มรสุมพลันสาดซัด เด็กหนุ่มโชกไปด้วยเลือด
ราตรีล่วงผ่านไปโดยไม่อาจข่มตาหลับ
วันถัดมาฟ้าเพิ่งจะสาง หรูซิ่วก็รีบวิ่งออกไปเคาะประตูห้องข้างๆ วานเด็กรับใช้คนอื่นให้ช่วยลางานให้ โดยบอกว่าตนต้องลมเย็นจนไม่สบาย
เขา…ไม่รู้ว่าควรจะสู้หน้าองค์ชายสามอย่างไร ในหัวยังมีแต่ภาพคนทั้งสองจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม
เขาเพียงต้องอดทนหลบหน้าอีกฝ่ายหนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้น เพราะพรุ่งนี้องค์ชายสามซึ่งเป็นผู้ดูแลพิธีบวงสรวงสวรรค์ต้องมุ่งหน้าไปตำหนักไจกงตั้งแต่รุ่งสาง ปรนนิบัติฮ่องเต้ให้ทรงถือศีลกินเจเป็นเวลาสามวัน
สามวันหลังจากนั้นเขาคงหายรู้สึกเก้อกระดากแล้วกระมัง ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นองค์ชายสามอาจจะลืมไปหมดแล้วก็เป็นได้ ลืมว่าเด็กรับใช้ในห้องหนังสือไม่รู้ดีชั่วคนนี้เคยเห็นตนกำลังพลอดรักกับผู้อื่นอย่างเร่าร้อน…
เฮ้อ…ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น นายท่านความจำดียิ่งกว่าอะไรเสียอีก!
หรูซิ่วพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง จิตใจว้าวุ่นไปหมด เมื่อคืนเขาไม่น่าวุ่นวายเลย จะเอาแท่งหมึกไปคืนกลางดึกเพื่ออะไร! ทำให้ต้องเห็นเรื่องอันน่าตระหนกขององค์ชายสาม ดวงตาที่หลับพริ้มยามที่กอดจูบกันนั่น…
เด็กหนุ่มกึ่งนอนกึ่งคุกเข่าถอนใจอยู่บนเตียง จู่ๆ ก็มุดเข้าไปในผ้าห่มจนมิดหัว เปล่งเสียงร้องคร่ำครวญอยู่ข้างใน คิดไปคิดมาลึกๆ ในใจเขาก็ยังรู้สึกกระดากอยู่ดี สองเท้าเด็กหนุ่มเตะสะบัด สองหมัดปัดป่าย พลิกคว่ำพลิกหงายอยู่บนเตียง สุดท้ายก็ทนไม่ไหว คว้ามุมผ้าห่มขึ้นมากัดทึ้งอย่างแรง สะบัดซ้ายขวาอยู่หลายทีราวกับผ้าห่มผืนนี้เป็นคู่แค้นมาแต่ชาติปางก่อน
หลังระบายอารมณ์อยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจิตใจของเขายังคงไม่สงบ ราวกับลูกสิงโตออกมาเล่นซุกซนในฤดูใบไม้ผลิ
ผ่านไปครู่หนึ่ง อาจเป็นเพราะกระวนกระวายมาทั้งคืน หัวจึงรู้สึกหนักอึ้ง ร่างกายผ่อนคลาย ก่อนเปลือกตาจะค่อยๆ ปิดลง เขาหลับไปราวกับคนสิ้นสติ
พระอาทิตย์ตกดินดวงจันทร์ขึ้นแทนที่ ความมืดปกคลุมไปทุกแห่งหน เด็กหนุ่มหลับสนิทไม่รู้สึกตัว ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูอย่างเร่งร้อนก็ดังขึ้น ก่อนที่เสียงตะโกนจะตามมา
‘ซิ่วเอ๋อร์ รีบออกมาเร็วเข้า! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ซิ่วเอ๋อร์!’
เด็กหนุ่มสะดุ้งน้อยๆ ลืมตาทั้งสองข้าง เสียงของพี่หรูซย่า? เมื่อตื่นตระหนก สติก็พลันแจ่มชัด เขารีบลุกขึ้นมา ตอนที่กำลังกระวีกระวาดใส่รองเท้า ประตูก็ถูกเปิดออก
‘เกิดอะไร…’
‘บทในพิธีบวงสรวงขององค์ชายสามหายไป เจ้าจำได้หรือไม่ว่าวางเอาไว้ที่ใด’ หรูซย่าร้อนใจจนสีหน้าดูไม่ได้
หรูซิ่วตกใจอย่างมาก ‘มิใช่ว่าเก็บไว้ในหีบใต้โต๊ะหนังสือหรอกหรือ’
‘ในหีบว่างเปล่า เจ้าคุ้นเคยกับห้องหนังสือ รีบตามไปช่วยค้นเร็วเข้า!’ หรูซย่าพูดไม่ทันจบก็ลากแขนเด็กหนุ่มวิ่งตรงไปที่ห้องหนังสือ
เมื่อไปถึงก็พบว่าในห้องหนังสือจุดโคมจนสว่างไสว บ่าวรับใช้หลายคนค้นหาทุกซอกมุมอย่างอกสั่นขวัญแขวน ขุนนางหนุ่มจากกรมพิธีการสองคนยืนอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าซีดขาว ส่วนองค์ชายสามนั้น…ครั้นหรูซิ่วมองไปยังองค์ชายสาม หัวใจก็พลันบีบรัด! องค์ชายสามหน้านิ่วคิ้วขมวด ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเคร่งเครียด ท่าทางโกรธขึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หรูซิ่วไม่เคยเห็นองค์ชายสามเป็นเช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะนั้นก็อดนึกเห็นใจไม่ได้
ปีนี้องค์ชายสามรับผิดชอบดูแลพิธีบวงสรวงเป็นปีแรก ทั้งฮ่องเต้ยังทรงเสนอชื่อด้วยพระองค์เอง เหตุเพราะเมื่อปีก่อนเกิดความผิดพลาดขึ้น ตอนนั้นฮ่องเต้ทรงเห็นว่าเนื้อความของบทบวงสรวงไม่รัดกุมมากพอ ทั้งตัวบทความเองก็ยังขาดความประณีตระมัดระวัง ทำให้ขุนนางกรมพิธีการหลายคนถูกลงโทษสถานหนัก
ปีนี้ฮ่องเต้จึงทรงกำชับองค์ชายสามเป็นพิเศษว่าให้ดูแลอย่างรอบคอบ แต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้ก็ทรงโปรดปรานพรสวรรค์ด้านการประพันธ์ขององค์ชายสาม ทั้งยังทรงเกรงว่าจะเกิดข้อผิดพลาดกับโอรสองค์โปรด ครึ่งเดือนก่อนยังทรงเรียกองค์ชายสามไปเข้าเฝ้าเป็นพิเศษ ฮ่องเต้และขุนนางร่วมหารือเนื้อความบทบวงสรวงในห้องทรงพระอักษร หลายประโยคในนั้นยังเป็นประโยคที่ฮ่องเต้ตรัสออกมาด้วยพระองค์เอง
วันนั้นองค์ชายสามกลับวังมาด้วยอารมณ์เบิกบานยิ่ง ทั้งยังหยิบเอาบทบวงสรวงขึ้นมาอ่านทวนอย่างละเอียดอยู่หลายต่อหลายครั้ง ท่าทางมีความสุขมาก เขาเคยหลุดปากบอกหรูซิ่วว่าบทบวงสรวงฉบับนี้เขากับฮ่องเต้ร่วมกันร่างขึ้นมา สองวันก่อนงานพิธีจึงค่อยเขียนลงบนกระดานบวงสรวง
เพราะเป็นของสำคัญมาก องค์ชายสามจึงสั่งให้เขาหาหีบไม้แกะสลักมาใบหนึ่งเป็นพิเศษ ก่อนจะเอากระดานบวงสรวงเก็บลงในหีบอย่างระมัดระวัง วางไว้ใต้โต๊ะหนังสือ
จะหายไปไม่เห็นแม้แต่เงาได้อย่างไร
หรูซิ่วเดินเข้าไปที่หน้าโต๊ะหนังสือก็เห็นหีบไม้ที่ข้างในว่างเปล่า ‘เมื่อวานตอนข้าเข้ามาจัดโต๊ะหนังสือก็ตรวจทานดูแล้วรอบหนึ่ง ตอนนั้นมันยังวางอยู่ในนี้’
องค์ชายสามหันมามองเขา เอ่ยด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น ‘เมื่อครู่ก่อนออกไปของก็ยังอยู่ดี ข้าตรวจดูด้วยตัวเองแล้ว คาดไม่ถึงว่าตอนเปิดดูอีกทีบนรถ ข้างในกลับว่างเปล่า’ โชคดีที่เขานึกสังหรณ์ใจเปิดหีบออกดู ไม่เช่นนั้นหากรอจนถึงพรุ่งนี้ค่อยรู้ตัว ผลลัพธ์ย่อมไม่น่าพิสมัย
หมายความว่าบทบวงสรวงเพิ่งหายไป? หรูซิ่วรีบหันไปตะโกนบอกหรูซย่า ‘รีบส่งคนไปปิดประตูข้างกับประตูเล็กให้หมด! ตรวจวังให้ทั่วว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่!’
องค์ชายสามได้ยินดังนั้น แววตาก็พลันฉายรอยระแวดระวัง ก่อนจะหันไปพยักหน้ากับหรูซย่า อีกฝ่ายรับคำสั่ง รีบออกไปจัดการทันที
ครั้นขุนนางกรมพิธีการทั้งสองเห็นว่าสถานการณ์ไม่เข้าที ก็กระซิบกระซาบปรึกษากัน คนหนึ่งแนะนำให้องค์ชายสามรีบเขียนฉบับใหม่ บางทีหากทุกคนช่วยกันรีดเค้นความจำอาจจะเขียนออกมาได้สมบูรณ์ไม่ขาดตกแม้แต่หนึ่งตัวอักษรก็เป็นได้ องค์ชายสามครุ่นคิดไม่ตอบคำ
หรูซิ่วเข้าใจความคิดของผู้เป็นนายดี บทบวงสรวงฉบับที่หายไปนั้น ฮ่องเต้ทอดพระเนตรองค์ชายสามเขียนลงไปทุกตัวอักษร วันนี้หากนำฉบับอื่นไปแทน แล้วฮ่องเต้ตรัสถามขึ้นมาจะทำอย่างไร ย่อมไม่อาจยอมรับตรงๆ ว่าทำของสำคัญสูญหายกระมัง
‘นายท่าน กำหนดการเดิมมิใช่ออกเดินทางพรุ่งนี้เช้าหรือขอรับ’ หรูซิ่วสอบถาม ยามนี้เขาลืมเหตุการณ์น่ากระอักกระอ่วนก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น ใจคิดแต่จะไขเรื่องราวให้กระจ่าง ตามหาว่าบทบวงสรวงหายไปไหน
‘ตอนค่ำองค์ชายสามเพิ่งตัดสินพระทัยว่าจะเสด็จล่วงหน้าไปเตรียมการที่ตำหนักไจกงก่อน’ ผู้ตอบคือหรูชุน ‘ข้าเป็นคนยกหีบขึ้นไปบนรถม้าเอง แต่ตอนนั้นรับมาจากตงเอ๋อร์อีกที’
ผู้ถูกเรียกชื่อสะดุ้งจนตัวโยน เขารีบคุกเข่าลงร่ำไห้ ‘ข้าก็รับของมาอีกที เป็นจงเอ๋อร์ที่ส่งหีบไม้มาให้ข้า’
สิ้นคำกล่าวนั้น องค์ชายสามกับหรูซิ่วก็โพล่งขึ้นพร้อมกัน ‘จงเอ๋อร์เล่า’
ทันใดนั้นก็แว่วเสียงเอะอะจากด้านนอก หรูซิ่วเป็นคนคล่องแคล่วว่องไว พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปด้านนอก แล้วก็เห็นหรูซย่าพาองครักษ์หลายนายเข้าปิดล้อมภูเขาจำลองที่อยู่ในลานเรือน
‘มีอะไรหรือ’ หรูซิ่วเอ่ยถาม
‘จงเอ๋อร์ถูกคนทุบหมดสติแล้วถูกนำมาซ่อนอยู่ในช่องภูเขาจำลอง’ องครักษ์นายหนึ่งตอบ
องค์ชายสาม ขุนนาง และบ่าวรับใช้ต่างเดินตามออกมา กลางดึกที่เดิมทีเงียบสงัด ยามนี้กลับวุ่นวาย เริ่มเห็นเค้าพายุก่อตัวได้รางๆ
หรูซย่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาออกแรงเขย่าร่างหรูจง ‘จงเอ๋อร์ รีบตื่นเร็วเข้า บทบวงสรวงอยู่ที่ใด’
หรูซิ่วเข้าไปสังเกตดูใกล้ๆ ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เขายื่นมือออกไปลูบเบาๆ ก่อนจะพบว่าแผ่นหลังของหรูจงอาบไปด้วยเลือด ขณะที่กำลังตระหนก ด้านนอกภูเขาจำลองก็มีเสียงดังขึ้น
‘มือสังหาร! รีบมาช่วยกันเร็ว!’
หรูซิ่วกับหรูซย่าทะยานร่างตามออกไป แต่กลับเห็นภาพด้านหน้าสับสนอลหม่านไปหมด องครักษ์กับบ่าวรับใช้ในวังหลายคนต่างพากันวิ่งออกจากห้อง ใต้แสงจันทร์กระจ่าง เงาร่างหนึ่งหลุดรอดออกจากวงล้อมขององครักษ์ ก่อนจะหนีขึ้นหลังคาด้วยความรวดเร็วประดุจเลี่ยเป้า* คงเพราะเห็นว่าประตูด้านข้างถูกปิดไว้หมด เมื่อหาทางออกไม่ได้ก็ได้แต่ไต่หลังคาข้ามกำแพง หนีสุดกำลัง
‘รีบตามไป!’ หรูซย่าฝีมือดีที่สุด เขารีบกระโดดตามขึ้นไปบนหลังคา หรูซิ่วตามหลังไปติดๆ เพียงแต่อีกฝ่ายได้เปรียบตรงที่นำออกไปก่อน ทั้งฝีเท้าก็เร็วรี่ พริบตาก็ใกล้จะหลุดออกจากอาณาเขตกำแพง
‘หรูซย่า หรูซิ่ว หลบไป!’
องค์ชายสามตะโกนสั่งเสียงเครียด ทุกคนหันกลับไปมองก็เห็นเขายืนอยู่บนหินใหญ่ข้างสระน้ำ ในมือถือธนูที่แย่งมาจากองครักษ์ แขนแกร่งน้าวศร สายตาจับจ้องแม่นมั่น ท่วงท่าสง่างามยิ่งกว่าเทพเซียน แววตาของชายหนุ่มสงบนิ่ง เสียง ‘ฟิ้ว’ ดังขึ้น ลูกศรพุ่งแหวกอากาศอย่างรวดเร็วประดุจฟ้าแลบ ก่อนจะปักเข้าใส่ร่างของผู้ที่อยู่บนกำแพง ลูกศรพุ่งทะลุต้นขา มือสังหารร้องออกมาก่อนจะล้มลง
หรูซย่ากับหรูซิ่วรีบทะยานเข้าไปกดร่างอีกฝ่ายเอาไว้
‘เจ้าคนสารเลว! ของเล่า’ หรูซย่าคว้าคอเขาอย่างไม่ปรานีพลางคาดคั้น
หรูซิ่วรีบค้นตัวแต่กลับไม่เจอสิ่งใด
ตอนนั้นเององค์ชายสามก็นำองครักษ์วิ่งตามมา ซักถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาแฝงความโกรธเกรี้ยว ‘ผู้ใดสั่งให้เจ้ามา เหตุใดต้องขโมยบทบวงสรวงไปด้วย’
เมื่อศัตรูเห็นองค์ชายสาม แววตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หรูซิ่วเห็นความผิดปกติที่แทบมองไม่ออก ในใจก็ส่งเสียงร้องเตือน เมื่อเห็นมือสังหารขบฟันหมายจะกัดลิ้นให้ขาด เขาจึงรีบดึงหนวดของอีกฝ่ายอย่างแรง ก่อนจะหาของบางอย่างยัดเข้าไปในปาก ป้องกันไม่ให้ฆ่าตัวตาย
‘ยังมีอีกคน! บนหลังคา!’
ทุกคนตกใจจนนิ่งงัน เพราะแต่ไหนแต่ไรมาวังขององค์ชายสามก็สงบเงียบไร้เรื่องราว เหล่าองครักษ์ล้วนผ่านคืนวันไปอย่างเงียบสงบ งานที่ทำยามปกติอย่างมากก็แค่เดินลาดตระเวนเท่านั้น ไม่เคยได้ประมือสู้รบกับศัตรูที่ไหน ชั่วขณะนั้นจึงตอบสนองไม่ทัน ยิ่งไปกว่านี้เมื่อครู่ก็เพิ่งเกิดเหตุวุ่นวายไปหมาดๆ มือสังหารปรากฏตัวออกมาคนหนึ่งก็น่าตื่นตระหนกพอแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าพบเพิ่มอีกคนหนึ่ง
‘ของต้องอยู่ที่มันแน่!’ หรูซิ่วตะโกน ชี้นิ้วไปยังมือสังหารที่อยู่บนหลังคา
พอได้ยินดังนั้นทุกคนก็รีบวิ่งตามไป องค์ชายสามนำอยู่ด้านหน้าสุด หรูซิ่วเห็นมือสังหารชะงักฝีเท้าพลางหันมามองกลุ่มคนที่ไล่ตามมา ในใจก็รู้สึกไม่เข้าที เป็นไปตามคาด มือสังหารมองเป้าหมาย มือขวายกขึ้น มีดบินเล่มหนึ่งถูกซัดออกมาราวกับสายฟ้า พุ่งเข้าใส่องค์ชายสามที่นำอยู่ด้านหน้า
‘นายท่านระวัง!’
หรูซิ่วกระโดดเข้าไปบังอยู่ข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะคิด เสียง ‘ฉึก’ ดังขึ้น มีดบินปักเข้าที่สีข้างของเขา พริบตาเลือดสดๆ ก็ไหลอาบย้อมชุดที่สวมจนแดงฉาน ความเจ็บปวดแผ่กระจายจากบริเวณเอวอย่างช้าๆ
‘ซิ่วเอ๋อร์’
องค์ชายสามร้องลั่น
หรูซิ่วไม่แม้แต่จะห่วงตัวเอง เด็กหนุ่มจับจ้องมือสังหารบนหลังคาที่ถูกหรูซย่ากับองครักษ์ล้อมเอาไว้อย่างร้อนใจ วรยุทธ์ของศัตรูไม่อาจเทียบกับหรูซย่า ครั้นเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีก็ล้วงของจากในอกเสื้อโยนออกมาตรงๆ ก่อนจะฉวยโอกาสตอนที่หรูซย่ากับคนอื่นๆ ช่วยกันเข้ามารับของหนีหายไปราวกับกลุ่มควัน
‘เจอบทบวงสรวงแล้ว!’ หรูซย่าเปิดห่อของออกดูก็พบว่าเป็นบทบวงสรวงที่หายไป จึงร้องบอกเสียงดัง
‘ดีจริงๆ นายท่านรีบนำไปที่ตำหนักไจกงเถิดขอรับ’ หรูซิ่วกุมแผลที่สีข้าง หันไปเอ่ยกับองค์ชายสามด้วยความยินดี
ซิ่วเอ๋อร์…เมื่อเห็นริมฝีปากซีดขาวของเด็กหนุ่ม แววตาขององค์ชายสามก็วูบไหว แม้เลือดจะไหลออกมาจากร่องนิ้ว แต่เจ้าตัวก็ยังยิ้มออก เพียงเพราะว่าหาบทบวงสรวงเจอแล้วเท่านั้นเอง ชั่วขณะนั้นองค์ชายสามพลันเกิดความรู้สึกอันยากจะบรรยาย
‘ไฉนเลือดจึงออกมากเช่นนี้!’ หรูซย่าร้องตระหนก ทำท่าจะเข้ามาดูแผลให้เขา
‘ระวังอย่าทำให้บทบวงสรวงสกปรก ข้าไม่เป็นไร…’
พูดไม่ทันขาดคำ ร่างกายก็พลันอ่อนระทวย องค์ชายสามเห็นเช่นนั้นก็ก้าวเข้าไป ใช้มือหนึ่งคว้าร่างเด็กหนุ่มเข้ามากอดแนบอก แล้วอุ้มขึ้นมา
แม้หรูซิ่วจะสิ้นสติ ดวงตาทั้งสองข้างปิดแน่น ทว่าขนตากลับสั่นไหวไม่หยุด หรูซย่าที่เหลือบไปเห็นโดยไม่ตั้งใจพลันรู้สึกงงงัน คนสิ้นสติที่ไหนเป็นเช่นนี้กัน
ความจริงหรูซิ่วไม่เพียงขนตาขยับไหว แต่หัวใจยังเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้หมดสติไปจริงๆ สติรับรู้ของเขาแจ่มชัดอย่างยิ่ง จะว่าไปแล้วก็น่าอายนัก ที่จริงเมื่อครู่เขาเพียงรู้สึกวิงเวียนจนก้าวพลาดเท่านั้น หลังจากนั้นถึงค่อยพบว่าตัวเองถูกองค์ชายสามอุ้ม ชั่วขณะนั้นสองขาพลันสิ้นแรงขึ้นมาจริงๆ จึงได้แต่ทำหน้าหนาซบแผงอกขององค์ชายสาม แสร้งทำเป็นหมดสติ…
แต่จะบอกว่าหลอกลวงก็ไม่ถูกต้องนัก เขาเสียเลือดไปมากถึงเพียงนี้ ทั้งเจ็บบาดแผลอย่างยิ่ง ต้องหลับตาพักผ่อนให้มากจึงจะดี
ภายใต้แสงจันทร์ เด็กหนุ่มทำตัวราวกับเด็กน้อยเอาแต่ใจ ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นนายไม่ขยับ รู้สึกเพียงว่าอ้อมแขนที่โอบตนอยู่นั้นมั่นคงเหลือเกิน ขณะที่มุ่งหน้ากลับห้อง ร่างของเด็กหนุ่มเอนไหวไปตามฝีเท้าหนักแน่นขององค์ชายสาม เขาเริ่มรู้สึกง่วงงุน เบาสบายราวอยู่บนก้อนเมฆ
หรูซิ่วมีความสุขนัก ในใจยิ่งหวานล้ำ คิดไม่ถึงว่าเพียงถูกมีดบินเล่มหนึ่งปักใส่เท่านั้น เขาก็ถูกองค์ชายสามโอบกอดไว้ในอ้อมแขน ช่างเหนือความคาดหมายและโชคดีหาใดเปรียบ คุ้มค่าเหลือเกิน!
* เลี่ยเป้า หมายถึง เสือดาว
ล่วงเกินอย่างไม่อาจให้อภัย บังคับจูบนายท่าน
ในห้องแคบๆ ทุกคนพากันเบียดเสียดอยู่ข้างเตียง องค์ชายสามครอบครองเก้าอี้ที่มีอยู่ตัวเดียวในห้อง รอหรูซย่าตรวจดูบาดแผลของหรูซิ่วอย่างเป็นกังวล ไม่นานหรูซย่าก็เงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ ‘องค์ชายสาม บาดแผลไม่ลึกมาก กระหม่อมจัดการทำแผลให้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ’
องค์ชายสามถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะสั่งให้หรูชุนกับหรูตงนำตัวมือสังหารไปขังไว้ในคุก ทั้งยังส่งองครักษ์มือดีสิบนายไปเฝ้าเอาไว้ หลังจากนั้นจึงค่อยเบาใจลงได้ เมื่ออารมณ์ผ่อนคลายลงแล้ว ชายหนุ่มถึงค่อยมีกะจิตกะใจมองสำรวจภายในห้อง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาในห้องของหรูซิ่ว
เตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้หนึ่งตัว ตู้เสื้อผ้าเล็กๆ อีกหนึ่ง ตกแต่งอย่างเรียบง่ายสมถะ บนเตียงมีผ้าห่มกลางเก่ากลางใหม่อยู่หนึ่งผืน ถุงเท้า รองเท้า ผ้าเช็ดหน้า ป้านชา ทุกอย่างล้วนแต่เป็นของเก่ารูปแบบเรียบง่าย ทว่าสะอาดสะอ้านยิ่ง
‘ข้าจำได้ว่าเมื่อปีก่อนได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้พวกเจ้านำไปตัดชุดกับรองเท้าถุงเท้าใหม่ ทั้งยังซื้อข้าวของเครื่องใช้ให้ไม่น้อย’ องค์ชายสามหันไปมองหรูซย่า ‘หรูซิ่วไม่ได้รับหรืออย่างไร’
หรูซย่านิ่งไป ก่อนจะรีบร้อนอธิบาย ‘ตอนนั้นเขาบอกว่าต้องการเพียงรองเท้าใหม่คู่เดียวเท่านั้น และยังบอกอีกว่าข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ยังใช้ได้อยู่ ไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมให้ แต่เขาก็มาทวงเงินที่เหลือไปจากกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ ทั้งยังนับจำนวนอย่างละเอียด กระหม่อมเห็นว่าที่จริงจำนวนเงินก็ไม่ได้มากอะไร เลยให้ไปพ่ะย่ะค่ะ’
หรูซิ่วที่แกล้งหลับอยู่บนเตียงอดขมวดคิ้วไม่ได้ พี่หรูซย่าจะพูดอ้อมค้อมหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร จำเป็นต้องโพล่งออกไปตรงๆ เช่นนี้ด้วยหรือ
องค์ชายสามนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาไม่เคยได้ยินว่าบ่าวรับใช้คนไหนร้องขออะไรแบบนี้มาก่อน จึงตวัดสายตามองไปยังหรูซย่า ‘หรูซิ่วเจ้าเล่ห์มาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้ข้าพอจะรู้ แต่เจ้าก็ตามใจเขาเกินไปแล้ว’
ผ้าห่มและเสื้อผ้าล้วนแต่มีรอยปะชุน เมื่อกวาดสายตามองไปทั่วห้องก็ไม่มีของอะไรที่สามารถนำมาอวดอ้างได้เลย ยังดีที่บนโต๊ะมีที่ทับกระดาษกับเครื่องเขียน นอกจากนี้ยังมีแท่นสำหรับจุดธูปหอม หากไม่มีของเหล่านี้อาจจะทำให้หลงเข้าใจไปว่านี่เป็นห้องขัง องค์ชายสามคิดขณะพลิกกระดาษดู เขาอยากรู้ว่าหรูซิ่วเขียนอะไรบ้างในยามปกติ แต่กลับพบภาพวาดหลายแผ่นที่พับอยู่ด้านล่างสุด เมื่อมองอย่างละเอียดก็อดตะลึงงันไปไม่ได้ ความสงสัยผุดขึ้นในแววตา…
หรูซิ่วนอนอยู่บนเตียง ทว่าสองหูกลับชี้ชันราวกระต่ายน้อย ตอนที่ได้ยินผู้เป็นนายบอกว่าเขาเจ้าเล่ห์ก็ทั้งตระหนกทั้งอับอายจนเกือบจะลุกขึ้นมาโต้แย้ง เขาเจ้าเล่ห์เมื่อไรกัน
‘ที่จริงสองปีก่อนเขาก็เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ แทบไม่เคยซื้อข้าวของเครื่องใช้ บอกแต่ว่าต้องการเงิน กระหม่อมคิดว่าเงินที่เขาเก็บไว้คงมีไม่น้อย…’ หรูซย่าเกาหัว ครั้นเห็นสีหน้าองค์ชายสามทั้งฉิวทั้งขันก็รีบเดินไปที่เตียง ก่อนจะยื่นมือลูบๆ คลำๆ ‘ทั้งหมดเขาล้วนเก็บไว้ในกล่องใบหนึ่ง บอกว่าวันหน้าจะเก็บเอาไว้ซื้อของดี…’
‘อันใด จะซื้อของดีอะไรกัน’ องค์ชายสามหัวเราะออกมา คืนนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ทั้งยังเสี่ยงอันตรายไม่น้อย แต่ในเมื่อได้ของที่หายไปกลับคืนมาแล้ว ได้ฟังเรื่องสนุกผ่อนคลายอารมณ์บ้างก็ดีเหมือนกัน ชายหนุ่มเหลือบมองภาพวาดอีกครั้ง ในแววตายังมีรอยสงสัย แต่ไม่นานก็พับกระดาษแผ่นนั้นลงตามเดิม
หรูซิ่วกลับเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง เด็กหนุ่มลืมตาขึ้น โอดครวญเสียงเบา ขณะเดียวกันก็ผลักมือหรูซย่าออก ‘พี่หรูซย่า ต่อหน้านายท่าน ท่านอย่าพูดจาไร้สาระได้หรือไม่’
‘เจ้าฟื้นเร็วถึงเพียงนี้เชียว’ หรูซย่าตกใจ ทว่ากลับไม่สนใจอาการต่อต้านของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ไม่นานเขาก็ควานเจอกล่องผ้าใบหนึ่ง
หรูซิ่วเห็นดังนั้นก็รีบยื่นมือหมายจะแย่งคืนมา แต่กลับถูกอีกฝ่ายตีมือดัง ‘เพียะ’ เมื่อมองตามก็เห็นว่าองค์ชายสามชิงเอากล่องผ้าไปแล้ว เด็กหนุ่มร้อนใจ รีบร้อนจะลุกขึ้นจากเตียง แต่ถูกหรูซย่ากดให้นอนลงตามเดิม
‘เจ้าได้รับบาดเจ็บ นอนนิ่งๆ อย่าขยับ’ หรูซย่าออกคำสั่ง
‘นายท่านมิใช่จะไปตำหนักไจกงหรือขอรับ’ หรูซิ่วมองค้อนหรูซย่าทีหนึ่ง พอเห็นองค์ชายสามเปิดฝากล่องผ้าออกแล้วก็ยิ่งร้อนรนกว่าเดิม ‘หากไปสายจะถือเป็นการลบหลู่นะขอรับ!’
‘เหลวไหล ช้าไปครึ่งชั่วยามเท่านั้น ลบหลู่อันใดกัน’ องค์ชายสามตำหนิ ‘เจ้าต่างหากที่เที่ยวรีดไถทรัพย์ในวังของข้า คิดว่าจะรอดตัวหรือ’
หรูซย่าจิ้มหน้าผากเขาเบาๆ ‘เจ้าต้องโดนเสียบ้าง’
ความจริงในปีนั้นที่องค์ชายสามกับหรูซย่าเก็บเขามาจากข้างถนน นับแต่นั้นส่วนลึกในจิตใจของทั้งสองก็รักใคร่ตามใจเขาเป็นอย่างยิ่ง คราวนี้ก็เพียงเห็นเขาเป็นเด็กน้อย ตั้งใจจะหยอกล้อให้สำราญใจเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำให้กลัวหรือจะลงโทษแต่อย่างใด
เดิมหรูซิ่วก็เป็นคนเฉลียวฉลาด ย่อมเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า เพียงแต่ในกล่องผ้าใบนั้นซ่อนของที่ไม่อาจให้ผู้เป็นนายเห็นเอาไว้ เขาร้อนใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว จึงได้แต่เอ่ยขอร้อง ‘ข้าปวดแผลนักขอรับ นายท่านละเว้นข้าเถิด อย่าล้อข้าเล่นอีกเลย คืนกล่องให้ข้าเถอะ อย่าเปิดดู อย่าแตะต้อง ข้าขอร้องนายท่าน!’
องค์ชายสามรู้สึกขบขันยิ่ง เดิมเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะค้นดูในกล่องอยู่แล้ว ครั้นเห็นหรูซิ่วร้อนใจจริงๆ จึงหัวเราะพลางปิดกล่องผ้าลงตามเดิม ขณะนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นของคุ้นตาภายในกล่อง หัวใจเขาพลันเต้นแรง เกิดความสงสัยเช่นเดียวกับตอนที่เห็นภาพวาด
‘เจ้าเกือบทำให้ข้าถูกองค์ชายสามเข้าพระทัยผิดว่าดูแลเจ้าไม่ดี บัญชีนี้พวกเราต้องค่อยๆ สะสาง’ หรูซย่าเอ็ดเสียงเบา ทว่าหรูซิ่วไม่มีกะจิตกะใจจะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย ดวงตาแยกดำขาวชัดเจนเบิกกว้าง จ้องไปยังผู้เป็นนายด้วยความกังวล
องค์ชายสามเห็นสายตาของเขาก็ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มวางกล่องผ้าลงที่ปลายเตียง เขาตัดสินใจสั่งให้คนอื่นออกไปก่อน จากนั้นถึงพูดขึ้นว่า ‘หรูซย่า เจ้าช่วยพวกหรูชุนเก็บกวาดเรื่องนี้แล้วกัน แม้มือสังหารคนหนึ่งจะหนีไปได้ แต่หากป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อพิธีบวงสรวง’
‘ย่อมไม่อาจป่าวประกาศออกไปจริงๆ ขอรับ’ หรูซิ่วออกความเห็นพลางพยุงตัวขึ้นนั่ง ‘หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ฮ่องเต้ต้องทรงพิโรธหนัก พิธีบวงสรวงใกล้จะเริ่มขึ้นอยู่แล้ว อย่าทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากอีกจะดีกว่า ยิ่งกว่านั้นพวกเราก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนสั่งการ มิสู้ค่อยจัดการในอีกสามวันให้หลัง รอให้สืบรู้เสียก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไหนจะเรื่องของจงเอ๋อร์อีก ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเขาก็น่าสงสัยอยู่ไม่น้อย หากเป็นหนอนบ่อนไส้จริง เช่นนั้นสถานการณ์ก็ยิ่งซับซ้อนเข้าไปอีก’
องค์ชายสามขมวดคิ้วมุ่น หลายปีมานี้เขาสนใจแต่วิชาความรู้ น้อยครั้งนักที่จะไปมาหาสู่กับองค์ชายองค์อื่นๆ ทั้งไม่เคยจัดตั้งกลุ่มอำนาจของตัวเอง ด้วยหวังว่าจะอยู่อย่างสงบสุข แต่จากเหตุการณ์ในวันนี้ จะได้อยู่อย่างสงบหรือไม่ หาใช่เขาเป็นคนตัดสิน ‘เอาเช่นนี้แล้วกัน ระหว่างที่ข้าอยู่ที่ตำหนักไจกง เรื่องการไต่สวนมือสังหารก็ยกให้เป็นหน้าที่หรูซย่า ส่วนจงเอ๋อร์ก็รอให้เขารักษาตัวจนหายดีก่อน แต่เหตุการณ์ในวันนี้จำเป็นต้องสืบสาวเรื่องราวให้ชัดเจน ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ใดช่างบังอาจบุกเข้ามาขโมยของในวังของข้า’
หรูซิ่วนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น ‘นายท่านออกจากวังไปคราวนี้ ไม่สู้พาหรูชุนกับหรูตงไปด้วยเล่าขอรับ พวกเขาติดตามข้างกายนายท่านมาสิบกว่าปี อย่างไรก็เป็นคนของท่าน หากระหว่างที่ฮ่องเต้ทรงถือศีลกินเจเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นอีก พวกเขาก็จะเป็นผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ อีกอย่างในวังแห่งนี้ก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น องครักษ์ลาดตระเวนก็ต้องจัดสรรกันใหม่’
‘เช่นนั้นก็ดี’ องค์ชายสามเห็นเขาคิดการณ์รอบคอบก็เอ่ยชม ‘หรูซย่า ให้หรูซิ่วเป็นผู้ช่วยของเจ้าดีหรือไม่’
‘เป็นเสนาธิการให้กระหม่อมดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ! ไม่เสียทีที่องค์ชายสามทรงเชิญอาจารย์มาสอนสั่ง เขาท่องตำรามามากมายถึงเพียงนั้น ไม่เสียเปล่าจริงๆ’ หรูซย่าตบบ่าเขา ‘เรื่องวรยุทธ์กระหม่อมมั่นใจ วิชาแพทย์ก็ไม่ได้ตื้นเขิน แต่หากต้องคิดวางแผนการ กระหม่อมคงต้องขบจนหัวระเบิดแน่พ่ะย่ะค่ะ’ พูดจบก็ตบบ่าหรูซิ่วอีกทีด้วยความสำราญใจ
‘เบาหน่อย ข้าเจ็บนะ’ หรูซิ่วกุมสีข้างพลางมองค้อนอีกฝ่าย ในใจยังเคืองเรื่องที่หรูซย่าค้นเอากล่องผ้าออกมาอยู่ไม่หาย
‘เจ้าออกไปจัดการเถิด อีกครู่ข้าก็จะออกเดินทางแล้ว’ องค์ชายสามสั่ง
หรูซย่าเห็นหรูซิ่วทำหน้าบึ้งก็รู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดีแล้ว จึงดีดหน้าผากเด็กหนุ่มทีหนึ่งถึงค่อยทำตามคำสั่ง
พริบตาในห้องแคบๆ ก็เหลือเพียงนายบ่าวสองคน
เหตุใดนายท่านยังไม่ออกไปอีก หรูซิ่วไม่เข้าใจ ครั้นเงยหน้ามององค์ชายสามก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองเขาอยู่ อีกทั้งแววตายังฉายรอยล้ำลึก มีสิ่งใดไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ คงมิใช่ว่าจะลงโทษเรื่องที่เขาสอดรู้สอดเห็นเมื่อตอนนั้นจริงๆ กระมัง
องค์ชายสามเดินมานั่งตรงขอบเตียง สบตาเขาพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ‘ข้าไม่รู้มาก่อนว่าวิชาตัวเบาของเจ้าจะก้าวล้ำถึงเพียงนี้ เพียงพริบตาเดียวก็เข้ามาขวางตรงหน้าข้าได้ ความจริงข้าหลบมีดบินเล่มนั้นได้ ไยเจ้าต้องเข้ามารับแทนด้วย’
หรูซิ่วหลุบตาลง ไม่โต้แย้ง
‘เด็กเช่นเจ้าไม่กลัวเลยหรือไร’ ชายหนุ่มถามเสียงเบา
‘ซิ่วเอ๋อร์กลัวว่านายท่านจะได้รับบาดเจ็บมากกว่าขอรับ’ ชีวิตต่ำต้อยของเขาจะนับเป็นอันใดได้
องค์ชายสามได้ยินก็รู้สึกสุขใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มหน้า ท่าทางเหมือนเด็กน้อยน่ารันทดเมื่อปีนั้นไม่มีผิด ชั่วขณะหนึ่งจึงเกิดความสงสาร ยื่นมือไปลูบแก้มเขาโดยไม่รู้ตัว ‘เมื่อครู่ข้าเกือบถูกเจ้าทำให้ตกใจตายเสียแล้ว’
หรูซิ่วเงยหน้าขึ้นทันใด ในใจทั้งแตกตื่นทั้งยินดี ทว่าสีหน้ากลับเรียบเฉย เขาถามเสียงเบา ‘นายท่านเป็นห่วงซิ่วเอ๋อร์ด้วยหรือขอรับ’
‘พูดเรื่องเหลวไหลอันใดกัน ข้าย่อมเป็นห่วงเจ้า’ องค์ชายสามยิ้มน้อยๆ เขาเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเป็นประกายวาววับ ปรากฏความคาดหวังอย่างชัดเจน ชายหนุ่มลอบถอนใจอย่างห้ามไม่อยู่ คิดอยู่นานถึงได้ถามขึ้นว่า ‘ปีนี้ซิ่วเอ๋อร์อายุเท่าใดแล้ว’
‘เดือนหน้าก็เต็มสิบเจ็ดแล้วขอรับ’ เด็กหนุ่มกระวนกระวาย ใจเริ่มกังวล ไยนายท่านไม่รีบออกไป แต่กลับถามว่าปีนี้เขาอายุเท่าใดแทน
องค์ชายสามพยักหน้า มองเขาด้วยสายตาอบอุ่น ‘นับดูแล้ว เจ้าติดตามอยู่ข้างกายข้าจวนจะแปดปีแล้วสินะ’
หรูซิ่วขานรับคำหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายคาดเดาความคิดของผู้เป็นนายออกรางๆ
‘เจ้าเป็นเด็กดี อายุยังน้อยก็ชำนาญทั้งบุ๋นและบู๊ วันข้างหน้า…’
‘นายท่านจะขับไสข้าออกไปหรือขอรับ’ หรูซิ่วตัดบทคำพูดเขา ‘นายท่านเห็นของที่อยู่ในกล่องผ้าแล้วใช่หรือไม่’
องค์ชายสามไม่คาดคิดมาก่อนว่าหรูซิ่วจะพูดแทรกตนเช่นนี้ ยิ่งคาดไม่ถึงว่าเขาจะเผยสีหน้าทรมานใจออกมาให้เห็น ชั่วพริบตาคำพูดที่เตรียมไว้ก็สะดุด ไม่ผิด…เขาเห็นสิ่งที่อยู่ในกล่องอย่างชัดเจน หากว่ากันตามจริงล้วนเป็นสิ่งของที่ผู้ใดก็ไม่มีทางเห็นค่า
ในกล่องผ้ามีเพียงพัดที่ด้ามจับพังเสียหายกับเศษหยกเนื้อดีทั่วไป ทุกอย่างล้วนเป็นของใช้ที่เขาเคยพกติดกาย ทว่าพังเสียหายไปเมื่อนานมาแล้ว ไม่มีราคาแม้แต่น้อย ต่อให้วางทิ้งไว้ข้างถนนก็คงไม่มีใครชายตาแล เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสิ่งของที่ตนทิ้งขว้างไปอย่างไม่ใส่ใจ หรูซิ่วจะเก็บมันเอาไว้ ทั้งยังซ่อนไว้ใต้ที่นอนราวกับเป็นของล้ำค่า เข้านอนโดยมีมันอยู่ด้วยทุกคืน
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีภาพวาดที่วางอยู่บนโต๊ะ ทุกแผ่นล้วนเป็นภาพเหมือนของเขา องค์ชายสามไม่เคยเห็นเด็กรับใช้ในห้องหนังสือคนไหนเอาเจ้านายของตัวเองเป็นแบบฝึกวาดรูปมาก่อน ภาพวาดนั้นมีถึงสิบภาพ ทั้งยังวาดออกมาได้เหมือนจริงอย่างยิ่ง กระทั่งเขายังรู้สึกตกใจ
‘คิดไปถึงไหนกัน ข้าบอกเมื่อไรว่าจะไล่เจ้าออกไป’ องค์ชายสามเอ่ยเสียงนุ่ม
‘ต่อให้นายท่านไม่ไล่ข้าออกจากวัง แต่หลังจากนี้ก็คงไม่ให้ซิ่วเอ๋อร์รับใช้ข้างกายอีกแล้วใช่หรือไม่ขอรับ’ หรูซิ่วหลุบตาลง กระซิบเสียงต่ำ ทว่ายังสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
‘ไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอก เพราะข้ารู้ว่าเจ้าเฉลียวฉลาด วันนี้จึงตั้งใจจะพูดต่อหน้าให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เจ้าคิดเหลวไหลฟุ้งซ่านอีก’ ครั้นเห็นสีหน้าปวดใจอย่างไม่คิดปิดบังของอีกฝ่าย ราวกับกระต่ายขาวตัวน้อยน่าสงสารที่กำลังบาดเจ็บ ชั่วขณะนั้นองค์ชายสามพลันใจอ่อน เขาใช้น้ำเสียงอ่อนโยนปลอบ ‘ข้าไม่ได้โทษเจ้า ทั้งไม่ได้บอกว่าเจ้าทำผิด และแน่นอนว่าไม่ได้หัวเราะเยาะเจ้าเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้เจ้ายังเด็ก ยังหุนหันไม่รู้ความ ผ่านไปอีกหลายปี ความคิดความอ่านย่อมไม่เหมือนเดิม…’
‘ข้าไม่เปลี่ยน ไม่มีทางเปลี่ยน! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอายุของข้า ข้าเข้าใจความคิดของตัวเองดีทุกอย่าง!’ ขอบตาของหรูซิ่วรื้นไปด้วยน้ำตา พูดจบก็เงยหน้าสบสายตาอ่อนโยนดุจสายน้ำขององค์ชายสามตรงๆ พริบตานั้นหัวเขาราวกับถูกสายฟ้าฟาด ฟ้าพลิกแผ่นดินหมุน เขาพลันเข้าใจว่าสิ่งที่คนโบราณเรียกกันว่าสายฟ้าดึงดูดเพลิงดิน* เป็นอย่างไร
ถูกต้อง เขามันไม่รู้ดีชั่วที่หลงรักนายท่าน เขาแอบเก็บสิ่งของที่นายท่านทิ้งขว้าง ทั้งยังนำออกมาชื่นชมทุกคืน ไม่ว่าจะว่างหรือไม่ว่างเขาก็ต้องวาดภาพเหมือนของนายท่านอย่างสุดฝีมือ ต่อให้หลับตาก็ยังวาดได้ เขาถึงขั้น…เกิดความคิดน่าอับอายมากมายขึ้นในหัว…
‘เจ้าเด็กคนนี้นี่…’ องค์ชายสามเห็นดวงตาของอีกฝ่ายวาววับ อารมณ์พลุ่งพล่าน จึงรีบปลอบ ทว่ากลับถูกตัดบทอย่างคาดไม่ถึง
‘ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว!’
พูดจบหรูซิ่วก็ไม่ทันยั้งคิด โถมร่างออกไปข้างหน้า ประกบปากตนกับองค์ชายสามอย่างแม่นยำ จุมพิตริมฝีปากที่เขาเฝ้าคะนึงหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เขารู้ว่าตัวเองขวัญกล้าเทียมฟ้า รู้ว่าโทษของตนหนักหนาสาหัสนัก แต่เขาไม่ใช่เด็กอีกแล้ว เขารู้ใจตัวเองมานานแล้วว่าอยากจะทำเช่นนี้กับองค์ชายสาม เขาได้แต่คิด!
องค์ชายสามตะลึงงัน! ยี่สิบเจ็ดปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครล่วงเกินเขาเช่นนี้มาก่อน ก่อนหน้านี้ต่อให้เขาคิดจนสมองแทบแตกก็ไม่มีทางคาดได้ว่าเด็กหนุ่มที่เติบโตอยู่ข้างกายคนนี้จะโถมร่างเข้ามาจูบตน
ร่างกายของหรูซิ่วราวกับถูกเชิดชัก ไม่สนบาดแผลบนร่าง ไม่สนว่าตนกำลังหลั่งน้ำตาอย่างห้ามไม่อยู่ เขารวบรวมความกล้าขบเม้มริมฝีปากขององค์ชายสาม เพียงจูบเดียวกายก็สั่นสะท้านราวกับมีสายฟ้าแล่นผ่านสันหลัง ราวกับดาวตกร่วงหล่นลงบนแก้ม
เขารู้อยู่แล้ว! ริมฝีปากขององค์ชายสามช่างหวานล้ำ เมื่อได้แนบชิดความหวานก็แผ่ซ่าน ริมฝีปากขององค์ชายสามราวกับสายฟ้า เพียงสัมผัสก็ทำให้ฝ่ามือเขาชาหนึบเหมือนถูกฟ้าผ่า กระทั่งฝ่าเท้าก็ไม่เว้น ความรู้สึกเหน็บชาทำให้เขาแทบเข่าอ่อน แต่เมื่อได้ดูดเม้มอีกครั้งก็ลืมตัวไปสิ้น ริมฝีปากดั่งจะลุกเป็นไฟ ร้อนลวกไปทั้งสรรพางค์กาย เขาหวังแต่จะสนิทแนบให้มากยิ่งขึ้นจึงแลบปลายลิ้นออกไปอย่างบ้าบิ่น ทว่าเพิ่งจะสอดเข้าไป ฝันหวานกลับถูกทำลาย องค์ชายสามเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะผลักเขาออกเบาๆ
‘ซิ่วเอ๋อร์…’ องค์ชายสามส่ายหน้า ริมฝีปากของเขาเปียกชื้น ใจสับสนว้าวุ่น ชั่วขณะนั้นบรรยายไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร
หรูซิ่วมองคนตรงหน้า น้ำตาหลั่งรินเป็นสาย ความหวานยังกำจายอยู่บนริมฝีปาก ในอกยังมีดาวตกร่วงหล่น แต่ทุกอย่างพลันหยุดชะงัก เขากัดริมฝีปาก พูดด้วยเสียงหนักแน่น ‘ซิ่วเอ๋อร์ล่วงเกินนายท่าน แต่ซิ่วเอ๋อร์ไม่มีวันเสียใจภายหลัง’
หากจิตใจเพ้อฝันของเขาทำให้ผู้เป็นนายบันดาลโทสะก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาเพียงกลัวว่าจะสูญเสียความรักใคร่เอ็นดูที่อีกฝ่ายมีให้ในหลายปีที่ผ่านมาจนหมดสิ้น! บนโลกใบนี้ยังจะมีผู้ใดน่าหัวเราะไปกว่าเขาอีก ถึงขั้นกล้าบังคับจูบเจ้านายของตน ยังจะมีใครน่าสมเพชยิ่งไปกว่าเขาอีกที่ถูกปฏิเสธซึ่งหน้า!
หรูซิ่วปาดน้ำตาอย่างแรง ข่มความเจ็บปวดจากบาดแผล ลงจากเตียง ไม่แม้แต่จะสวมรองเท้า เปิดประตูวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว…
ถึงอย่างไรคืนนี้ก็ทำผิดมามากพอแล้ว ต่อให้เพิ่มโทษตายฐานหนีความผิดอีกสักข้อก็ไม่เห็นจะเป็นไร!
* สายฟ้าดึงดูดเพลิงดิน เดิมหมายถึงปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิดที่มักจะเกิดฟ้าแลบฟ้าร้องตามมาคู่กัน แต่ในอีกความหมายหนึ่งใช้เปรียบเปรยเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง
สั่งสอนบ่าวดื้อรั้น แบกเข้าห้องหนังสือ
เขาเคยเห็นดอกสุยซือไห่ถัง* กลีบดอกบางและอ่อนนุ่ม เป็นสีชมพูอ่อนราวชาดที่เจือจาง ยามที่ดอกบานจะคว่ำหัวลง เมื่อสายลมพัดผ่านกลีบดอกก็จะสั่นไหว ราวกับหญิงงามก้มหน้าเอียงอาย ท่าทีอ่อนหวานชวนให้รักใคร่พานให้เขานึกไปถึงเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีผู้นั้น…หรูซิ่ว
องค์ชายสามมองออกไปนอกหน้าต่าง เหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง
พิธีบวงสรวงสวรรค์สิ้นสุดไปเมื่อวันก่อน ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยกับการจัดเตรียมพิธีในปีนี้อย่างยิ่ง พระราชทานของรางวัลให้เขามากมาย ทั้งยังทรงอนุญาตให้พักผ่อนเป็นเวลาสามวัน เขาควรรู้สึกอิ่มเอมใจ ทว่าในอกกลับว้าวุ่น ยามกลางคืนไม่อาจข่มตาหลับ ได้แต่นั่งขีดๆ เขียนๆ อยู่ในห้องหนังสือ
เขาเขียนอักษรไปได้ไม่กี่แถว ประตูก็ถูกเปิดออก พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นหรูตง อีกฝ่ายเดินเข้ามาที่โต๊ะ จัดเรียงสิ่งของเงียบๆ จากนั้นจึงยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง
หลังพิธีบวงสรวง เด็กรับใช้ในห้องหนังสือของเขาก็เปลี่ยนเป็นหรูตง
คืนนั้นหรูซิ่วที่กำลังควบคุมอารมณ์ไม่อยู่วิ่งจากไป เขาลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็แข็งใจไม่ไล่ตามไป เพียงกำชับให้หรูซย่าส่งคนออกไปตามหา จากนั้นก็รีบร้อนขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปตำหนักไจกง
วันแรกที่ตำหนักไจกง เขาแอบเรียกหรูซย่ามาพบ ถามเรื่องหรูซิ่วก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นถึงค่อยนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ จึงสอบถามเรื่องการไต่สวนมือสังหาร เขาอดตำหนิตัวเองในใจไม่ได้ที่เรียงลำดับความสำคัญของเรื่องราวผิด หรูซย่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพียงคิดว่าซิ่วเอ๋อร์เอาแต่ใจ จึงรายงานว่าคืนนั้นพวกเขาพบหรูซิ่วอยู่ข้างภูเขาจำลองในสวนดอกไม้ หลังตำหนิไปหลายประโยค ก็ลากตัวกลับมาพักผ่อนที่ห้อง
เดิมองค์ชายสามคิดว่าหรูซิ่วยังเด็ก นิสัยดื้อรั้น จึงใจร้อนวู่วามไปชั่ววูบ เขาไม่คิดติดใจเอาความ กลับคาดไม่ถึงว่าหลังพิธีบวงสรวงผ่านพ้นไป เขาเพิ่งกลับถึงวังได้ไม่ทันไร ตัวการก่อเรื่องวุ่นก็เป็นฝ่ายมาหาเขาเสียเอง ทั้งยังเอ่ยคำที่ชวนให้คนฟังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ…
‘ซิ่วเอ๋อร์อยากติดตามพี่หรูซย่าขอรับ เรียนหมัดมวยไปด้วยเป็นองครักษ์ไปด้วย ทั้งยังได้เรียนวิชาแพทย์เล็กๆ น้อยๆ นายท่านได้โปรดส่งเสริม’
องค์ชายสามตะลึงมองหรูซิ่ว ทว่าอีกฝ่ายเอาแต่หลุบสายตาลงต่ำ จ้องมองพื้น ไม่มองผู้เป็นนายอย่างเขาแม้แต่น้อย ชายหนุ่มอดรู้สึกโมโหไม่ได้ ขณะคิดจะระเบิดโทสะลงโทษอีกฝ่าย ก็กังวลขึ้นมาว่าบาดแผลของหรูซิ่วยังไม่หายดี จะตีก็ไม่ได้จะด่าก็ไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นตัวเขาเองที่ทนใจแข็งลงโทษเด็กหนุ่มไม่ลง พอลองคิดดู บางทีการให้หรูซิ่วไปทำงานอย่างอื่นก็นับว่าเป็นวิธีการผ่อนคลายบรรยากาศอึดอัดที่ไม่เลวนัก นอกจากนี้ตำแหน่งผู้ติดตามของหรูซย่าก็สมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มคิดได้ดังนั้นจึงตกปากรับคำ
แต่หลังจากนั้นพอมาคิดไตร่ตรองดูแล้ว เขากลับไม่ชอบใจเอาเสียเลย ตัวเขาเองในตอนนั้นคิดแต่เรื่องมือสังหาร จากที่หรูซย่ารายงาน ไม่ว่าอย่างไรมือสังหารที่จับได้ก็ไม่ยอมปริปาก หรูจงประเดี๋ยวก็ได้สติประเดี๋ยวก็หลับไป แค่เรื่องพวกนี้ก็ทำให้เขาหงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรูซิ่วยังมาทำให้เขาหนักใจเพิ่มอีก เรียกว่าหิมะตกแล้วยังเกิดน้ำค้างแข็ง**…
‘องค์ชายสาม โจ๊กของพระองค์หากยังไม่เสวยอีกจะเย็นเอานะพ่ะย่ะค่ะ’
เสียงหนึ่งดังตัดบทความคิดขององค์ชายสาม เขาหันไปมองหรูตงที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ ความหงุดหงิดผุดขึ้นในใจ หรูตงรับใช้เขามาสิบกว่าปี จึงรู้ใจเขาอย่างยิ่ง แต่ก็ทำเพียงดูแลกิจวัตรประจำวันและอาหารการกินเท่านั้น ไม่รวมถึงปรนนิบัติช่วยเขาฝนหมึก ชายหนุ่มเหลือบมองหรูตงคราหนึ่ง ความไม่ชอบใจยิ่งเพิ่มพูน
ควรรู้ไว้ว่างานฝนหมึกข้างโต๊ะไม่ใช่ใครก็ทำได้ หรูตงทำงานอย่างตั้งใจก็จริงอยู่ ทว่าหากร่างกายสูงโปร่งบอบบางกว่านี้ ใบหน้าขาวกระจ่างกว่านี้ กลิ่นอายสูงสง่ากว่านี้ ดวงตาใสกระจ่างกว่านี้ คำพูดคำจามีไหวพริบปฏิภาณมากกว่านี้ หากยามยิ้มสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่านี้แล้วล่ะก็ ทุกครั้งที่มองก็จะยิ่งรื่นหูรื่นตากว่านี้…
ในหัวพลันผุดภาพเด็กหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่ง นิสัยเก็บตัว ทว่าซุกซนนัก
จริงๆ เลย! คิดไปถึงไหนกัน องค์ชายสามขมวดคิ้ว เขาวางพู่กันลงพลางออกคำสั่ง ‘ข้าไม่กินแล้ว เจ้าไปนำ ‘ตำรารวมอักษรโอวหยาง’ ออกมา’
หรูตงรีบวิ่งไปค้นที่ชั้นหนังสือ ผ่านไปนานจนองค์ชายสามเร่งอีกครั้ง เขาถึงค่อยตอบเสียงงึมงำ ‘องค์ชายสาม ชั่วประเดี๋ยวเดียวกระหม่อมหาไม่เจอหรอกพ่ะย่ะค่ะ ไม่สู้ให้กระหม่อมไปเรียกหรูซิ่วมาช่วยหาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ’
องค์ชายสามนิ่งงันไป ในใจนึกยินดี แต่ก็พลันหงุดหงิดขึ้นมาอีก ชายหนุ่มตบโต๊ะเสียงดัง พูดด้วยความโมโห ‘แค่หนังสือเล่มเดียวเจ้ายังหาไม่เจอ เช่นนี้จะรับใช้ในห้องหนังสือได้อย่างไร!’
หรูตงสะดุ้งตกใจกลัว เขารีบร้อนคุกเข่ารับผิด แต่ไหนแต่ไรมาองค์ชายสามมักอ่อนโยนใจกว้าง น้อยครั้งที่จะตบโต๊ะบันดาลโทสะ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้เป็นนายหาใช่คนเลือดร้อนไม่ หรูตงรู้ดีแก่ใจ พอถูกกระตุ้นโทสะเข้า องค์ชายสามก็จะโมโหขึ้นมาทันทีราวกับอสนีบาตฟาดลงพื้น เปลี่ยนไปจากยามปกติราวกับเป็นคนละคน
องค์ชายสามเห็นอีกฝ่ายกลัวจนหน้าซีดขาวก็รู้สึกผิดขึ้นมา จึงโบกมือให้เขาถอยออกไป
หรูตงได้รับคำสั่งก็ถอนใจเฮือกใหญ่ รีบยกโจ๊กจากไปทันที จะว่าไปแล้ว เขารู้สึกว่าตั้งแต่กลับจากพิธีบวงสรวง องค์ชายสามก็มักจะทำหน้าบึ้งตึงอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดกันที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าทำให้องค์ชายสามหงุดหงิดใจเช่นนี้
หรูตงออกไปแล้ว ในห้องหนังสือกว้างใหญ่จึงเหลือเพียงองค์ชายสามคนเดียว ชายหนุ่มฝืนเขียนอักษรได้ไม่กี่ตัวก็รู้สึกว่าน้ำหมึกเข้มกว่าวันก่อนๆ ปกติยามทำงานเขาชอบใช้หมึกจาง อักษรอ่อนจางให้ความรู้สึกล่องลอยสันโดษ ทว่ายามนี้เมื่อเห็นหมึกเข้มก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ หมดอารมณ์จะคัดอักษร ได้แต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
ตกดึก อากาศเย็นจนเสียดกระดูก ทั้งวังตกอยู่ในความหนาวเหน็บราวกับถ้ำน้ำแข็ง
ขณะที่องค์ชายสามกอดเตาพก*** ไว้ในอ้อมแขนก็พลันนึกขึ้นได้ว่าในห้องของหรูซิ่วเรียบง่าย แทบจะไม่มีอะไรเลย อย่าว่าแต่เตาผิงไฟ กระทั่งผ้าห่มที่มีแต่รอยปะชุนบนเตียงผืนนั้นก็ยังหนาไม่พอให้ห่มด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าเด็กคนนั้นอาจไม่มีแม้กระทั่งผ้าคลุมหรือเสื้อนอกก็เป็นได้…
มีคนโง่เช่นนั้นด้วยหรือ! ถึงขั้นไม่ต้องการข้าวของเครื่องใช้ใดๆ ต้องการเพียงแค่เงินเท่านั้น เด็กหนุ่มที่ได้รับการศึกษาคนหนึ่งไปเอานิสัยตระหนี่ถี่เหนียวเช่นนี้มาจากที่ใดกัน เสื่อมเสียยิ่งนัก เขาควรสอบถามอาจารย์ที่เชิญมาเหล่านั้นสักหน่อยแล้ว
อีกอย่าง มาบอกว่าไม่อยากทำงานในห้องหนังสือแล้วก็ไม่ทำเสียดื้อๆ ทั้งรั้นทั้งหัวแข็ง ทำให้เขาหาหนังสือเล่มเดียวก็ยังหาไม่เจอ กระทั่งอักษรตัวเดียวก็เขียนไม่ออก ช่างเป็นบ่าวไพร่ที่ไม่รู้สำนึก!
ในที่สุดความหงุดหงิดใจที่มีมาหลายวันขององค์ชายสามก็พุ่งสูงท่วมหัว เขาพลันลุกขึ้นยืน เดินไปเปิดประตูห้องหนังสือออกอย่างแรง มุ่งหน้าไปยังห้องของต้นเหตุ
คาดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะเดินมาถึงลานเรือนด้านนอก คนร้ายกลับส่งตัวเองมาถึงหน้าประตู
‘นายท่าน’ หรูซิ่วเห็นองค์ชายสามก็นิ่งอึ้งไป ไม่ได้พบหน้าหลายวัน ยามนี้เมื่อได้เห็นคนที่เฝ้าคิดคำนึงถึง เขาก็อดกลืนน้ำลายอึกหนึ่งไม่ได้ ริมฝีปากชาหนึบ
พอเห็นตัวคน องค์ชายสามยังไม่ทันได้เอ่ยปากตำหนิ ก็เห็นอีกฝ่ายถือห่อผ้าไว้ในมือ เขาตัวสั่น ถามด้วยความโมโห ‘เจ้าจะไปที่ใด ไยไม่บอกกล่าวก่อน’
‘ซิ่วเอ๋อร์…กำลังจะมาลานายท่านขอรับ’ เขาไม่เคยเห็นองค์ชายสามถลึงตาราวกับจะมีไฟลุกท่วมเช่นนี้มาก่อน จึงอดตกใจไม่ได้
องค์ชายสามได้ยินก็บันดาลโทสะ ตวาดออกมา ‘พูดเหลวไหล! เจ้าเห็นที่นี่เป็นที่ใด บอกจะไปก็ไปได้อย่างนั้นหรือ! น่ารำคาญนัก!’
หรูซิ่วตะลึงงัน ในอกฝาดเฝื่อน คืนนั้นหลังถูกองค์ชายสามผลักออก เขาก็นั่งอยู่ข้างภูเขาจำลองตามลำพังอยู่นาน ลมหนาวพัดต้องใบหน้า ในที่สุดหัวใจที่ปั่นป่วนก็ค่อยๆ สงบลง
เขารู้ดีอยู่ในอกว่าความรักและความปรารถนาที่มีต่อองค์ชายสามเป็นสิ่งที่ตนไม่อาจควบคุม และยิ่งไม่อาจเก็บงำไว้ได้อีก หากยังรับใช้อยู่ข้างกายองค์ชายสามต่อไป เขาย่อมต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัส และเพราะเหตุนี้ถึงได้หน้าไม่อายวิ่งโร่ไปร้องขอทำงานเป็นองครักษ์
* ดอกสุยซือไห่ถัง ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Malus halliana Koehne ไม้ยืนต้นผลัดใบ ดอกมีสีชมพูอมแดง ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
** หิมะตกแล้วยังเกิดน้ำค้างแข็ง เป็นสำนวนหมายถึงปัญหาเดิมยังไม่คลี่คลาย ปัญหาใหม่ก็เข้ามาทับถม
*** เตาพก เป็นเครื่องให้ความอบอุ่นแบบพกพาที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ลักษณะเป็นกล่องเล็กๆ มีหูหิ้วหรือเป็นตลับ มีลายฉลุด้านบนเพื่อให้ไอร้อนจากไฟที่จุดด้านในส่งความอบอุ่นออกมา
แต่สามวันที่ผ่านมา ทุกครั้งที่คิดว่าตนกำลังอยู่ร่วมชายคาเดียวกับองค์ชายสาม ในอกก็จะร้อนรุ่มไปหมด ไม่อาจข่มตาหลับ ทรมานจนไม่อาจบรรยาย หลายครั้งที่อยากไปแอบมองอยู่ห่างๆ ทว่าก็ต้องตัดใจข่มกลั้นเอาไว้ เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนเขาแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
‘ซิ่วเอ๋อร์รู้ดีว่าตัวเองไม่รู้จักดีชั่ว แต่ซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่ได้ลงนามในสัญญาขายตัวมาตั้งแต่ต้น’ เขากัดฟัน แสร้งทำเป็นลืมบุญคุณ หมายให้องค์ชายสามบันดาลโทสะจนไล่เขาออกจากวัง หรือหากโมโหจนฆ่าเขาให้ตายได้ก็ยิ่งดี และก็ไม่ผิดจากที่คาด พอพูดจบเขาพลันรู้สึกถึงไฟพิโรธที่ลุกท่วมของอีกฝ่าย ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยโทสะจนแทบจะสังหารคนได้
‘เจ้าจงรู้ไว้ว่าบ่าวไพร่ที่ไม่มีสัญญาขายตัว หากข้าไม่พยักหน้า ชั่วชีวิตก็อย่าหวังจะได้จากไปไหน’ สีหน้าองค์ชายสามเคร่งขรึมจริงจังถึงที่สุด ทว่าน้ำเสียงกลับค่อยๆ คืนสู่ความราบเรียบ หากจะรับมือกับเด็กหนุ่มเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนี้ อันดับแรกต้องทำใจให้เยือกเย็น เขาจะได้ไม่ตัดสินใจผิดพลาด
หรูซิ่วตีสีหน้าเย็นชา ตรงหว่างคิ้วปรากฏแววดื้อรั้น เขารีบโต้กลับ ‘นายท่านเป็นผู้มีปัญญา กระทำเรื่องต่างๆ ด้วยความชอบธรรม ซิ่วเอ๋อร์เชื่อว่านายท่านไม่มีทางบังคับ…’
‘แน่นอนว่าถ้าเจ้าอยากไปก็ใช่จะไม่ได้ แต่ต้องทำตามเงื่อนไขของข้าให้สำเร็จเสียก่อน’ องค์ชายสามไม่ถูกคำพูดของหรูซิ่วทำให้รวนเร ครั้นเห็นหรูซิ่วทำท่าจะโต้แย้งก็รีบชิงเป็นฝ่ายคุมสถานการณ์ จริงอยู่ที่หรูซิ่วเป็นเด็กเฉลียวฉลาด แต่อย่างไรก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีที่ยังขาดประสบการณ์ หากตนถูกเขาทำให้พูดไม่ออก คงเสียแรงที่เลี้ยงอีกฝ่ายมาเกือบสิบปี
หรูซิ่วมองเขา จู่ๆ ก็รู้สึกว้าวุ่นใจเล็กน้อย เห็นอยู่เต็มตาว่าเมื่อครู่องค์ชายสามโมโหมาก เหตุใดตอนนี้กลับเยือกเย็นลงได้เล่า แต่ในเมื่อไม่มีทางอื่น เขาก็ได้แต่กลั้นใจแทงลงไปที่จุดอ่อน ‘เหตุใดนายท่านต้องทำเช่นนี้ นายท่านก็รู้ว่าซิ่วเอ๋อร์ต้องการสิ่งใด ซิ่วเอ๋อร์…หาใช่เด็กดีไม่’
‘ข้าจะไม่คุยเรื่องนี้กับเจ้าตอนนี้’ องค์ชายสามส่ายหน้า ตอนนี้ทั่วร่างของชายหนุ่มไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโทสะเลยแม้แต่น้อย แววตาก็สงบราบเรียบ ราวกับเสือร้ายที่กำลังซุ่มรอโอกาส ‘อยากไปก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อออกไปจากวังของข้า ก็ไม่อาจทำให้ชื่อของข้ามัวหมอง’
หมายความว่าอย่างไร หรูซิ่วจับต้นชนปลายไม่ถูก ทว่าเมื่อได้ยินประโยคถัดมา ร่างของเด็กหนุ่มก็พลันตัวแข็งทื่อ
‘หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ไม่เพียงจากไปได้ทันที ของชิ้นไหนก็ตามที่เจ้าอยากได้ก็เชิญหยิบไปตามสบาย’ องค์ชายสามกล่าว สีหน้ายังคงอบอุ่นอ่อนโยนดังวันวาน ทว่าทุกคำที่เอ่ยออกมาช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน
‘นายท่านก็รู้ว่าซิ่วเอ๋อร์บาดเจ็บ ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่’ เขาสับสนยิ่งนัก จึงได้แต่คิดหาทางบ่ายเบี่ยง ‘เอาชนะคนป่วยผู้หนึ่ง มิใช่เอารัดเอาเปรียบหรอกหรือขอรับ’
‘ในเมื่อเจ้าคิดว่าตนปีกกล้าขาแข็ง ย่อมต้องรู้ดีว่าในยุทธภพ การรังแกคนที่อ่อนแอกว่ามีให้เห็นอยู่ทั่วไป’ องค์ชายสามจับจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง เห็นดวงหน้าเล็กขาวกระจ่างฉายรอยตกตะลึง ชายหนุ่มพลันตัดสินใจ ‘ห้ากระบวนท่า ข้าจะโจมตีเจ้าห้ากระบวนท่า หากสามารถรับได้หนึ่งกระบวนท่า ข้าจะเปิดประตูใหญ่ส่งเจ้าออกไปทันที ว่าอย่างไร’
ชั่วขณะนั้นหรูซิ่วไม่รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เขาคิดมาตลอดว่าตนเข้าใจองค์ชายสามมากที่สุด แต่เขากลับไม่เคยเห็นท่าทางมีลับลมคมในเช่นนี้ของผู้เป็นนายมาก่อน เด็กหนุ่มพลันรู้สึกว่าตนกำลังถูกล่อหลอก ขณะเดียวกันก็รู้สึกคาดไม่ถึง
‘นายท่านอย่าได้แกล้งซิ่วเอ๋อร์เลยขอรับ เพียงบอกมาให้ชัดเจนว่าจะให้ซิ่วเอ๋อร์ไปหรือไม่ หากไม่ให้ไปก็จับตัวไว้เสีย แล้วขังไว้ในคุกจนแก่ตาย…’
องค์ชายสามไม่สนใจเขา หันซ้ายหันขวาก่อนจะหักกิ่งไม้ส่งให้เขากิ่งหนึ่ง
เมื่อหรูซิ่วเห็นว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะประลองยุทธ์จริงๆ ก็ขมวดคิ้ว ไม่ยอมคล้อยตาม ปล่อยให้กิ่งไม้ร่วงลงข้างเท้า องค์ชายสามเห็นดังนั้นก็หักกิ่งไม้อีกกิ่งมาถือไว้ในมืออย่างไม่รีบร้อน มองเด็กหนุ่มด้วยสายตาลึกล้ำ ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา ‘ไม่กล้าหรือ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะขี้ขลาดปานนี้ แล้วยังกล้าพูดว่าจะออกไปจากใต้ปีกของข้า’
‘ไม่กล้าแล้วอย่างไรขอรับ ขี้ขลาดแล้วอย่างไรขอรับ…นายท่าน!’ ยังพูดไม่ทันจบ หรูซิ่วก็ต้องอุทานด้วยความตกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าองค์ชายสามจะเผยแววตาคมกล้า พุ่งเข้ามาโจมตีจริงๆ เมื่อเห็นกิ่งไม้ทำท่าจะตีลงมาที่หัว เขาก็ได้แต่ยกมือขึ้นป้องกันตามสัญชาตญาณ เดิมคิดว่าอีกฝ่ายจะยั้งมือกลับไป แต่องค์ชายสามกลับฟาดลงมาที่ข้อมือเขาจริงๆ อีกทั้งยังไม่มีการออมแรงใดๆ เสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้น ข้อมือปวดชา เด็กหนุ่มยกมือขึ้นกุมบริเวณนั้นอย่างตกใจ ตะลึงมององค์ชายสาม
‘ยังไม่รีบหยิบอาวุธของเจ้าขึ้นมาอีก’ องค์ชายสามเตือน สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังอย่างยิ่ง เขาประกาศกร้าว ‘เจ้าเหลือโอกาสอีกเพียงสี่กระบวนท่าเท่านั้น’
หรูซิ่วสัมผัสได้ถึงความพึงพอใจสายหนึ่งที่วูบผ่านแววตาของอีกฝ่าย ในที่สุดก็มั่นใจว่าองค์ชายสามตั้งใจปั่นหัวเขาเล่น แต่ว่า…เพื่ออะไรกัน พอเห็นอีกฝ่ายออกกระบวนท่าอีกครั้ง หรูซิ่วก็ไม่มีเวลาคิดให้ถี่ถ้วน รีบคว้ากิ่งไม้ขึ้นมาตั้งรับอย่างรวดเร็ว
เขาฝึกวิชากระบี่อย่างยากลำบากมาหลายปี ฝีมือไม่นับว่าต่ำต้อย…แย่ล่ะ!
เห็นชัดว่าองค์ชายสามจู่โจมเข้ามาทางด้านขวา แต่กลับไม่รู้ว่ากิ่งไม้ถูกสับเปลี่ยนโยกย้ายตั้งแต่เมื่อใด จู่ๆ ก็พุ่งโจมตีเข้ามาจากทางด้านซ้าย เสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้น ต้นขาถูกตีไปอีกหนึ่งกระบวนท่า
หรูซิ่วฝืนจนหน้าแดงก่ำ เข่าทรุดลงข้างหนึ่ง ทันใดนั้นก็เห็นกิ่งไม้ตวัดขวางเข้ามาที่ลำแข้ง ขณะคิดจะกระโดดหลบกลับพบว่ากิ่งไม้ถูกตวัดขึ้นด้านบน เกิดเสียง ‘เพียะ’ ขึ้นอีกครั้ง ฟาดใส่น่องอย่างแม่นยำ นับเป็นกระบวนท่าที่สาม
‘ข้าเสียเงินเชิญอาจารย์มีชื่อเสียงมาสั่งสอน แต่กลับได้คนไม่เอาถ่านเช่นนี้!’ องค์ชายสามตวาดเสียงเย็น
หรูซิ่วพลันรู้สึกไม่สบอารมณ์ ในอกมีแต่ความหงุดหงิดคับข้อง เขาเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา เพียงออกแรงเล็กน้อยก็ปวดแปลบขึ้นมาแล้ว ไหนเลยจะมีกำลังประลองยุทธ์ แต่ถึงต่อให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็ไม่มั่นใจอยู่ดีว่าจะรับมือองค์ชายสามได้ แต่อย่างน้อยก็คงไม่ถึงกับแพ้ไม่เป็นท่า ทว่าคราวนี้เห็นทีเขาคงต้องแพ้หมดรูปเสียแล้ว
ขณะที่กำลังโอดครวญในใจ หรูซิ่วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าองค์ชายสามโจมตีเข้ามาอีกครั้ง อีกทั้งกิ่งไม้ในมือยังเคลื่อนไหวราวกับงูตัวหนึ่ง ฉวัดเฉวียนเหมือนมีชีวิต เป็นกระบวนท่าที่ไม่อาจไล่ตามได้เลย ได้ยินเพียงเสียง ‘เพียะ’ หลังมือของเขาเจ็บจนเผลอปล่อยกิ่งไม้ หรูซิ่วพลันหน้าซีด ร้องในใจว่าแย่แล้ว ตอนนี้กระทั่งอาวุธเขาก็ไม่มีเสียแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่าองค์ชายสามจะไล่ต้อนผู้อื่นเช่นนี้ ตอนนี้เขาแพ้ไปแล้วสี่กระบวนท่า เหลือโอกาสอีกเพียงครั้งเดียว เขาจะต้องสู้สุดความสามารถ แต่น่าชังนัก คู่ต่อสู้มีฝีมือสูงส่งเกินไป กิ่งไม้นั่นตวัดฟาดใส่ร่างเขาครั้งแล้วครั้งเล่า หมายเล่นงานหัวไหล่ บังคับให้เขาต้องหมุนตัวหลบเป็นวงกลม เห็นชัดว่าอีกฝ่ายกำลังหยอกล้อเขาเล่น
‘บุรุษฆ่าได้หยามไม่ได้ เหตุใดนายท่าน…โอ๊ย!’
หรูซิ่วร้อง สะดุ้งโหยง พริบตาใบหน้ารวมถึงใบหูก็แดงก่ำ น่าอับอายยิ่ง! นี่เป็นการดูหมิ่น! องค์ชายสามพลิกมือฟาดกิ่งไม้ เล็งใส่บั้นท้ายเขาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
ว่ากันตามจริง การฟาดนี้จะว่าเจ็บก็ไม่เจ็บ แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่รู้สึกอะไรเลย เจ็บนิดๆ ชาๆ มากกว่า ทั้งยังก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอันน่าอับอาย เขายืนอยู่กับที่ ไม่กล้าขยับไปไหน กลัวว่าหากทำอะไรไม่คิด องค์ชายสามอาจจะฟาดกิ่งไม้ลงมาอีก
ในที่สุดก็สงบลงได้เสียที คิ้วที่ขมวดมุ่นขององค์ชายสามคลายออก เขาโยนกิ่งไม้ในมือทิ้ง พอเห็นเด็กหนุ่มถูกเขาปั่นหัวจนหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าพูดคำน่าโมโหออกมาอีก ชายหนุ่มก็พลันอารมณ์ดีขึ้นมาทันตา ดียิ่งนัก สมควรเป็นเช่นนี้แล้ว! เขามีชีวิตอยู่มายี่สิบเจ็ดปี นี่เป็นครั้งแรกที่วางแผนกลั่นแกล้งผู้อื่น จะเรียกว่าบรรลุเป้าหมายในขั้นตอนเดียวก็ไม่เกินไปเลยแม้แต่น้อย เมื่อดูจากสีหน้าของหรูซิ่ว แผนการนี้ของเขานับว่าประสบความสำเร็จ
‘เจ้าแพ้แล้ว’ องค์ชายสามเหลือบมองเขา สีหน้าเยือกเย็นแฝงรอยโทสะ ราวกับคิดจะเผด็จศึก เพิ่งพูดจบชายหนุ่มก็ก้าวเข้าไปประชิด
‘นายท่าน?’ นายท่านคิดจะทำอะไรกัน หรูซิ่วเห็นองค์ชายสามเข้ามาใกล้ก็ลนลานทำอะไรไม่ถูก ทั้งร่างไร้เรี่ยวแรง เด็กหนุ่มคิดไม่ถึงมาก่อนว่าองค์ชายสามผู้สุภาพอ่อนโยนจะทำอะไรหยาบคายเช่นนี้ เขาไม่ได้รู้สึกกลัวแต่กลับเขินอาย
องค์ชายสามเห็นอีกฝ่ายคิดจะถอยหลังก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นมือออกไปรวบเอวเขาแบกขึ้นบ่า ทำราวกับอยู่ในเทศกาลล่าสัตว์ เห็นเหยื่อตัวไหนเหมาะที่สุดมีค่าที่สุดก็แบกกลับไป
เขามีใจใฝ่ศึกษามาตั้งแต่ยังเยาว์ เป็นปัญญาชนอย่างแท้จริง แต่ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเหมือนบัณฑิตคงแก่เรียนอย่างไร แต่ในกระดูกยังคงมีความกล้าหาญและองอาจเช่นบุรุษในทุ่งหญ้า หากคิดว่าเขาเอาแต่ดมกลิ่นน้ำหมึกจนสูญเสียสัญชาตญาณในการล่าสัตว์ไป นั่นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์!
‘รีบปล่อยข้าลงเถอะขอรับ!’ หรูซิ่วตื่นตกใจ เตะขาพลางร้องโวยวาย ‘หากยังไม่ปล่อย ข้าจะตะโกนเสียงดังแล้วนะขอรับ! ถึงตอนนั้นทุกคนก็จะวิ่งมาดูพร้อมกับหัวเราะเยาะ ข้าเสียหน้าเป็นเรื่องเล็ก แต่ฐานะอย่างนายท่าน หากถูกเห็นว่าทะเลาะกับบ่าวไพร่ จะต้องเสียหน้า เสื่อมเสียเกียรติอย่างยิ่งแน่นอน!’
‘หุบปาก!’ องค์ชายสามยกมือตีบั้นท้ายเขาอย่างแรงพลางเอ็ด ‘แพ้เดิมพันแล้วยังกล้ากวนโทสะอีกหรือ! หากโวยวายอีกข้าจะไม่ยกโทษให้แล้ว!’ องค์ชายสามสาวเท้าก้าวยาวตรงไปที่ห้องหนังสือโดยไม่สนเสียงร้องของคนบนบ่าเลยสักนิด
‘ข้า…ข้าเจ็บแผลขอรับ แผลต้องปริแล้วแน่ๆ!’ เด็กหนุ่มรีบตะโกนบอก กลัวอย่างยิ่งว่าจะมีคนมาเห็นเข้า องค์ชายสามทำเรื่องน่าตระหนกเช่นนี้โดยที่ยังคงสีหน้าสุภาพอ่อนโยนเอาไว้ได้อย่างไรกัน! จู่ๆ บั้นท้ายเขาก็พลันถูกตีอีกทีหนึ่ง เด็กหนุ่มอดหน้าแดงไม่ได้ ตีจนหนำใจแล้วหรือยังขอรับ เหตุใดนายท่านถึงได้ทำตัวเช่นนี้!
‘ลูกผู้ชายเอาแต่ร้องว่าเจ็บ เจ้ารู้สึกอายบ้างหรือไม่…อดทนไว้ อีกเดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าใส่ยา’ องค์ชายสามคิดว่าตนโชคดีที่กังวลว่าบ่าวไพร่จะหนาว จึงไล่ทุกคนกลับไปพักผ่อนจนหมด ยามนี้ถึงได้กระทำได้ตามใจชอบ เขาถูกขนบธรรมเนียมผูกมัดเอาไว้นานเหลือเกิน นานจนสมองใช้งานได้ไม่ดีเสียแล้ว โชคดีที่ท่าทางยามถือห่อผ้าของหรูซิ่วทำให้ตาสว่าง ชั่วขณะนั้นพลันเข้าใจทุกสิ่ง
หรูซิ่วดิ้นรนต่อต้านสุดกำลัง ทว่าสองขากลับถูกรัดเอาไว้แน่น หน้าท้องถูกกดทับจนไม่สบายตัว คิดจะเหวี่ยงหมัดก็ดูน่าขันเกินไป ขณะที่ทำอะไรไม่ถูก เขาเผลอร้องเสียงหลงออกไปโดยไม่ตั้งใจ
องค์ชายสามทำใจแข็งไม่ยอมอ่อนข้อ เขาแบกหรูซิ่วเดินมาถึงห้องหนังสือ ยกเท้าถีบประตูให้เปิดออก ก่อนจะอุ้มคนเดินเข้าไปในห้องหนังสืออันมืดสลัว…
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments