก้มให้เมื่อตอนเช้า เดี๋ยวก็คิดถึงความเย็นชาตอนที่เร่งให้เขาจากไปเมื่อครู่

อ่อนโยนดั่งน้ำผึ้ง เย็นชาดุจเข็มแหลม เขาในตอนนี้ราวกับกลืนน้ำผึ้งผสมเข็มแหลมลงท้อง รสหวานยังกำจายอยู่บนลิ้น แต่ในท้องกลับถูกทิ่มแทงจนเจ็บปวด

‘ซิ่วเอ๋อร์ ข้าได้ยินว่าเจ้าไม่สบาย เป็นอะไรหรือ’

เสียงของหรูซย่าดังขึ้น ดึงเขากลับมาจากภวังค์ หรูซิ่วเงยหน้า พอเห็นสีหน้าห่วงกังวลของอีกฝ่ายก็ตั้งสติได้ ตอบกลับไปว่า ‘พี่หรูซย่า ท่านยุ่งอยู่ไม่ใช่หรือ…นายท่านใช้ให้ท่านมา?’

‘องค์ชายสามทรงใช้จงเอ๋อร์ให้มาเรียกข้า บอกว่าเจ้ามีไข้เล็กน้อย’ หรูซย่านั่งลงข้างเตียง ก่อนจะยกมือขึ้นแตะหน้าผากเขา สังเกตสองข้างแก้มถึงค่อยยิ้มออกว่า ‘ไม่มีไข้ ให้ข้าจับชีพจรของเจ้าหน่อย’

หรูซิ่วครุ่นคิดอยู่ในใจ นายท่านกำลังต้อนรับแขกด้วยความเบิกบานใจ แต่ก็ไม่ลืมสั่งคนให้มาช่วยดูอาการให้ นายท่านปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ก็ถือว่าไม่เลวมากแล้ว เด็กหนุ่มพลันยิ้มออกมาน้อยๆ ‘ท่านไปทำงานของตัวเองเถิด ข้าไม่ได้เป็นอะไร อย่าต้องเสียงานเพราะข้าเลย’

‘ท่าทางซึมเซาเช่นนี้ คงไม่ได้ไปทะเลาะกับผู้อื่นมากระมัง จงเอ๋อร์หาเรื่องเจ้าหรือไร’ หรูซย่าพูดจบก็รู้สึกว่าตัวเองกังวลเกินเหตุ หลายปีมานี้เขาเคยได้ยินหลายครั้งว่าหรูซิ่วมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเด็กรับใช้คนอื่นๆ หรูซิ่วเฉลียวฉลาด การตอบสนองก็คล่องแคล่วว่องไว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาก่อน

หรูซิ่วส่ายหน้าด้วยท่าทีผ่อนคลาย เขาไม่เคยเห็นจงเอ๋อร์อยู่ในสายตา ทั้งไม่เกรงกลัวว่าจะถูกผู้อื่นรังแกมานานแล้ว เขาในตอนนี้กังวลอยู่เพียงเรื่องเดียว คิดได้เช่นนั้นจึงถามออกไปตามตรง ‘พี่หรูซย่า แขกที่มาคืนนี้สนิทสนมกับนายท่านมากหรือ’

หรูซย่าคาดไม่ถึงว่าหรูซิ่วจะถามเช่นนี้จึงนิ่งงันไปชั่วขณะ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงตอบกลับไป ‘ทั้งสองร่วมเรียนหนังสือด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก รู้จักกันมานานสิบกว่าปี ความสนิทสนมย่อมไม่ธรรมดา เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมหรือ’

เขาส่ายหน้า ‘แค่สงสัยเท่านั้น’

คนทั้งสองสนทนากันอีกหลายประโยค ก่อนหรูซย่าออกปากว่าจะไปจัดยาสงบใจให้เขาสักหลายเทียบ และบอกว่าพรุ่งนี้จะมาฝึกมวยด้วย จากนั้นถึงค่อยจากไป

หรูซิ่วเก็บเรื่องราวมากมายไว้ในอก เขาล้มตัวลงนอน จ้องมองเพดานอยู่นานสองนาน พลิกตัวไปมาอย่างไรก็นอนไม่หลับ จึงลุกจากเตียงมานั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าโต๊ะเล็ก แต่กลับพบว่าตัวเองเผลอหยิบแท่งหมึกราคาแพงขององค์ชายสามกลับห้องมาด้วย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยามนี้เป็นเวลากลางดึก แขกที่มาคงจะกลับไปนานแล้ว ถึงอย่างไรก็นอนไม่หลับ ไม่สู้รีบเอาของกลับไปคืนที่เดิมจะดีกว่า

เขาถือโคมดวงน้อย เดินช้าๆ ไปจนถึงเรือนขององค์ชายสาม เป็นไปตามคาด พวกจงเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว ด้านนอกห้องหนังสือเงียบสงบไร้ผู้คน นับแต่หรูซิ่วฝึกวรยุทธ์ การเคลื่อนไหวของเขาก็คล่องแคล่วขึ้นมาก ยามที่เปิดประตูเข้าไปแทบจะไม่เกิดเสียงใดๆ เขาวางโคมลงบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน แล้วจุดตะเกียงน้ำมัน พริบตาห้องหนังสือก็สว่างไสว เขาวางแท่งหมึกลงข้างแท่นฝนหมึก ก่อนจะพลิกดูรายการสำคัญของวันนี้ที่จงเอ๋อร์จดบันทึกเอาไว้ คิดจะหยิบขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด

แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย ในห้องหนังสืออันเงียบสงบ เขากลับได้ยินเสียงแผ่วเบาแว่วดังมาจากห้องลับหลังชั้นหนังสือ

เขาตื่นตระหนก หรือนายท่านจะนอนพักผ่อนอยู่ที่นี่ แม้ที่แล้วมาจะเคยทำเช่นนี้บ้าง แต่องค์ชายสามก็มักจะให้หนึ่งในพวกจงเอ๋อร์เฝ้ายามอยู่ด้านนอกเสมอ ไหนเลยจะสั่งให้ทุกคนถอยออกไปให้หมดอย่างเช่นในคืนนี้

หรูซิ่วละเอียดรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไร ไม่นานก็คิดเรื่องราวออกมาได้นับไม่ถ้วน ยิ่งยามนี้ใจเกิดความสงสัย ย่อมไม่อาจปล่อยให้ค้างคา เขาเป่าตะเกียงน้ำมันให้ดับ เหลือเพียงโคมดวงน้อย ก่อนจะผ่อนลมหายใจพลางใช้วิชาตัวเบา เดินเข้าไปใกล้ประตูห้องด้านในอย่างไร้สุ้มเสียง แนบหูกับบานประตูจนได้ยินเสียงด้านในชัดเจนขึ้น

นั่นเป็นเสียงหอบหายใจ ทั้งไม่ใช่ของคนคนเดียว นอกจากนี้ยังมีเสียงขลุกขลักดังผสานอยู่ตลอดเวลา ยิ่งฟังก็ยิ่งชวนให้สับสน เดิมทีเด็กหนุ่มสงสัยอยู่แล้ว ทั้งยังใจกล้ามากกว่าเด็กวัยเดียวกัน จึงตัดสินใจยื่นมือแง้มบานประตูออกอย่างไม่ลังเล ระหว่างที่แง้มประตูก็ไม่ทำให้เกิดเสียงแม้แต่น้อย

คาดไม่ถึงว่าช่องเล็กๆ ที่เปิดออกจะทำให้เขาเห็นภาพอันสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับฟ้าผ่ายามกลางวัน

ในห้องแคบๆ มีร่างสองร่างจุมพิตดูดดื่มราวกับไม่อยากแยกจาก แสงจากโคมดวงน้อยส่องแสงพอให้เห็นได้รางๆ ว่าผู้ที่กอดจูบกันอยู่นั้นเป็นองค์ชายสามกับบุรุษร่างผอมบางผู้หนึ่งซึ่งคงจะเป็นแขกที่มาคืนนี้ คนทั้งสองอยู่ในสภาพอาภรณ์หลุดลุ่ย ลูบไล้เรือนกายของกันและกัน เสื้อผ้าท่อนล่างถอดออกเพียงครึ่ง ริมฝีปากประกบกันแน่น ดวงตาขององค์ชายสามปิดลงน้อยๆ สีหน้าดูผ่อนคลายอย่างยิ่ง ริมฝีปากสมส่วนได้รูปนั่นกำลังพัวพันกับริมฝีปากของอีกฝ่าย ระหว่างนั้นยังสามารถเห็นปลายลิ้นที่กำลังเคลื่อนไหว!

เฮือก!

หรูซิ่วราวกับถูกสายฟ้าห้าสายฟาดใส่ ต่อให้เขาเฉลียวฉลาดเยือกเย็นมากกว่านี้ แต่จะให้ยอมรับภาพเร่าร้อนตรงหน้าก็ยังทำได้ยาก เขาผ่อนลมหายใจยาว เผลอใช้มือที่สั่นเทาเปิดประตูให้กว้างขึ้นโดยไม่ทันระวังจนเกิดเสียงดังชัดเจน คนทั้งสองที่อยู่ในห้องพลันหยุดเคลื่อนไหว จับจ้องมาที่ประตู

เมื่อองค์ชายสามเห็นว่าเป็นหรูซิ่วก็นิ่งอึ้งไป ก่อนที่หัวคิ้วจะขมวดมุ่น แขกคนนั้นหันมาเห็นก็แย้มยิ้ม เห็นชัดว่าไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อยที่ถูกลอบมอง

เทียบกับท่าทีเยือกเย็นของคนทั้งสอง หรูซิ่วกลับมือไม้ลนลาน เขารีบปิดประตูให้สนิท วิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเองในขณะที่ในหัวขาวโพลนไปหมด เมื่อถึงห้องก็รีบกั้นประตูเอาไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนเตียง จ้องประตูห้องอย่างเอาเป็นเอาตาย

ในเมื่อเขาพบเห็นองค์ชายสามอยู่กับชู้รัก บางทีอาจทำให้อีกฝ่ายโกรธจนไล่ตามมาซักไซ้

แต่รออยู่นาน รอบด้านกลับยังเงียบเชียบ เขาได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นกระหน่ำ ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดความคิดก็กลับมาแจ่มชัด จากนั้นอารมณ์ความรู้สึกอันหลากหลายก็ถั่งโถมเข้ามา

ระยะนี้ในหัวเขามักผุดภาพองค์ชายสามยามอาบน้ำชำระกาย ทั้งยามที่เห็นผู้เป็นนายก็มักจะนึกถึงประโยคใน ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ อย่างห้ามไม่อยู่ แต่ทุกครั้งที่กำลังจะถลำลึกก็จะหยุดเอาไว้เสียก่อน พร้อมทั้งด่าทอตัวเองที่ไม่รู้ดีชั่ว กล้าเอาความคิดเลื่อนลอยไปแปดเปื้อนองค์ชายสามผู้สูงส่ง

เขาทุกข์ทรมานอยู่ในใจ ชิงชังที่ตัวเองฟุ้งซ่าน แต่ในความเป็นจริงองค์ชายสามกลับทำเรื่องที่ว่ามาแล้วทั้งสิ้น ลิ้มลองเส้นทางหลงหยาง* ที่เขียนไว้ใน ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ จนหมด สหายร่วมเรียนตั้งแต่เยาว์วัยอะไรกัน เห็นทีคงจะเป็นคู่รักเหมยเขียวม้าไม้ไผ่** เสียมากกว่า!

เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านอกจากพระชายาเอกกับพระชายารองแล้ว องค์ชายสามยังชมชอบบุรุษด้วย

ทันใดนั้นไฟปรารถนาก็ปะทุขึ้น ในใจหรูซิ่วคันคะเยอไปหมด หากนายท่านจูบเขาเช่นเมื่อครู่นี้บ้าง…

หรูซิ่วส่ายหน้าอย่างแรง ก่อนจะยิ้มเย้ยตัวเองอยู่ในใจที่ลืมตัว ผู้อื่นเป็นถึงบุตรชายของขุนนางขั้นหนึ่ง ซ้ำยังมีฐานะเป็นถึงขุนนางราชสำนัก ตนไหนเลยจะเทียบเคียงได้

ยิ่งไปกว่านั้น แววตาขององค์ชายสามเมื่อครู่ช่างแปลกตาเหลือเกิน เมื่อลองคิดให้ดีๆ เหมือนจะเป็นสายตารำคาญใจและไม่แยแส อีกฝ่ายจะใช้สายตาโหดร้ายเช่นนั้นมองเขาได้อย่างไร เพียงคิดก็ทรมานนัก ช่างแตกต่างจากตอนที่ถามไถ่เขาอย่างเป็นห่วงเป็นใยราวกับคนละคน

ความอ่อนโยนขององค์ชายสามล้วนมอบให้สหายร่วมเรียนผู้นั้นไปหมดแล้ว

สุดท้ายความชอบหลงหยางของผู้เป็นนายก็เป็นของผู้อื่น

หรูซิ่วขมวดคิ้วแน่น ในใจเต็มไปด้วยความทุกข์ เขารู้สึกราวกับกลืนเข็มลงไป ปวดแสบปวดร้อนตั้งแต่ลำคอไปจนถึงช่องท้อง เจ็บทรมานจนไม่อาจทานทน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

 

* หลงหยาง หมายถึงบุรุษรักร่วมเพศ โดยมีที่มาจากหลงหยางจวิน บุรุษรักร่วมเพศคนแรกที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ มีชีวิตอยู่ในช่วง 243 ปีก่อนคริสตกาล ว่ากันว่าเขามีใบหน้าที่งดงามยิ่งกว่าหญิงสาว

** เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ เป็นสำนวนหมายถึงเพื่อนที่รู้จักและเป็นเพื่อนเล่น สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตก็เหมาะสมจะเป็นคู่รัก

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

Editor Jamsai: