ตอนที่สี่
สายลมที่ห่อหุ้มหิมะโหมปะทะใบหน้าเสี่ยวเฉียวอย่างดุดันจนนางแทบไม่อาจลืมตา อยู่บนหลังม้าคล้ายดั่งฟ้าดินหมุนคว้างไม่อาจจำแนกเหนือใต้ได้ เมื่อนางออกแรงดิ้นรนตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดแล้ว เสียงหนึ่งก็ดังมากระทบหู “หมานหมาน! ข้าเอง!”
เสียงนี้คุ้นหูอยู่บ้าง
เสี่ยวเฉียวพลันหยุดดิ้น บุรุษที่อยู่เบื้องหลังจึงจัดร่างนางให้คืนสู่ท่านั่งบนหลังม้าตามปกติ นางลืมตาหันไปมองโฉมหน้าอันหล่อเหลาสง่างามที่เผยออกมาให้เห็นภายใต้งอบ
หลางหยาซื่อจื่อ…หลิวเหยี่ยน!
ครั้งนี้นางตระหนกอย่างยิ่ง เสี่ยวเฉียวไม่นึกไม่ฝันว่าบุรุษที่โผล่มาลักพาตนอย่างกะทันหันผู้นี้จะเป็นหลิวเหยี่ยนไปได้!
ตอนที่หลิวเหยี่ยนอายุได้สิบสามปี แม่เลี้ยงหมายหนุนบุตรชายของตนขึ้นแทนที่ นางจึงพูดยุแยงต่อหน้าหลางหยาอ๋องบิดาของเขา ใส่ความว่าเขาแทะโลมนาง เดิมหลางหยาอ๋องก็โปรดปรานบุตรชายคนเล็กอยู่แล้วจึงหูเบาเชื่อคำใส่ไคล้นั้น ปลดเขาจากตำแหน่งซื่อจื่อและเนรเทศออกจากแคว้นหลางหยาไป เนื่องจากน้าสะใภ้ของเขาคืออาหญิงของเสี่ยวเฉียว เขาจึงบากหน้ามามณฑลเหยี่ยนโจวเพื่อร้องขอที่พักพิง
ยามนั้นราชสำนักฮั่นเสื่อมอำนาจ ภายในลั่วหยางที่เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ ฮ่องเต้หนุ่มวัยสิบสี่พรรษาซึ่งมีอัครเสนาบดีซิ่งซวิ่นหนุนขึ้นนั่งบัลลังก์เมื่อเจ็ดปีก่อนนั้นไม่ต่างอันใดกับหุ่นเชิด แท้จริงราชสำนักตกอยู่ในการควบคุมของอัครเสนาบดีซิ่งซวิ่นแต่ผู้เดียว กระทั่งฮ่องเต้ยังมีสภาพเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับบรรดาเชื้อพระวงศ์สกุลหลิวที่อยู่ตามเขตปกครองพระราชทาน เมื่ออยู่ต่อหน้าขุนศึกผู้กุมทหารตั้งตนเป็นใหญ่ในดินแดนต่างๆ ยิ่งปราศจากบารมีอันใดให้เอ่ยถึง ด้วยเหตุนี้สกุลเฉียวจึงรับหลิวเหยี่ยนไว้โดยไม่กลัวเกรงหลางหยาอ๋องแต่อย่างใด หลิวเหยี่ยนมีรูปโฉมโดดเด่นและมีทั้งความรู้ความสามารถ เป็นที่โปรดปรานของเฉียวผิงยิ่งนักจึงได้รับการดูแลในหลายด้าน ในที่สุดเมื่อสามปีก่อนยามที่เขาอายุได้สิบแปดปี หลางหยาอ๋องที่ฟังขุนนางเตือนสติ รู้ว่าตนปรักปรำบุตรชายคนโต สำนึกเสียใจกับการกระทำในอดีตจึงรับตัวเขากลับไป ต่อมาไม่นานนักหลางหยาอ๋องก็ส่งทูตมามณฑลเหยี่ยนโจว หมายสู่ขอเสี่ยวเฉียวให้แก่หลิวเหยี่ยน
เฉียวผิงมองออกนานแล้วว่าเสี่ยวเฉียวกับหลิวเหยี่ยนมีใจให้กัน เมื่อถามความเห็นของบุตรสาว เขาเห็นนางเอียงอายไม่พูดจาก็รู้ว่านางเต็มใจ จึงตอบรับงานมงคลทันที ตกลงให้ทั้งสองหมั้นหมายกันในปีถัดไป รอจนเสี่ยวเฉียวอายุได้สิบห้าปีค่อยจัดพิธีแต่งงาน
เมื่อครึ่งปีก่อนหลิวเหยี่ยนเคยอ้างการอวยพรวันเกิดของเฉียวเยวี่ยเดินทางมาเยือนเมืองตงหนหนึ่ง เขาคิดถึงเสี่ยวเฉียวนานแล้ว เดิมทีนึกว่าสามารถฉวยโอกาสนี้พบหน้านางเพื่อระบายทุกข์จากความคิดถึงนี้ แต่เขาหารู้ไม่ว่าฝันร้ายซึ่งคล้ายประสบการณ์ชีวิตในชาติก่อนนั้นได้ทิ้งเงามืดอันลึกล้ำไว้ในใจของเสี่ยวเฉียว สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้นางก็มิใช่เสี่ยวเฉียวคนเดิมที่เติบโตมากับหลิวเหยี่ยนอีกแล้ว สำหรับชายคู่หมั้นผู้นี้จึงไม่นับว่ามีความผูกพันอันใด ด้วยเหตุนี้ตอนนั้นนางจึงหลบหน้าไม่พบเขา และตอนนั้นหลิวเหยี่ยนก็ได้แต่จากไปพร้อมอารมณ์ขุ่นมัว
“หมานหมาน อย่าได้กลัว! รถม้าคอยอยู่ข้างหน้าแล้ว ถึงสถานที่ปลอดภัยเมื่อใดข้าค่อยชี้แจงให้เจ้าฟัง!”
สีหน้าของหลิวเหยี่ยนตึงเครียดยิ่ง เขาหันไปมองด้านหลังเป็นระยะ เอ่ยปลอบขวัญเสี่ยวเฉียวหลายประโยค จากนั้นจึงออกแรงหนีบท้องม้าแน่น หวดแส้อย่างแรงหนึ่งที ม้าก็ควบตะบึงไปเบื้องหน้าสุดฝีเท้า
เสี่ยวเฉียวได้สติคืนมา
“หลิวซื่อจื่อ! ข้าจะไม่ไปกับท่าน! ท่านต้องปล่อยข้ากลับไป!”
หลิวเหยี่ยนทำหูทวนลม ไม่เพียงไม่หยุดม้า กลับยิ่งออกแรงหวดแส้เร่งความเร็วเพิ่มขึ้น
ลมหนาวพลันกรอกเข้ามาในปาก กลบกลืนสุ้มเสียงของนางไปสิ้น เสี่ยวเฉียวสำลักจนไอโขลกอย่างรุนแรง
ริมทางเบื้องหน้ามีรถเทียมม้าสองตัวจอดอยู่หนึ่งคัน เมื่อม้าขาวควบพาหนุ่มสาวทั้งสองเข้าไปใกล้ ผู้ดูแลสองคนก็ลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว หลิวเหยี่ยนพลิ้วกายลงจากม้า ใช้กำลังอุ้มเสี่ยวเฉียวที่ยังไอโขลกเข้าไปในตัวรถ พอเขาตามเข้ามาแล้วก็ปิดประตู รถม้าเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางก่อนจะแล่นตะบึงสู่ทิศตะวันออก
เมื่อขึ้นมาบนรถ สีหน้าของหลิวเหยี่ยนจึงค่อยผ่อนคลายลงบ้างเสียที เห็นเสี่ยวเฉียวยังคงฟุบร่างไออยู่ที่เดิม ใบหน้าของเขาก็เผยความสงสาร มือหนึ่งโอบไหล่นางเบาๆ อีกมือลูบหลังให้พลางเอ่ยปลอบเสียงเบา “หมานหมาน ข้าทำให้เจ้าตกใจกระมัง แต่อย่าได้กลัวไปเลย ข้าจะพาเจ้าไปด้วยกัน นับจากนี้พวกเราจะไม่พรากจากกันอีก!”
ในที่สุดเสี่ยวเฉียวก็หยุดไอพลางยืดกายหลบมือของเขาที่โอบนางไว้
“หลิวซื่อจื่อ! ท่านจะพาข้าไปเช่นนี้ไม่ได้! ข้าต้องกลับไป!”
หลิวเหยี่ยนคล้ายตกอยู่ในภวังค์ นิ่งมองเสี่ยวเฉียวชั่วครู่ค่อยฝืนยิ้มพร้อมแววตาอันขมขื่น
“หมานหมาน ไม่พบกันสองปี เจ้าก็ห่างเหินกับข้าแล้วหรือ เมื่อก่อนเจ้าไม่เรียกขานข้าเช่นนี้นี่”
อดีตพลันผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเสี่ยวเฉียว
หลิวเหยี่ยนมาที่สกุลเฉียวตอนอายุสิบสาม กลับแคว้นหลางหยาไปตอนอายุสิบแปด ปีถัดมาก็หมั้นหมายกับนาง บัดนี้เขาอายุได้ยี่สิบเอ็ดปีแล้ว
หลายปีที่เขาอาศัยอยู่กับสกุลเฉียว แม้ได้ชื่อว่ามาขอลี้ภัย ทว่าสกุลเฉียวยังคงปฏิบัติต่อเขาด้วยมารยาท เฉียวผิงจ้างครูฝึกขี่ม้าและยิงธนูที่ดีที่สุดให้กับเขา รวบรวมตำราพิชัยสงครามมาให้เขาศึกษา ปฏิบัติต่อเขาเฉกเช่นแขกผู้สูงศักดิ์ เสี่ยวเฉียวกับเขาก็มีใจให้กันจริง การหมั้นหมายนี้จึงเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นเรื่องดีงามที่ฟ้าประทานมาให้
หากนางในยามนี้ยังเป็นเสี่ยวเฉียวคนเดิมอยู่ เสี่ยวเฉียวผู้นั้นจะเผชิญหน้ากับหลิวเหยี่ยนคนรักเก่าอย่างไรก็สุดที่นางจะรู้ได้
ทว่านางมิใช่เสี่ยวเฉียวคนนั้นอีกแล้ว
ความทรงจำอันลึกซึ้งที่สุดที่หลิวเหยี่ยนฝากไว้ให้นางกลับมิใช่ความสามารถของเขาหรือความรู้สึกอันลึกซึ้งที่มีต่อนาง หากแต่เป็นภาพฝันร้ายในวาระสุดท้ายของชีวิตที่เฝ้าทรมานนางมาช้านาน และยังติดตามนางมาจวบจนบัดนี้
หลิวเหยี่ยนกับเสี่ยวเฉียวในความฝันนั้น ในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาคู่สุดท้ายของราชวงศ์ ท้ายที่สุดก็จบชีวิตพร้อมกันด้วยวิธีการเช่นนั้น จะยกย่องว่าเป็นผู้ใจเด็ดยึดมั่นในศักดิ์ศรีก็ไม่เกินเลยแม้แต่น้อย
สำหรับสนมของหลิวเหยี่ยน นางก็สามารถเข้าใจได้
ทว่าแววตาของเด็กสาวที่จับจ้องนางก่อนตายนั้น จวบจนบัดนี้ทุกครั้งที่ตื่นจากฝันก็ยังทำให้นางขนลุกทั้งที่ไม่รู้สึกหนาว
บางทีนางอาจเข้าใจในวิธีการที่หลิวเหยี่ยนจัดการกับสนม เพราะในยุคนี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว แต่นางไม่อาจเห็นพ้องได้จริงๆ
นางเองก็เห็นใจชีวิตอันน่าเศร้าในชาติก่อนของโฮ่วตี้หลิวเหยี่ยน ทว่านางทำไม่ได้…นางไม่อาจทุ่มเทความรู้สึกที่เท่ากันให้แก่เขาได้เช่นเสี่ยวเฉียวคนเดิมอีกแล้ว
ยามนี้นางจะถูกหลิวเหยี่ยนจับตัวไปเช่นนี้ไม่ได้…ในใจนางมีเพียงความคิดเดียวนี้เท่านั้น
“ซื่อจื่อ ท่านลุงฉีกสัญญาหมั้นหมายระหว่างข้ากับท่าน และแต่งข้าให้แก่ผู้อื่นแล้ว สกุลเฉียวของพวกเราเป็นฝ่ายผิดต่อท่าน ทว่ายามนี้ไม่อาจเปรียบได้กับกาลก่อน ข้าไม่ใช่เสี่ยวเฉียวคนเดิมคนนั้นอีกต่อไป ข้าได้ออกเรือนเป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว น้ำใจไมตรีอันลึกซึ้งที่ซื่อจื่อมีต่อข้านั้น ข้าทำได้เพียงจารึกไว้ในใจ อวยพรอยู่ไกลๆ ให้วันหน้าซื่อจื่อราบรื่นสมปรารถนาทุกประการ ซื่อจื่อโปรดส่งข้ากลับไปเถิด หรือจะปล่อยให้ข้าลงแถวนี้ก็ได้ อีกไม่นานแม่ทัพเว่ยก็น่าจะตามมาพบ” เสี่ยวเฉียวกล่าว
หลิวเหยี่ยนยังคงนิ่งมองเสี่ยวเฉียว จู่ๆ เขาก็ยื่นมือออกมาอีกครั้ง ออกแรงกุมมือนางแนบแน่น
“เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ ข้ารู้ว่าเจ้าถูกบังคับให้แต่งกับเว่ยเซ่านั่น นี่ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเจ้า! ตอนนี้ข้าพาเจ้าออกมาแล้ว เช่นนี้ก็ดียิ่งมิใช่หรือ”
เสี่ยวเฉียวสั่นศีรษะ “ซื่อจื่อ ข้ายังยืนยันประโยคเดิม ข้าซาบซึ้งในสิ่งดีๆ ที่ท่านทำให้ข้า ทว่าตอนนี้ข้าไม่อาจรับไว้ได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นท่านพาข้าไปเช่นนี้ เว่ยเซ่าจะเลิกราแต่โดยดีหรือ นับจากนี้ท่านจะพาข้าไปที่ใดได้”
“ในเมื่อข้าตัดสินใจเช่นนี้แล้วก็ไม่คิดจะกลับหลางหยาอีก ตำแหน่งซื่อจื่อนั่นสำหรับข้าใช่จะต้องยึดเอาไว้ให้ได้ ผู้ที่ติดตามข้าออกมาล้วนเป็นนักรบกล้าตายที่ภักดีต่อข้าทั้งสิ้น แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่ซึ่งไม่มีใครหาพบ พวกเราจะไม่พรากจากกันชั่วนิรันดร์!”
ขณะกล่าววาจา สีหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นฮึกเหิม
เสี่ยวเฉียวค่อยๆ ชักมือของตนออกจากมือของเขา
“ขอโทษด้วย เกรงว่าข้าต้องผิดต่อเจตนาดีของท่านแล้ว ข้าจะไม่จากไปกับท่านเช่นนี้ ท่านโปรดปล่อยข้ากลับไป”
บนดวงหน้าอันหล่อเหลาของหลิวเหยี่ยน สีแดงเรื่อซึ่งระบายสองแก้มเพราะความฮึกเหิมเลือนจางลงช้าๆ
เขาเพ่งมองเสี่ยวเฉียวอยู่เช่นนั้น แน่นิ่งไม่ไหวติงและไม่เอ่ยวาจา ราวกับเข้าฌานไปแล้วก็ไม่ปาน
รถม้ายังคงแล่นฉิวไปบนถนน ตัวรถเขย่าโคลงเคลงอย่างรุนแรงเนื่องจากล้อบดผ่านพื้นผิวที่ขรุขระเป็นระยะ
สายตาของหลิวเหยี่ยนในขณะนี้ทำให้เสี่ยวเฉียวรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“ซื่อจื่อ…” นางหยั่งเชิงเรียกเขาเบาๆ
หลิวเหยี่ยนคล้ายได้สติ เขาขานดังอ้อก่อนเอ่ยพร้อมใบหน้าที่เผยรอยยิ้มอีกครา “หมานหมาน เจ้าคงเสียขวัญถึงได้พูดเหลวไหล เจ้าไม่ต้องกลัวไป ทุกอย่างล้วนฟังข้าเป็นพอ ข้าได้จัดการไว้หมดแล้ว ต่อไปพวกเราจะมีชีวิตที่ดียิ่ง”
“หลิวซื่อจื่อ! ท่านละทิ้งทุกสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้เพื่อข้า มันไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ! ข้าเองก็จะไม่ไปกับท่าน อดีตล้วนผ่านพ้นไปแล้ว ท่านโปรดละทิ้งข้าเสียเถิด!”
หลิวเหยี่ยนจับจ้องนาง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหายไปอีกครั้ง
“หมานหมาน เจ้าทำให้ข้างุนงงยิ่งนัก แต่ที่มากยิ่งกว่าคือความผิดหวัง”
เขาเอ่ยทีละคำด้วยน้ำเสียงอันเลื่อนลอย
“เจ้าก็รู้หัวใจของข้า ตะวันจันทรายืนยันได้ สามชาติภพไม่แปรผัน! สองปีที่ไม่ได้พบหน้าเจ้า ตอนข้าอยู่ที่หลางหยาแทบไม่มีชั่วขณะใดเลยที่ไม่คะนึงหาเจ้า ปีที่แล้วข้าสู้อุตส่าห์อ้างวันเกิดท่านลุงของเจ้าไปเยือนถึงเมืองตง เดิมหวังจะได้พบหน้าเจ้าสักครั้ง นึกไม่ถึงว่าเจ้ากลับหลบเลี่ยงไม่ให้พบ ในที่สุดข้าก็รอคอยจนใกล้ถึงกำหนดแต่งงาน แต่จู่ๆ สกุลเฉียวของเจ้ากลับส่งข่าวมาถอนหมั้น เจ้าจะให้ข้าทำตัวเช่นไรเล่า ข้าหลิวเหยี่ยนแม้ไร้สามารถ แต่ก็ไม่อาจข่มกลั้นแค้นที่ถูกชิงภรรยาไปเช่นนี้ได้!
ข้าออกเดินทางตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่มีโอกาส วันนี้กระทั่งสวรรค์ก็ยังช่วยข้า ทำให้ข้าชิงเจ้าคืนมาได้อีกครั้ง เพียงแต่ข้ายังไม่เข้าใจ ที่แท้เจ้าเป็นอะไรไป เจ้ามีความในใจใดที่ยากจะกล่าว หรือว่าใจเจ้าเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ละทิ้งคำมั่นสัญญาในอดีตของพวกเราไปหมดสิ้นแล้ว
หมานหมาน ยามนี้เจ้ามีเรื่องให้ห่วงพะวงมากมาย ข้ารู้ แต่เจ้าแค่ไปกับข้าเป็นใช้ได้แล้ว อย่าได้คิดมากอีก รอให้ผ่านไปสักพัก เจ้าก็จะคิดตกเอง หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนเจ้าเคยพูดกับข้าว่าอย่างไร”
สุดท้ายน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนมาอ่อนโยนดังเดิม
เสี่ยวเฉียวหลับตาสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ซื่อจื่อ ข้า…”
นางเอ่ยปากอย่างยากลำบากอยู่บ้าง ยังไม่ทันขาดคำ รถม้าคล้ายประสบเหตุไม่คาดฝันบางอย่าง จู่ๆ ก็ลดความเร็วลง เนื่องจากแรงเหวี่ยงของตัวรถ เสี่ยวเฉียวจึงถลาไปเบื้องหน้าทั้งตัวก่อนจะได้หลิวเหยี่ยนประคองไว้ในคราวเดียว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
รถม้าจอดสนิท หลิวเหยี่ยนชะโงกศีรษะออกจากหน้าต่าง ตวาดถามเสียงกร้าว ก่อนที่เขาจะชะงักในฉับพลัน
บนพื้นหิมะเบื้องหน้าหลายจั้ง มีพลธนูบนหลังม้าแถวหนึ่งเรียงหน้ากระดานอยู่กลางทาง ขวางทางของรถม้า สายธนูถูกน้าวเต็มกำลังพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ
สีหน้าของหลิวเหยี่ยนแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาสั่งการให้คนบังคับรถม้าหันหัวรถกลับ
ทว่าพริบตานั้นบนพื้นหิมะเบื้องหลังพลันปรากฏพลธนูบนหลังม้าเจ็ดแปดนายรุดมาเช่นเดียวกัน จากนั้นม้าอีกตัวก็ออกมาจากด้านข้าง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนม้าสวมชุดเกราะ มือกุมทวนวงเดือน ท่าทางลำพองไม่สำรวม เขายกทวนชี้รถม้าพลางเปล่งเสียงหัวเราะร่วน “ข้าคือเฉินรุ่ยแห่งปิงโจว! หลิวซื่อจื่อ เจ้าจงทิ้งภรรยาของเว่ยเซ่าไว้ ข้าให้เกียรติที่เจ้าเป็นราชนิกุลฮั่น จะไม่สร้างความลำบากแก่เจ้าเป็นอันขาด!”
เฉินรุ่ยคือบุตรชายของเฉินเสียงผู้ว่าการมณฑลปิงโจว สกุลเฉินแห่งปิงโจวเป็นอริกับเว่ยเซ่ามาแต่ไหนแต่ไร ศึกที่เมืองป๋อหลิงเมื่อเดือนก่อน เว่ยเซ่าพิชิตทัพสกุลเฉินได้อย่างงดงาม ตอนที่เฉินรุ่ยพ่ายศึกจนต้องหลบหนีไปนั้นกลับถูกโจมตีจนพลัดออกจากทัพใหญ่ ดีที่ได้ทหารองครักษ์เสี่ยงชีวิตอารักขาไว้เขาถึงฝ่าวงล้อมออกมาได้ เห็นสภาพอากาศหนาวเหน็บขึ้นทุกวัน ใคร่ครวญดูแล้วเห็นว่าตนรั้งอยู่ต่อก็ไม่มีสิ่งใดให้ฉกฉวย
ขณะเตรียมกลับปิงโจวจึงได้ยินว่าเว่ยเซ่าจะส่งภรรยาที่เพิ่งเข้าพิธีกลับมณฑลโยวโจว เมื่อรู้ข่าวนี้เขาจึงสะกดรอยมาตลอดทาง ด้วยเกรงต่อความร้ายกาจของเว่ยเหลียง แม่ทัพกล้าที่แม้แต่ทหารหมื่นนายก็ไม่อาจต้านขวาง ที่ผ่านมาเขาจึงไม่กล้าตามกระชั้นชิดนัก ยิ่งไม่กล้าผลีผลามลงมือ นึกไม่ถึงว่าวันนี้เว่ยเหลียงที่รอบคอบเรื่อยมาจะเลินเล่อปล่อยให้หลิวเหยี่ยนชิงลงมือได้สำเร็จ โอกาสดีๆ เช่นนี้ไหนเลยจะปล่อยให้หลุดลอยได้ เขาจึงรีบไล่ตามมาทันใด เก็บคนที่มีค่ามหาศาลเช่นนี้ได้จะไม่ให้หัวเราะร่วนเต็มอารมณ์ได้อย่างไรกัน
เฉินรุ่ยเห็นในรถม้าไม่มีความเคลื่อนไหวเสียที สีหน้าก็ขรึมลงพร้อมให้สัญญาณมือ พลธนูบนหลังม้าปล่อยลูกธนูทันใด เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นนอกตัวรถ ท่ามกลางเสียงลูกธนูแหวกอากาศดังขวับๆ ผู้ติดตามของหลิวเหยี่ยนทยอยต้องลูกธนูบาดเจ็บล้มลงกับพื้น
ตอนแรกที่รถม้าเพิ่งจอดสนิท เสี่ยวเฉียวนึกว่าเว่ยเหลียงรุดมาถึงแล้ว แต่อีกใจก็สงสัยว่าเขาไม่น่าจะตามมาที่นี่ได้เร็วปานนี้ ยามนี้ได้ยินเสียงร้องครวญครางนอกตัวรถดังมาไม่ขาดหู สีหน้าของหลิวเหยี่ยนก็ดูย่ำแย่ถึงขีดสุด เขาคุ้มกันนางไว้เบื้องหลัง มือข้างหนึ่งกุมด้ามกระบี่ยาว บีบแน่นจนหลังมือขึ้นเส้นเลือดเขียว ในใจนางก็เริ่มหวาดหวั่นอย่างไม่อาจควบคุม
สกุลเฉินแห่งปิงโจวกับเว่ยเซ่าเป็นศัตรูกันมาตลอด ปลายปีที่แล้วเพิ่งปะทะกันที่เมืองป๋อหลิง เรื่องนี้นางก็รู้เช่นกัน
หากต้องตกอยู่ในกำมือสกุลเฉินแห่งปิงโจว นางสู้ตามหลิวเหยี่ยนไปก่อนยังดีกว่า
เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งประชิดเข้ามาใกล้ ประตูรถม้าถูกกระชากเปิดในคราวเดียว ใบหน้าที่ยื่นเข้ามาขาวกระจ่างชวนมอง บนศีรษะเกล้ามวยครอบเกี้ยวทองคำ บุรุษผู้นี้อายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกปี เมื่อดวงตามองเห็นเสี่ยวเฉียวที่อยู่เบื้องหลังของหลิวเหยี่ยนก็พลันชะงักค้าง ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิดเดียว
หลิวเหยี่ยนโมโหพลันชักกระบี่ทันใด ปลายกระบี่ชี้หน้าเฉินรุ่ยขณะเอ่ยด้วยโทสะ “แม่ทัพเฉิน แต่ไรมาหลางหยาของข้ากับปิงโจวของเจ้าเป็นเช่นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง วันนี้เจ้าใช้กำลังสกัดขวางเช่นนี้มีเหตุผลอันใด!”
เฉินรุ่ยผู้นี้ก็เคยได้ยินว่าธิดาสกุลเฉียวแห่งเหยี่ยนโจวมีรูปโฉมงดงาม เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะงามได้ถึงเพียงนี้ แค่แรกเห็นวิญญาณของเขาก็แทบจะหลุดลอย รอจนเห็นหลิวเหยี่ยนชักกระบี่ชี้ใส่ตนอย่างโกรธเกรี้ยวจึงค่อยได้สติคืนมา เฉินรุ่ยไม่ขุ่นเคือง เพียงใช้นิ้วมือผลักตัวกระบี่ออก พลางบุ้ยคางไปด้านหลังแล้วกล่าว “หลิวซื่อจื่อ จำนวนคนเบื้องหลังข้ามีมากกว่าเจ้าหลายเท่านัก หากมิใช่เห็นแก่ที่เจ้าเป็นราชนิกุลฮั่น วันนี้ข้าไหนเลยจะไว้ชีวิตเจ้า”
พลธนูบนหลังม้าของเฉินรุ่ยโอบล้อมเข้ามา คันศรสิบกว่าคันล้วนน้าวสุดสาย เล็งคมธนูมาที่หลิวเหยี่ยนโดยพร้อมเพรียง
“ข้าขอเตือนว่าเจ้าควรรู้อะไรควรไม่ควรเป็นการดีกว่า โฉมสะคราญผู้นี้เดิมทีหาใช่ของเจ้าไม่ ข้าพานางไปก็ไม่นับว่าผิดต่อเจ้ากระมัง เจ้าเองก็ลงมาเสียเถิด ทิ้งรถม้าให้แก่ฮูหยินของเยียนโหว อากาศหนาวเหน็บยิ่งนัก ข้าไม่อาจหักใจให้นางต้องทนหนาวได้”
เฉินรุ่ยฉวยกระบี่ยาวจากมือหลิวเหยี่ยนในฉับพลัน พลธนูหลายนายปีนขึ้นไปบนรถม้า ใช้กำลังกระชากตัวหลิวเหยี่ยนลงจากรถ
เฉินรุ่ยพิศมองเสี่ยวเฉียวอีกครั้งก่อนหัวเราะร่วน ปิดประตูรถม้าดังปัง พลิกกายกลับมากล่าว “ที่นี่ไม่อาจรั้งอยู่นาน! ไป!”
“เฉินรุ่ย! หากเจ้ากล้าแตะต้องนาง ข้าหลิวเหยี่ยนไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเจ้า”
หลิวเหยี่ยนถลึงตาจนแทบปริแตก ไล่กวดอีกฝ่ายไป ทว่าไหนเลยจะตามได้ทัน สุดท้ายจึงได้แต่เบิกตามองไพร่พลทั้งกลุ่มห้อมล้อมรถม้าคันนั้นแล้วห้อตะบึงจากไปท่ามกลางพื้นหิมะ เขาวิ่งไปเบื้องหน้าราวคลุ้มคลั่ง กระทั่งไล่ตามไปหลายสิบก้าว เท้าก็สะดุดถลาล้มลงกับพื้นในที่สุด
เนิ่นนานให้หลังเขาถึงคืบคลานขึ้นมาช้าๆ คุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้นหิมะ เหม่อมองทิศทางที่รถม้าหายลับไป ทั้งร่างพลันสั่นเทิ้ม สองตาแดงฉาน สีหน้าร่ำไห้ก็มิใช่ หัวเราะก็ไม่เชิง
ยามที่เว่ยเหลียงรุดตามมาถึงที่นี่ คราบเลือดบนพื้นและรอยล้อรถม้าล้วนถูกหิมะหนาหนักที่ตกลงมาอีกระลอกหนึ่งกลบกลืนไปจนสิ้น เขาได้แต่คาดคะเนเหตุการณ์คร่าวๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จากหัวธนูหลายดอกซึ่งเสียบอยู่ในพื้นหิมะ
เมื่อครู่มีคนเดินทางมาส่งข่าว บอกว่ามีคนไหว้วานให้เขามาแจ้งต่ออีกทอดหนึ่ง ความว่าฮูหยินของเว่ยโหวตกอยู่ในกำมือเฉินรุ่ยแห่งปิงโจวแล้ว เว่ยเหลียงอยากซักถามเหตุการณ์ให้มากกว่านี้ แต่คนเดินทางผู้นั้นกลับตอบว่าไม่รู้เรื่องอื่นอีก
เว่ยเหลียงทางหนึ่งตำหนิตนเองไม่หาย อีกทางหนึ่งก็ทอดตามองไปไกลด้วยอาการกลัดกลุ้มรุ่มร้อน
คนที่ส่งไปรวบรวมเบาะแสคณะของเฉินรุ่ยทยอยกลับมารายงาน พบว่ามีคนเห็นรถม้าคันนั้นมุ่งไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้
เขาคาดคะเนด้วยประสบการณ์ว่าเฉินรุ่ยน่าจะจับตัวนายหญิงมุ่งสู่เมืองสืออี้ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ที่นั่นคือเมืองชายแดนระหว่างเขตปกครองของเว่ยเซ่ากับเฉินเสียงที่อยู่ใกล้ที่สุด มีไพร่พลประจำการกองใหญ่ สิบกว่าปีมานี้ระดมทหารมารักษาการณ์จำนวนมาก แข็งแกร่งประดุจป้อมปราการ
เว่ยเหลียงได้ส่งคนรุดเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดทั้งวันทั้งคืนกลับไปแจ้งต่อเว่ยเซ่าแล้ว ภายในหนึ่งถึงสองวันผู้เป็นนายน่าจะได้รับข่าวและรุดมายังเมืองสืออี้
ขณะที่รอคอยเขาก็ไม่รู้ว่านายหญิงอยู่ในเมืองสืออี้เป็นอย่างไรกันแน่ และไม่รู้ว่าม้าเร็วส่งข่าวถึงเมืองซิ่นตูแล้วหรือไม่ หลังครุ่นคิดชั่วครู่เขาจึงสั่งให้ทหารไปสืบข่าวความเคลื่อนไหวในเมืองสืออี้ ส่วนตนเองขึ้นม้าเร็วเร่งย้อนกลับไปหาผู้เป็นนาย
เว่ยเหลียงร้อนใจดุจไฟสุมอก ประกอบกับรู้สึกละอายแก่ใจและตำหนิตนเอง จึงเร่งเดินทางโดยไม่หยุดพักแม้สักชั่วขณะเดียว ยามบ่ายวันรุ่งขึ้นเมื่อรุดถึงเมืองชิ่งอวิ๋นซึ่งอยู่ห่างจากเมืองสืออี้ราวร้อยกว่าลี้ เขาก็เห็นแต่ไกลว่าถนนเบื้องหน้ามีฝุ่นฟุ้งกลบฟ้า ธงทิวคลี่สะบัด พอแยกแยะได้ว่าเป็นธงของเว่ยเซ่าก็พุ่งตรงเข้าสู่กองทัพนั้นทันที ทหารรู้จักเว่ยเหลียง เห็นเขาหน้าตามอมแมม สีหน้ากระวนกระวายจึงพากันหลีกทางให้ เว่ยเหลียงพุ่งตรงไปถึงเบื้องหน้าเว่ยเซ่า พลิกตัวจากหลังม้าก่อนจะลงมายืนบนพื้น แล้วคุกเข่าโขกศีรษะกล่าว “ขอท่านโหวได้โปรดประทานโทษตายแก่ข้าน้อย! ท่านโหวมอบหมายภารกิจสำคัญให้ข้าน้อยเป็นผู้คุ้มกันนายหญิง ทว่าข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่ เป็นเหตุให้นายหญิงตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เดิมทีข้าน้อยไม่มีหน้ามาพบท่านโหวอีกแล้ว! รอให้ข้าน้อยบุกเมืองสืออี้ช่วยนายหญิงกลับมาได้เมื่อไร ข้าน้อยค่อยปลิดชีพตนเองเป็นการขอขมา!”
เว่ยเซ่าพลิกกายลงจากม้า ประคองเว่ยเหลียงลุกขึ้นมาแล้วสอบถาม “นางเป็นอย่างไรบ้าง”
เว่ยเหลียงเงยหน้าเหลือบมองผู้เป็นนาย เห็นสายตาของอีกฝ่ายจับจ้องตนอยู่ เขาลังเลชั่วครู่ก่อนตอบเสียงเบาในที่สุด “นางถูกเจ้าเฉินรุ่ยนั่นชิงตัว…พาเข้าเมืองสืออี้ไปแล้วขอรับ”
อากาศรอบด้านคล้ายผนึกแข็งในฉับพลัน
เว่ยเซ่าไม่ขยับเขยื้อน หนังตาของเขากระตุกสองทีก่อนจะชักกระบี่ พร้อมกับเสียงฉับอันดังกังวาน ต้นหลิวอายุหลายปีขนาดลำต้นเท่าปากชามที่อยู่ข้างทางต้นหนึ่งก็ถูกฟันเข้ากลางลำต้น แล้วขาดสะบั้นในครั้งเดียว ต้นหลิวหักโค่น ล้มลงดังครืน
เว่ยเซ่าหันหน้ามาพร้อมสีหน้าที่อึมครึม เอ่ยเน้นทีละคำ “ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป เดินทัพต่อเนื่อง โจมตีเมืองสืออี้คืนนี้ ผู้ใดจับเป็นเฉินรุ่ยได้จะตกรางวัลให้อย่างงาม!”
เฉินรุ่ยเข้าเมืองสืออี้โดยมีแม่ทัพรักษาเมืองมาต้อนรับ พอเข้าที่พักในจวนเจ้าเมือง เขาก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายไป ห้ามรั้งอยู่แม้แต่คนเดียว เขาอุ้มเสี่ยวเฉียวลงมาจากตัวรถ ตรงเข้าห้องพักแล้วปิดประตู ดึงผ้าที่อุดปากนางออก ค่อยแก้เชือกที่มัดมือมัดเท้านาง เห็นข้อมืองามทั้งสองข้างถูกรัดจนเป็นรอยช้ำสีม่วงเขียวหนึ่งวงแล้วก็รู้สึกปวดใจจนสุดประมาณ ขณะที่เขากระเถิบเข้าไปหมายคว้ากุมมือนางมาเป่าและนวดคลึงให้ ปากก็พูดพร่ำไม่หยุด “คนงามอย่าได้ถือโทษเลยนะ เดิมทีข้าก็มิใช่คนหยาบคายเช่นนี้หรอก หากเจ้าไม่ดื้อ ข้าไหนเลยจะหักใจทำรุนแรงกับเจ้าได้”
เสี่ยวเฉียวเบี่ยงตัวหลบมือที่เขายื่นมา เอียงกายหันข้างให้ ทางหนึ่งค่อยๆ นวดคลึงข้อมือที่ถูกมัดจนเป็นเหน็บชา อีกทางหนึ่งคอยมองสำรวจเฉินรุ่ยที่อยู่ด้านข้างผู้นี้อย่างเยือกเย็น ไม่พูดจาแม้สักคำ
เฉินรุ่ยอยู่ข้างๆ ตะลึงมองเสี่ยวเฉียวด้วยสองตาที่เบิกค้าง
เมื่อคืนนั่งโคลงเคลงอยู่บนรถม้ามาตลอดราตรี ยามนี้ดวงหน้าของนางจึงฉาบไปด้วยความอิดโรย ใต้ขอบตามีรอยคล้ำจางๆ หนึ่งวง จอนผมยุ่งเล็กน้อย ทว่าเหล่านี้มิได้ทำลายรูปโฉมของนางแม้เพียงเศษเสี้ยว กลับยิ่งแต่งเติมให้นางมีท่าทางที่บอบบางชวนถนอม
เฉินรุ่ยเจ้าสำราญมาแต่ไหนแต่ไร เด็ดดอมบุปผามาแล้วนับไม่ถ้วน ในจำนวนนี้ย่อมไม่ขาดแคลนหญิงงาม ทว่าเขาไม่เคยพบพานสตรีใดที่มีรูปโฉมล้ำเลิศเช่นเสี่ยวเฉียวมาก่อน เพียงรู้สึกยิ่งมองก็ยิ่งนึกรัก มองอย่างไรล้วนไม่เพียงพอ เขาแทบอยากจะคลึงเคล้นนางเป็นก้อนแล้วกลืนกินเข้าสู่ท้องในคราวเดียว ในใจราวกับมีหนอนนับไม่ถ้วนคอยขบกัด รู้สึกคันยุบยิบยากจะทานทนไหว เขาอดใจไว้ไม่อยู่โถมเข้าไปกอดรัดนางหมายจุมพิตให้ชื่นใจ ปากก็อ้อนวอนด้วยวาจาอันเหลวไหล
“คนงาม ข้ารักเจ้าจริงๆ นะ เว่ยเซ่านั่นแล้งน้ำใจไร้คุณธรรมต่อเจ้า วันรุ่งขึ้นหลังการแต่งงานก็ขับไล่ไสส่งเจ้าเสียแล้ว หรือว่าเบื้องล่างของเขามิใช่ชาย? ในเมื่อไม่ใช่ชาย เจ้าไม่ต้องมีเขาก็ได้ เจ้ายอมข้าเถิดนะ ต่อไปข้าจะรักถนอมเจ้าเอง…”
เสี่ยวเฉียวหลบหลีกปากของเขาด้วยความตื่นตระหนก แม้หลบพ้นด้านบนทว่าไม่ได้ป้องกันด้านล่าง ขณะดิ้นรนอย่างสุดกำลัง รองเท้าข้างหนึ่งก็ถูกเขารวบดึงออกไปทั้งถุงเท้า เท้างามไร้ที่ให้หลบซ่อนจึงเผยต่อสายตาของเฉินรุ่ยในฉับพลัน เท้างามข้างนั้นขาวนวลเนียนราวก้อนเต้าหู้เนื้อละเอียดสีหิมะ เฉินรุ่ยมองจนตาค้างพลางกลืนน้ำลายเสียงดังเอื๊อก เขาฝืนกดข่มความคิดที่จะกระโจนเข้าไปคว้ามาขบกัดเสียให้พอ ลังเลเพียงชั่วอึดใจก่อนจะชักกระบี่ออกมากล่าวขู่ขวัญ
“หากเจ้าไม่ยอมข้า ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย!”
ตกอยู่ในกำมือของเฉินรุ่ยผู้นี้ หากบอกว่าไม่กลัวย่อมเป็นคำโป้ปด ทว่าจะมากหรือน้อยนางก็พอมองออกว่าคนผู้นี้ถูกความใคร่จู่โจมจิตใจ กระทั่งไม่กลัวที่จะแสดงสารพัดท่าทางน่ารังเกียจต่อหน้านาง ยามนี้ที่ถือกระบี่ขู่เข็ญน่าจะกำลังข่มขวัญนางเท่านั้น เสี่ยวเฉียวสงบสติได้ตามลำดับ ด้วยเกรงว่าเขาจะใช้กำลังกับตนอีก นางจึงตอบโต้ด้วยโทสะเสียเลย “สกุลเฉียวของข้าปกครองราษฎรเหยี่ยนโจวมาสามชั่วคน นับเป็นตระกูลขุนนางใหญ่เช่นกัน ไหนเลยจะยอมให้เจ้ามาหักหาญกันเช่นนี้ ขืนเจ้ายังไร้มารยาทอีก ข้าขอยอมตายเสียยังดีกว่าให้เจ้ามาหมิ่นเกียรติ!”
โฉมสะคราญมีโทสะ…ก็เป็นเสน่ห์อีกประการหนึ่ง เผชิญกับดวงหน้าที่ชวนมองไม่ว่ายามเบิกบานหรือโกรธเกรี้ยว เฉินรุ่ยถึงกับมือไม้อ่อน กุมกระบี่ไว้ไม่อยู่ร่วงกระทบพื้นดังเคร้ง ส่วนตนเองก็พลอยคุกเข่าลงกล่าว “ได้ๆ ข้าไม่บังคับเจ้าแล้ว เจ้าอยากให้ข้าแต่งเจ้าก่อนถึงจะยอมข้ากระมัง เรื่องนี้มีอันใดยาก! ตำแหน่งภรรยาเอกของข้ายังเว้นว่างอยู่ แต่งเจ้าได้พอดี…”
ขณะที่เขากล่าววาจาพลันได้ยินเสียงฝีเท้าประชิดมาใกล้จากเบื้องนอก ตามด้วยเสียงตบประตูดังปึงปัง ลูกน้องของเขามารายงานว่าพบเว่ยเซ่ากำลังนำทัพมาในระยะสามสิบลี้ และจะมาถึงในไม่ช้าแล้ว
เฉินรุ่ยตระหนกวูบ ไม่นึกว่าเว่ยเซ่าจะมาถึงเร็วปานนี้ แต่ในเมื่อเข้ามาในเมืองสืออี้แล้ว เขาก็ไม่หวั่นเกรงแต่อย่างใด
ในเมืองไม่เพียงมีทหารรักษาการณ์จำนวนมาก สภาพพื้นที่ซึ่งตั้งรับง่ายทว่าบุกได้ยากก็ช่วยในการป้องกันเมืองอีกแรงหนึ่ง
เขาจะคอยเว่ยเซ่าบุกมา ขอเพียงเอาชัยอีกฝ่ายในศึกนี้ ไม่เพียงสามารถล้างความอัปยศก่อนหน้า นับแต่นี้ยังจะได้เชิดหน้าชูตาต่อหน้าโฉมสะคราญ รับรองว่านางจะไม่กล้าดูแคลนตนอีก
เฉินรุ่ยเอ่ยกับเสี่ยวเฉียว “คนงาม เว่ยเซ่ามารนหาที่ตายเองแล้ว ช่างไม่รู้จักดีชั่วเลยจริงๆ ถึงกับกล้ามาทำลายเรื่องดีของเจ้ากับข้า เจ้าคอยดูเถิด ข้าจะออกจากเมืองไปฆ่ามันให้ร่วงจากหลังม้าเลย รอจนข้ากุมชัยกลับมาค่อยเข้าพิธีไหว้ฟ้าดินกับเจ้า เจ้ารอข้านะ” เขาพูดพลางหยิบเชือกออกมา พันไม่กี่ทีก็มัดมือมัดเท้านางอีกครั้ง สุดท้ายจึงอุ้มนางไปวางนอนบนเตียงพร้อมเอ่ยปลอบโยน “คนงามอย่าได้ถือโทษที่ข้าทำรุนแรงเลยนะ ข้าไม่อาจวางใจเจ้าได้จริงๆ กลัวว่าตอนที่ข้าไม่อยู่ใกล้ๆ เจ้าจะคิดไม่ตก หากเจ้าเป็นอะไรไป ถึงตอนนั้นข้าสำนึกเสียใจก็สายเกินแก้แล้ว! เจ้าอดทนสักหน่อยเถิด ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็จะกลับมา” จบคำเขาก็ปล่อยม่านลง กำชับหญิงรับใช้อาวุโสให้เฝ้าคุมหน้าประตูให้ดี จากนั้นตนเองค่อยออกไปอย่างเร่งรีบ
เว่ยเซ่าเคลื่อนทัพใหญ่มาถึงเบื้องล่างของกำแพงเมือง ทอดมองไกลไปยังฝั่งตรงข้าม แลเห็นเฉินรุ่ยยืนตระหง่านอยู่เบื้องบน มือกุมทวนวงเดือน สองข้างมีแม่ทัพที่เก่งกล้ายืนเรียงอยู่สี่คน เบื้องหลังตั้งธงหางนางแอ่นประดับขนหางจามรีผืนใหญ่สูงราวจั้งเศษ บนผืนธงปักอักษร ‘เฉิน’ ขนาดเท่าโต่ว ปลิวสะบัดล้อลมแผ่บารมีไปทั่วทิศ เฉินรุ่ยเปล่งเสียงยั่วยุใส่เว่ยเซ่า ท่าทีกำเริบเสิบสานเป็นที่สุด
เว่ยเซ่าคล้ายไม่ได้ยินเสียง ทำเพียงฉวยหน้าไม้พยัคฆ์เหล็กไกคู่ของตนมาจากมือบริวาร น้าวสายจนสุดแล้วยิงไปทางเฉินรุ่ยบนกำแพงเมืองสามดอกติดกัน ลูกธนูพุ่งฉิวพร้อมเสียงแผ่วเบาของคมอาวุธที่แหวกอากาศ ทั้งสามดอกหัวท้ายเรียงต่อกันกลางเวหา ประดุจงูเปรียวที่เกร็งลำตัวเหยียดตรง พุ่งฉกไปหาเฉินรุ่ยโดยไม่คลาดเคลื่อน
เฉินรุ่ยมิได้ระวังป้องกันพลันตื่นตระหนกสุดขีด มองเห็นลูกธนูพุ่งมาถึงเบื้องหน้าดุจสายฟ้าแลบในชั่วพริบตา เขาไม่ทันสะบัดทวนวงเดือนปัดลูกธนูก็หดศีรษะขวับโดยไม่พะวงว่าน่าเกลียด ถึงได้หลบพ้นคมธนูไปอย่างฉิวเฉียด กระแสลมหอบหนึ่งโฉบผ่านเหนือศีรษะ ได้ยินเพียงเสียงทุ้มดังฉึกๆๆ ติดกันสามครั้งที่เบื้องหลัง เขาหันไปเห็นลูกธนูทั้งสามดอกล้วนเสียบเข้าสู่ด้ามธงในตำแหน่งเดียวกัน แรงของลูกธนูเจาะทะลวงไม้หยางขนาดเท่าปากชามจนเศษไม้ปลิวว่อน เมื่อสายลมหอบมาอีกระลอกก็บังเกิดเสียงกร๊อบแผ่วเบา ด้ามธงถูกบั่นกลางลำจนหักเป็นสองท่อนดื้อๆ พร้อมกับพาธงผืนใหญ่นั้นร่วงสู่พื้นไปด้วย
สองทัพนิ่งเงียบชั่วขณะหนึ่ง จู่ๆ ทหารฝ่ายเว่ยเซ่าก็ประสานเสียงกู่ร้องคำว่า ‘หู่เวย’ กระแทกโล่ลงกับพื้นโดยพร้อมเพรียง เสียงนั้นสะท้านสะเทือนผืนดินราวกับเกิดฟ้าผ่าต่อเนื่องก็ไม่ปาน ผิดกับแม่ทัพและทหารหน้าแนวรบของเฉินรุ่ยที่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เงียบกริบไร้สุ้มเสียง สองทัพยังไม่ทันได้เปิดศึกก็ปราชัยด้านความฮึกเหิมไปก่อนแล้วหลายขุม
เฉินรุ่ยตื่นตระหนกจนแผ่นหลังชุ่มเหงื่อเย็น เห็นธงใหญ่หักโค่น ขวัญทหารก็พ่ายแก่ข้าศึกไปก่อนแล้ว เขารู้สึกเสียหน้าจนหัวเสียอย่างไม่อาจข่มกลั้น ตวาดสั่งเสียงก้องให้ทหารระดมยิงธนูลงไป
เว่ยเซ่ายืนอยู่ใต้ผืนธง มีบัญชาให้เปิดฉากบุกเมืองสืออี้ทันที ชั่วขณะนั้นเสียงกลองสนั่นฟ้า เสียงกู่ร้องสะเทือนดิน กำแพงเมืองทั้งในนอกกระหน่ำไปด้วยฝนก้อนหินและเกาทัณฑ์ ลูกไฟปลิวว่อนไปทั่ว สนามรบดุจฟ้าถล่มดินทลาย ขุนเขาเคลื่อนภูผาทรุด
ขณะที่สองฝ่ายปะทะกันนั้นท้องฟ้าจวนพลบค่ำแล้ว การศึกอันดุเดือดดำเนินต่อเนื่องจนกระทั่งฟ้ามืด ต่างฝ่ายต่างมีผู้บาดเจ็บล้มตาย ทว่าการโจมตีของฝ่ายเว่ยเซ่าไม่เพียงไม่อ่อนกำลังลง กลับทวีความดุดันรุนแรง เหล่าทหารเห็นเว่ยเซ่าปีนบันไดไต่ขึ้นกำแพงเมืองไปก่อนใคร แต่ละคนจึงยิ่งฮึกเหิมไม่คิดชีวิต รบพุ่งสู้ตาย บุกหนุนอย่างต่อเนื่องระลอกแล้วระลอกเล่าประหนึ่งกระแสน้ำขึ้นถาโถมไม่ขาดสาย ทันใดนั้นจู่ๆ ภายในเมืองสืออี้ก็ปรากฏแสงเพลิงขึ้นเหนือทิศทางของจวนเจ้าเมือง
ใกล้กับจวนเจ้าเมืองคือคลังเสบียง เสบียงสำรองของทั้งเมืองล้วนเก็บอยู่ที่นั่น ปริมาณของเสบียงที่เก็บสะสมไว้สามารถเลี้ยงดูคนทั้งเมืองได้นานนับปี ปกติกวดขันเรื่องฟืนไฟในระดับสูงสุด ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงเกิดเพลิงไหม้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญเช่นนี้ได้ เห็นเปลวไฟคุโชนลุกลามด้วยแรงลมหนุน ส่องสะท้อนผืนฟ้ายามราตรีจนแดงฉานไปเกือบครึ่งผืนแล้ว ในเมืองก็มีเสียงอึกทึกดังระงมขึ้นทั้งสี่ทิศ สับสนอลหม่านไปทั่ว ทหารรักษาเมืองเสียสมาธิจากเหตุเพลิงไหม้นั้น ทั้งยังตื่นผวากับการบุกอันเฉียบขาดโหดเหี้ยมหมายเอาชัยให้ได้ของเว่ยเซ่า จึงไม่อาจดูแลได้รอบด้าน พวกเขาเริ่มลนลานระส่ำระสายตามลำดับ
ไม่ช้าเสียงโครมก็ดังสนั่นมาจากประตูเมือง บานประตูถูกท่อนซุงขนาดมหึมากระทุ้งแตกแล้ว คลื่นทหารนอกกำแพงทะลักทลายเข้ามาท่ามกลางเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง
เฉินรุ่ยตะลีตะลานหลบหนีเมื่อเห็นประตูเมืองถูกตีแตก ทั้งที่เขามีสภาพกระเซอะกระเซิง ในใจก็ยังไม่อาจปล่อยวางโฉมสะคราญลงได้ เขาพุ่งตรงไปถึงจวนเจ้าเมืองในอึดใจเดียว เห็นว่าทิศทางของต้นเพลิงก็คือห้องที่กักตัวนางไว้ เขาเดินวนอยู่กับที่สองรอบ สุดท้ายยังคงกัดฟันบุกฝ่าเข้าไป ทว่าด้านในเปลวไฟลุกท่วมโชติช่วงรุนแรง ทั่วทั้งห้องจมอยู่ในกองเพลิง ขื่อคานพังถล่มอย่างต่อเนื่อง เพียงยืนอยู่ที่ลานด้านนอก ไอร้อนระอุก็ยังซัดมาแผดเผาทั่วทั้งใบหน้า คุกคามให้เขาผงะจนต้องถอยไปหลายก้าว
เฉินรุ่ยคิดว่าโฉมสะคราญคงจบชีวิตในทะเลเพลิงแล้วเป็นแน่แท้ จึงร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดระคนสำนึกเสียใจ “ขยี้ดวงใจข้าชัดๆ!”
อารมณ์หุนหันพลันพลุ่งขึ้น เขาสะบัดหน้าขวับหมายไปแลกชีวิตกับเว่ยเซ่า ทว่าเขาเพิ่งออกจากจวนเจ้าเมืองได้เพียงไม่กี่ก้าวกลับได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นที่ด้านหน้า อาศัยแสงจากเปลวเพลิงที่เบื้องหลัง เขาจึงแยกแยะได้ว่าเป็นกองทัพของเว่ยเซ่าที่บุกเข้าเมืองกำลังมุ่งตรงมาหาตน เฉินรุ่ยตระหนกซ้ำสอง กระทืบเท้าหันหลังย้อนกลับเข้าจวนเจ้าเมืองไปอย่างลนลานโดยไม่เลือกเส้นทาง เขาวิ่งเตลิดเรื่อยมาจนถึงลานด้านหลัง สุดท้ายก็หนีหัวซุกหัวซุนข้ามกำแพงห้องปลดทุกข์ออกไป
ในที่สุดการศึกอันดุเดือดก็ยุติลง ยามนี้เป็นเวลาดึกดื่นมากแล้ว แม่ทัพคนสนิทของเจ้าเมืองถูกสังหารท่ามกลางกองทัพอันปั่นป่วน ทหารเมืองสืออี้ก็บาดเจ็บล้มตายเกินกว่าครึ่ง ที่เหลือรอดล้วนยอมจำนนหมดสิ้นแล้ว เหล่าแม่ทัพและทหารใต้ปกครองของเว่ยเซ่าแม้เหนื่อยล้าเพียงใด และยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้รับบาดเจ็บจนถึงเลือดถึงเนื้อ ทว่าหลังจากที่บุกยึดเมืองสืออี้ได้สำเร็จแล้วก็ทำให้ขวัญทหารกล้าฮึกเหิม ทุกแห่งหนจึงมีแต่เสียงโห่ร้องยินดี
แม่ทัพหลี่ฉงรับหน้าที่ตรวจนับจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายและปรับกำลังพลหลังเสร็จศึก กงซุนหยางจัดกำลังคนไปดับไฟ ส่วนเว่ยเซ่าก้าวยาวๆ มุ่งไปยังจวนเจ้าเมือง เมื่อไปถึงครึ่งทาง กงซุนหยางกับนายกองผู้หนึ่งก็รุดมาจากทิศทางตรงข้าม พอนายกองเห็นเว่ยเซ่าก็วิ่งปราดมาถึงเบื้องหน้าเขา ก่อนคุกเข่าข้างหนึ่งรายงานว่าได้ส่งคนออกไล่ล่าเฉินรุ่ยที่หลบหนีแล้ว ทว่ายังหานายหญิงไม่พบ
จากคำให้การของข้ารับใช้ในจวนเจ้าเมือง ตอนนั้นนายหญิงถูกกักตัวอยู่ในห้องที่เตรียมใช้เป็นห้องหอ ซึ่งห้องต้นเพลิงก็คือห้องหอนั้นนั่นเอง ตอนเกิดเหตุหญิงรับใช้อาวุโสที่เฝ้าคุมนายหญิงตามคำสั่งของเฉินรุ่ยมองเห็นเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นในห้องจึงเปิดประตูเข้าไปตรวจตราดู ทว่าควันไฟกลับพวยพุ่งจนดวงตาพร่าลาย นางจึงรีบเรียกให้คนมาดับไฟ แต่จนใจที่ไฟโหมแรงเกินกำลัง ไม่ช้าก็ลุกลามไปทั่วทั้งห้อง
นายกองได้ส่งคนออกค้นหาทั่วละแวกใกล้เคียง ทว่ายังไม่พบร่องรอยของนายหญิง เป็นไปได้อย่างยิ่งที่นางจะสังเวยชีวิตกลางทะเลเพลิงนั้นแล้ว
นายกองรายงานจบก็เหลือบมองเว่ยเซ่าด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจอยู่บ้าง
เว่ยเซ่านิ่งอยู่กับที่พลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ทอดตามองไปยังบริเวณที่อยู่ไม่ไกลออกไป กองเพลิงเจิดจ้าซึ่งลุกไหม้อยู่ตรงนั้นยังคงพุ่งสูงเทียมฟ้า
บนใบหน้าและร่างกายของเขายังเปื้อนคราบโลหิตอยู่แถบใหญ่ ชุดเกราะส่องสะท้อนเปลวไฟที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพลอยย้อมให้สีหน้าเจือแววพิฆาตอันน่าพรั่นพรึง
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้า สังหารแม่ทัพรักษาเมือง ฝังทหารที่ยอมจำนนทั้งเป็น ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว”
ชั่วครู่ให้หลังเขาจึงออกคำสั่งเน้นออกมาทีละคำ ทว่าน้ำเสียงกลับราบเรียบยิ่ง ปราศจากอารมณ์ขึ้นลงโดยสิ้นเชิง
กงซุนหยางตระหนกวูบ ชำเลืองมองผู้เป็นนายแวบหนึ่ง เห็นสองตาของอีกฝ่ายผุดสีเลือดแดงฉาน แววตากรุ่นด้วยจิตสังหารอันเข้มข้น เขาจึงรีบเดินขึ้นหน้าไปหมายห้ามปราม ยังไม่ทันได้เอ่ยปากก็ถูกเว่ยเซ่าชิงพูดก่อนด้วยน้ำเสียงอันเยียบเย็น “ท่านกงซุนมิต้องกล่าวมากความ ข้าตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว”
ขณะที่กงซุนหยางลังเล เบื้องหลังก็มีนายกองอีกนายวิ่งฉิวมาราวกับเหินบิน นายกองผู้นี้มีสีหน้ายินดี ตะโกนก้องมาแต่ไกล “ท่านโหวขอรับ! หานายหญิงพบแล้ว! หานายหญิงพบแล้ว! นายหญิงซ่อนตัวอยู่ในคอกม้าเปล่าที่อยู่ทางต้นลมขอรับ!”
กงซุนหยางยินดีเป็นล้นพ้น รีบสาวเท้าตรงไปซักถามให้รู้แน่ชัด นายกองผู้มาใหม่รายงานว่านายหญิงปลอดภัยดี เพียงแต่ข้อมือทั้งสองข้างถูกไฟลวกจนบาดเจ็บ ดูท่าอาการมิใช่เบา ยามนี้พาตัวนายหญิงไปยังสถานที่ปลอดภัยแล้ว
กงซุนหยางหันหน้าไปเล่าซ้ำหนึ่งรอบ มองพิจารณาสีหน้าของเว่ยเซ่าก่อนเอ่ยโน้มน้าว “นายท่าน! ในเมื่อทหารเมืองสืออี้ที่เหลือสวามิภักดิ์ต่อนายท่านแล้ว การฝังทั้งเป็นย่อมไม่เป็นมงคล หวังว่านายท่านจะไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ด้วย”
โน้มน้าวจบก็เห็นเว่ยเซ่าไม่ผงกศีรษะแต่ก็ไม่เปล่งเสียงค้าน กงซุนหยางจึงลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ขบคิดเล็กน้อยก่อนโน้มน้าวต่อ
“นายหญิงไม่เป็นไรย่อมเป็นเรื่องดี ทว่าเกิดเหตุพลิกผันเช่นนี้คงได้รับความตระหนกไม่น้อย เหตุใดนายท่านไม่ไปเยี่ยมนายหญิงสักหน่อย งานที่เหลือในเมืองมอบให้ข้าเป็นใช้ได้”
“ไม่ต้องหรอก รบกวนท่านกงซุนส่งหมอทหารไปรักษาแผลให้นางแล้วหาคนไปคุ้มกันให้ดี อย่าให้ผิดพลาดอีกเป็นพอ ข้ายังมีงานอื่น ต้องล่วงหน้าไปก่อน!”
เว่ยเซ่าทิ้งคำพูดจบประโยคก็หมุนกายจากไป
กงซุนหยางมองดูเงาหลังของเขา ส่ายหน้าก่อนเอ่ยสั่งการ
เพลิงไหม้จวนเจ้าเมืองยังดับไม่สนิท ชั่วขณะนี้จึงไม่อาจเข้าพำนักได้ คนเจ็บทั้งหมดต่างก็ถูกจัดให้พักอยู่ในจวนว่าการของหน่วยงานต่างๆ ทางฝั่งตะวันออกของเมือง
ทหารนำทางถือคบไฟส่องสว่าง ตลอดทางที่เว่ยเซ่ามุ่งหน้าไป นอกจากทิศทางของจวนเจ้าเมืองที่อยู่เบื้องหลังยังมีเปลวไฟโลดเต้นแล้ว บนถนนทั้งสายจากหัวจรดท้ายล้วนแต่มืดมิด บ้านเรือนสองข้างทางปิดประตูหน้าต่างแน่นสนิทราวกับเมืองร้าง ขณะเดินผ่านประตูบ้านหลังหนึ่ง จู่ๆ มีเสียงเด็กร่ำไห้ดังออกมา ทว่ายังไม่ทันร้องขาดคำ เสียงก็พลันเงียบหายไป คาดว่าคงถูกผู้ใหญ่ใช้กำลังป้องปากหรือไม่ก็คลุมไว้ใต้ผ้าห่ม
หน้าประตูจวนว่าการ ขุนนางท้องถิ่นใหญ่น้อยหลายสิบคนของเมืองสืออี้ตั้งแต่ผู้ช่วยเจ้าเมือง เสนาธิการ ไปจนถึงหัวหน้าจุดพักเปลี่ยนม้าหลัก ยามนี้ล้วนรวมตัวกันอยู่เบื้องหลังรั้วกั้น ถูกทหารจ้องมองด้วยแววตาอันเกรี้ยวกราด ขุนนางท้องถิ่นแต่ละคนเครื่องแต่งกายรุ่ยร่าย หวาดกลัวจนใบหน้าหมองคล้ำดุจสีดิน บ้างนั่งซึมกับพื้น บ้างกอดกันร่ำไห้ จู่ๆ ได้ยินทหารตะโกนว่า “ท่านโหวมาถึงแล้ว!” จากนั้นก็ทำความเคารพแบบทหาร ขุนนางเมืองสืออี้จึงพร้อมใจกันหันหน้าไปมอง เห็นบนบันไดทางเข้ามีบุรุษผู้หนึ่งสาวเท้าเดินขึ้นมา อีกฝ่ายสวมชุดเกราะเปื้อนเลือดไปทั้งร่าง รูปโฉมหล่อเหลามีสง่าเหนือธรรมดา ท่าทางอายุเพียงยี่สิบเศษ ยังหนุ่มแน่นยิ่งนัก พวกเขารู้ว่าคนผู้นี้ก็คือเว่ยเซ่าผู้มีนามเลื่องลือขจรขจายทางแดนเหนือ จึงไม่มีใครเห็นเขาแล้วไม่ตัวสั่นงันงก ทำเพียงลอบมองเขาโดยไม่กล้าส่งเสียงอีก
เว่ยเซ่าไม่ได้แยแสขุนนางเมืองสืออี้เหล่านี้ เข้าไปด้านในแล้วถอดชุดเกราะ เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าเสร็จก็ไปบำรุงขวัญทหารที่บาดเจ็บจากการบุกเมืองคืนนี้
ศึกตีเมืองสืออี้สาหัสสากรรจ์ยิ่งนัก ทหารเมืองสืออี้แม้พ่ายแพ้ทั้งกองทัพ ทว่าฝ่ายเว่ยเซ่าก็สูญเสียมิใช่น้อย นี่ยังไม่นับผู้ที่พลีชีพในการศึก เฉพาะที่นี่ก็มีคนเจ็บนอนกันแน่นขนัด หมอทหารสิบกว่าคนเดินสวนกันไปมา วุ่นรักษาอาการให้ทหารที่บาดเจ็บกันมือเป็นระวิง
เหล่าทหารพอเห็นผู้เป็นนายยังไม่ฉลองชัยชนะ เพิ่งยึดเมืองได้ก็มาเยี่ยมเยียนคนเจ็บเช่นพวกตนก่อนเช่นนี้ ทุกคนจึงซาบซึ้งตื้นตันอย่างยิ่ง
เว่ยเซ่าบำรุงขวัญทหารเสร็จก็ไปเยี่ยมเว่ยเหลียงต่อตามลำพัง
เนื่องจากเก็บความรู้สึกผิดไว้ในใจ เว่ยเหลียงจึงรบพุ่งบุกเมืองอย่างสู้ตายถวายชีวิต ร่างกายพลาดถูกลูกธนูไฟไปหลายดอก เคราะห์ดีที่ไม่ถูกจุดสำคัญ หมอทหารเยียวยาอาการให้เขาเสร็จแล้ว ยามนี้เขาจึงเอนกายหลับตาพักฟื้นอยู่บนเตียง พอได้ยินว่าเว่ยเซ่ามาเยี่ยมก็กระเสือกกระสนลุกขึ้นหมายจะลงมาที่พื้น แต่เว่ยเซ่ากลับกดร่างเขาไว้ในคราเดียว
แผลจากพิษไฟบนร่างเว่ยเหลียงนั้นไม่เบาเลยจริงๆ สีหน้าของเขาเหลืองซีดดุจกระดาษทอง ทว่ายังสนทนาแย้มยิ้มได้ดุจเดิม ดูกระปรี้กระเปร่าไม่เลวทีเดียว
เว่ยเซ่าสอบถามรายละเอียดของเหตุการณ์ที่ชิวจี๋ในวันนั้น เว่ยเหลียงจึงเล่าทวนอีกครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ สุดท้ายก็เอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าลูกโจรเฉินรุ่ยช่างน่าแค้นใจนัก ใช้เล่ห์กลสกปรกจนเป็นสันดาน ถึงกับฉวยจังหวะที่ข้าไม่ทันตั้งตัวใช้อุบายลักพาตัวนายหญิงไป เจ้านั่นสมควรตายจริงๆ! รอคราวหน้าข้าหามันพบเมื่อไร ต้องชำแหละมันเป็นแปดส่วนถึงจะระบายแค้นในใจของข้าได้!”
เว่ยเซ่าซักถาม “เจ้าบอกว่าตอนแรกนายหญิงถูกลักพาตัวไปจากจุดพักเปลี่ยนม้า? จากนั้นมีคนไหว้วานคนเดินทางให้มาแจ้งข่าวแก่เจ้าว่านางตกอยู่ในกำมือของเฉินรุ่ย เช่นนั้นรู้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นมีที่มาอย่างไร”
เว่ยเหลียงสั่นศีรษะอย่างงุนงง “ข้อนี้ไม่รู้เลยขอรับ น่าจะมีคนเห็นพอดีถึงได้มาแจ้งข่าว”
ขณะที่เว่ยเซ่าจมอยู่ในห้วงความคิด นายกองคนเมื่อครู่ก็รีบรุดมารายงาน บอกว่ามีทหารพบเฉินรุ่ยอยู่นอกประตูเมืองทิศตะวันตกห่างออกไปหลายลี้ ถูกอีกฝ่ายชิงม้าศึกหนึ่งตัว ดูท่าจะมุ่งไปยังทิศทางของตำบลเล่อผิง ตอนนี้ทุ่มกำลังตามจับอยู่
เว่ยเหลียงเดือดดาลเป็นการใหญ่ ลุกพรวดขึ้นนั่งหมายพลิกกายลงจากเตียง ทว่ากระเทือนถูกบาดแผลบนร่าง ใบหน้าจึงเผยแววเจ็บปวด
เว่ยเซ่ามีสีหน้าเป็นปกติ ทว่าในดวงตากลับมีเงาทะมึนวาบผ่าน เขากดบ่าเว่ยเหลียงบอกให้อีกฝ่ายวางใจพักฟื้น หลังสั่งให้หมอทหารตั้งใจรักษาอาการ ห้ามเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ตนเองถึงลุกจากมา พลิกกายขึ้นม้าตรงออกไปทางประตูเมืองทิศตะวันตก
หลังข้ามกำแพงห้องปลดทุกข์ของจวนเจ้าเมือง เฉินรุ่ยก็ฉวยจังหวะชุลมุนแฝงตัวหลบหนีออกจากประตูเมืองทิศตะวันตกในทันที ยังคงมองเห็นเบื้องหลังปรากฏคบไฟเป็นแต้มๆ เห็นเป็นเงาร่างของทหารฝ่ายเว่ยเซ่าส่ายไหว รู้ว่าคนเหล่านั้นยังค้นหาตนอยู่ เฉินรุ่ยตระหนกลนลานดุจสุนัขไร้บ้าน หนีหัวซุกหัวซุนมาได้ระยะหนึ่งก็เห็นทุ่งร้างที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้หนาม เขาไม่พะวงหนามแหลมทิ่มแทงแต่อย่างใด มุดเข้าไปซ่อนกายโดยไม่รีรอ คิดว่าหลบพ้นการตามล่าระลอกนี้แล้วค่อยหาทางหนีตอนฟ้าสางอีกที ไม่คาดว่าจะดวงตกถึงขีดสุด ดันไปรบกวนแมวป่าที่สร้างรังอยู่ในพุ่มไม้หนามเข้าเสียได้ ครอบครัวแมวป่าแตกฮือไปทั่วทิศ ส่งเสียงชักนำให้กลุ่มทหารใช้ทวนยาวแทงสุ่มใส่พุ่มไม้หนาม แรกเริ่มเฉินรุ่ยยังอดกลั้นได้ นึกไม่ถึงว่าทหารนายหนึ่งกลับแทงทวนถูกก้นของเขาเข้าอย่างจัง เขาร้องโอ๊ยพร้อมพุ่งปราดออกมาซัดทหารผู้นั้นล้มคว่ำ ชิงม้าตัวหนึ่งขึ้นขี่เตลิดหนีไปทางทิศตะวันตก
เขาควบตะบึงม้าอย่างไม่คิดชีวิตอยู่พักใหญ่ ในที่สุดพวกทหารที่ไล่หลังมาก็ค่อยๆ ถูกสลัดห่างจนไกลลิบ เขาระบายลมหายใจอย่างโล่งอก เห็นม้าที่อยู่ใต้ร่างเริ่มหอบหนัก ฝีเท้าก็ผ่อนช้าลง คาดว่าคงเหนื่อยล้าแล้ว เขาเกรงว่าม้าจะวิ่งจนขาดใจ หากเป็นเช่นนั้นตนก็เท่ากับเสียขา อีกทั้งตนก็อ่อนเพลียแล้วจริงๆ จึงลงมานั่งหอบอยู่บนพื้น ทว่ายังหอบไม่ถึงสองทีด้วยซ้ำก็รู้สึกได้ว่าเส้นทางขามาคล้ายมีคนไล่หลังมาอีกแล้ว
ราตรีนี้จันทร์สกาวดาวบางตา ท้องทุ่งสี่ทิศโล่งกว้าง ดังนั้นจึงสามารถแยกแยะได้เลาๆ ว่าคนกลุ่มนี้มีกันอย่างน้อยสิบกว่าคน เหงื่อเย็นพลันแตกพลั่กโซมกายอีกหน เฉินรุ่ยลุกพรวดขึ้นจากพื้น พลิกกายกระโจนขึ้นหลังม้า ควบตะบึงอย่างเอาเป็นเอาตายอีกคำรบ ไม่คาดว่าสุดท้ายกลับหนีเตลิดเปิดเปิงเข้ามาในป่าช้ารกร้างผืนใหญ่ เห็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังตนไล่กระชั้นชิดเข้ามาทุกที กระทั่งสามารถได้ยินเสียงเกือกม้าย่ำไปบนพื้นแล้ว
เฉินรุ่ยรู้ว่ายามนี้เว่ยเซ่าต้องแค้นตนเข้ากระดูก หากตกสู่เงื้อมมืออีกฝ่าย ตนจะต้องตายตกทั้งเป็นแน่ ขืนหนีเช่นนี้ต่อไปคงไม่มีทางรอดพ้นไปได้ เขาจึงแข็งใจลองเดิมพันดูสักตั้ง พลิกกายกลิ้งลงจากหลังม้าพร้อมถีบหนึ่งเท้าใส่สะโพกของมันแรงๆ กระตุ้นให้มันวิ่งต่อไปเบื้องหน้า ส่วนตนเองก็ล้มลุกคลุกคลานแยกเข้ามาในดงสุสาน ปะทะเข้ากับหลุมศพรกร้างหลุมหนึ่ง บริเวณอับแสงเผยให้เห็นโพรงที่มืดสนิทน่าจะพอซ่อนกายได้ เฉินรุ่ยไม่มัวมาถือสามุดเข้าไปทันใด พยายามขดร่างให้เล็กลีบอย่างสุดชีวิต จนซ่อนตัวได้เรียบร้อยก็คว้าหินก้อนหนึ่งมาอุดปากโพรงไว้
เว่ยเซ่านำกำลังคนไล่ล่าออกจากกำแพงเมืองมาหลายสิบลี้ จนกระทั่งผ่านป่าช้าไปได้สักพักก็ไล่ตามม้าตัวนั้นทัน เห็นว่าบนหลังม้านั้นว่างเปล่า เฉินรุ่ยหายไปอย่างไม่รู้ร่องรอย เขาจึงหยุดม้า สั่งการให้ทหารตรวจค้นละแวกใกล้เคียงทว่ากลับไม่พบตัว เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่มีป่าช้ารกร้างอยู่ข้างทางเขาจึงสั่งให้ทหารไปค้นหาต่อ
ทหารทยอยกลับมารายงานว่าตรวจค้นรอบด้านจนทั่วแล้ว แต่ไม่พบเฉินรุ่ยแต่อย่างใด
เว่ยเซ่าตรึกตรองครู่หนึ่ง นึกถึงเหล่าทหารที่เร่งเดินทัพต่อเนื่องกันข้ามวัน ซ้ำต้องบุกเมืองต่อจวบจนกลางดึก ย่อมอ่อนเพลียกันนานแล้ว อีกทั้งเมืองสืออี้ก็เพิ่งยึดมาได้ ในเมืองยังมีงานล้นมือ แม้มีกงซุนหยางนั่งบัญชาการแทน แต่ก็ไม่เหมาะที่ตนจะจากมานานเกินควร เว่ยเซ่าลังเลเล็กน้อย สุดท้ายจึงทอดสายตาไปยังพื้นที่ด้านข้างไม่ไกลนัก มองป่าช้ารกร้างไม่เห็นจุดสิ้นสุดนั้นปราดหนึ่งก่อนออกคำสั่งถอนกำลังกลับเมือง
เฉินรุ่ยซุกตัวอยู่ในโพรงหลุมศพอันมืดมิด กระทั่งเบิกตาเพ่งมองก็ยังไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า เขาไม่กล้ากระดุกกระดิกแม้แต่น้อย ทำเพียงเงี่ยหูสดับฟังความเคลื่อนไหวเบื้องนอก แรกเริ่มเหมือนมีเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ เคราะห์ดีที่อีกฝ่ายผ่านเลยไปโดยไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติในบริเวณจุดอับแสงนี้ เนิ่นนานให้หลังเบื้องนอกไม่มีเสียงอื่นใดอีก เฉินรุ่ยคาดการณ์ว่าพวกเว่ยเซ่าน่าจะจากไปแล้วจึงระบายลมหายใจยาวเหยียดออกมาในที่สุด ตอนนี้จึงค่อยพบว่าอากาศที่สูดเข้ามาในจมูกมีแต่กลิ่นเหม็นเน่า เขาแทบอาเจียนก่อนบ่นงึมงำว่าอัปมงคล ทันทีที่ผลักก้อนหินหมายคลานออกไป ชายเสื้อด้านหลังก็เหมือนถูกคนยื้อยุดไว้แน่น ไม่อาจสลัดได้หลุด
ภาพผีตายอนาถพลันผุดวาบขึ้นเบื้องหน้าสายตาของเฉินรุ่ย แม้ยามปกติเขาฆ่าคนมานับไม่ถ้วน ไม่เคยหวั่นเกรงผีสางเทวดาใด ทว่าในสถานการณ์ยามนี้ ดึกดื่นค่อนคืนซุกร่างอยู่ในโพรงหลุมศพ รอบด้านมืดสนิท ไม่เห็นกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าที่ยื่นออกไป ชายเสื้อด้านหลังยังคงถูกยุดไว้แน่น อีกทั้งคล้ายมีสายลมเย็นเฉียบไล้ผ่านหลังคอในฉับพลัน ต่อให้ปกติเขาเป็นคนขวัญกล้าเพียงใด ยามนี้ก็ยังขนลุกซู่ไปทั้งร่าง หมอบอยู่กับพื้นแล้วก็ไม่กล้าขยับตัวอีก สองตาหลับปี๋ขณะที่ปากวิงวอนไม่หยุด
ผ่านไปครู่หนึ่งเห็นเบื้องหลังคล้ายไม่มีสิ่งผิดปกติอื่นใดแล้ว ในที่สุดจึงปลุกปลอบความกล้าค่อยๆ ยื่นมือคลำไปด้านหลัง ตอนนี้เองถึงคลำพบว่าชายเสื้อถูกไม้หนามที่ขึ้นอยู่ด้านหลังเกี่ยวเอาไว้เท่านั้น เขาออกแรงกระตุกทีเดียวก็หลุดพ้น เฉินรุ่ยรีบใช้ทั้งมือและเท้าตะกายออกจากโพรงมานั่งหอบแฮกอยู่บนพื้น รอจนสติอารมณ์สงบลงเล็กน้อยก็ไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่ต่อ เขาคืบคลานออกมาเหลียวมองรอบทุ่งร้างอันกว้างใหญ่ ในที่สุดก็กล้อมแกล้มจำแนกทิศทางได้ รีบรุดไปสู่ทิศทางของมณฑลปิงโจวทันที
Comments
comments