ทางฝั่งเรือนจ้าวสุ่ยนั้น ครั้นลวี่เอ้อรับเสื้อผ้ามาก็ยัดถุงเหอเปา* ให้มากมาย ก่อนจะส่งพวกแม่นมจางเดินออกไปจากประตูบุปผาคล้อย** อย่างมีมารยาท
ส่วนทางฝั่งเรือนเฟิงเหอ หญิงชราและสาวใช้อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเข้ามาส่งเสื้อผ้าเครื่องประดับที่นี่ฝีเท้าก้าวเดินจะเชื่องช้ากว่า ยามนี้กลับเพิ่งเข้ามาถึงเรือนหลักเท่านั้น
แม่นมหวงซึ่งเป็นผู้รับใช้ดูแลข้างกายฮูหยินท่านโหวย่อกายคารวะ แย้มยิ้มพลางแนะนำเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับให้แก่เสิ่นฮว่า คุณหนูญาติผู้พี่ที่มาขออาศัยอยู่จวนโหว
เสิ่นฮว่ารับฟังพร้อมกับกวาดตามองชุดผ้าแพรปักลายหรูหรา ปิ่นปักผมอัญมณีที่อยู่ในถาด จากนั้นก็ยอบกายคารวะอย่างนุ่มนวล เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ขอบคุณแม่นมหวงที่ลำบากนำมาให้ อาฮว่าขอขอบคุณฮูหยินอย่างยิ่ง” ต่อมาก็ส่งสายตาให้บ่าวรับใช้ประจำกายทันที
บ่าวรับใช้เข้าใจความหมายของนาง จึงเดินก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย ยัดถุงเหอเปาที่มีลายปักวิจิตรประณีตใบหนึ่งให้แก่แม่นมหวง
ถุงเหอเปาลวดลายงดงาม แต่ข้างในกลับมีเงินรางวัลไม่เท่าไร พอเดินออกมาจากเรือนเฟิงเหอแล้ว แม่นมหวงก็จับแขนเสื้อประมาณจำนวนเงินดู
นางมิได้ใส่ใจเงินรางวัลเล็กๆ น้อยๆ นี่ เพียงแต่บังเอิญเจอกับแม่นมจางที่เดินออกมาจากเรือนจ้าวสุ่ยพอดี ซ้ำนางกับแม่นมจางยังไม่ค่อยถูกกันอีกด้วย
“ได้ยินมานานแล้วว่าไปทำงานที่เรือนคุณหนูสี่จะได้รับเงินตกรางวัลอย่างงาม เป็นเรื่องจริงเสียด้วย วันหลังออกไปข้างนอกจะได้ซื้อแป้งประทินโฉมของหอหล่านชุ่ยที่อยากได้เสียที” ด้านหลังแม่นมจาง สาวใช้หน้ากลมที่เพิ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นสาวใช้ขั้นสองและเพิ่งได้เข้าไปที่เรือนจ้าวสุ่ยเป็นครั้งแรกกำลังเอ่ยออกความเห็นกับสหายที่อยู่ข้างๆ
สาวใช้ร่างสูงข้างหลังแม่นมหวงได้ยินก็แค่นเสียงเบาๆ อย่างทนไม่ไหว “ก็แค่ตกรางวัลธรรมดาๆ เท่านั้น ตอนเจ้าไปซื้อแป้งประทินโฉม อย่าบอกว่าเป็นคนของจวนโหวเล่า คนอื่นเขาจะได้ไม่คิดว่าคนจากจวนจิ้งอันโหวล้วนเป็นคนโลกแคบเช่นนี้”
สาวใช้หน้ากลมผู้ที่ได้เลื่อนขั้นจากขั้นสามมาเป็นขั้นสองภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งปีก็มิอาจดูถูกฝีปากของนางได้เช่นกัน นางแสร้งทำเป็นตกอกตกใจ “เงินตกรางวัลถึงเพียงนี้เรียกว่าธรรมดาๆ? เช่นนั้นเงินตกรางวัลที่คุณหนูญาติผู้พี่ให้มาสามารถซื้อแผงขายแป้งประทินโฉมได้ทั้งแผงเลยอย่างนั้นหรือ”
“เจ้า!”
“พอได้แล้ว อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับนางเลย” มีคนดึงตัวสาวใช้ร่างสูงเอาไว้ “พวกเราต่างก็เป็นคนของเรือนฮูหยินเหมือนๆ กัน ออกมาทำงานข้างนอกขอแค่ให้เสร็จสิ้นราบรื่นเป็นพอ เรื่องอื่นมีอันใดสำคัญไปกว่านั้นอีก”
สาวใช้ร่างสูงถูกโน้มน้าวจนลดโทสะลงไปเล็กน้อย ครั้นแล้วนางก็นึกคล้อยตามคำพูดนี้ไปถึงเรื่องสำคัญ นางเลิกโมโหแล้วกลับมายิ้มแย้มแทน “ใช่แล้ว ทำงานก็ขอแค่ให้ราบรื่นเป็นพอ ทั่วทั้งจวนนี้เกรงว่าคงจะไม่มีงานที่ใดราบรื่นกว่าที่เรือนของคุณหนูญาติผู้พี่อีกแล้ว”
นางมิได้พูดถึงความยุ่งยากมากเรื่องของการทำงานที่เรือนคุณหนูสี่ออกมา สาวใช้หน้ากลมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และไม่ส่งเสียงขานตอบเช่นกัน
สาวใช้ร่างสูงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ว่าไปแล้วก็หาได้ยากยิ่ง คุณหนูญาติผู้พี่งดงามอ่อนโยน ฉลาดปราดเปรื่อง ซ้ำยังดีต่อบ่าวรับใช้ปานนี้อีก”
“ข้าว่าที่หาได้ยากยิ่งกว่าคือนางมีพี่ชายดีๆ คนหนึ่ง” สาวใช้อีกคนที่อยู่ด้านหลังแม่นมหวงเอ่ยแทรกขึ้น
สาวใช้ร่างสูงเอ่ยสำทับ “ใช่แล้ว มีแม่ทัพน้อยเสิ่นอยู่ อนาคตของคุณหนูญาติผู้พี่ไม่มีทางย่ำแย่แน่นอน”
สาวใช้หน้ากลมยิ้มออกมา “พี่สาวทั้งสองห่วงใยนางถึงเพียงนี้ แต่ฮูหยินกับคุณหนูสี่ต่างหากที่เป็นเจ้านายที่แท้จริงของพวกเรา อนาคตของคุณหนูญาติผู้พี่จะเป็นอย่างไร นั่นก็เป็นโชคชะตาของคุณหนูญาติผู้พี่ ไม่เกี่ยวอันใดกับพี่สาวทั้งสองเสียหน่อย”
สาวใช้ร่างสูงปากไวเหน็บแนมกลับไปโดยมิได้ยั้งคิด “คุณหนูญาติผู้พี่อาศัยอยู่ที่จวนโหว ถ้ามีอนาคตดีจวนโหวก็มีหน้ามีตาไปด้วย จะไม่ให้ห่วงใยได้อย่างไร ไม่แน่วันนี้ผ่านพ้นไป ผู้อื่นอาจจะติดปีกโผทะยานย้ายไปอยู่ที่ถนนชางอวี้ก็เป็นได้”
ทันใดนั้นราวกับมีลมหนาวยะเยือกพัดเข้ามาที่เฉลียงทางเดิน ทางเดินตรงสวนดอกไม้ฝั่งตะวันออกที่เมื่อครู่นี้ยังมีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวกลับเงียบสงัดลงในบัดดล…
ในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าบนถนนชางอวี้มีจวนอยู่เพียงหลังเดียว
ผู้ที่อาศัยอยู่ในจวนหลังนั้นไม่ใช่ว่าใครในแคว้นต้าเสี่ยนจะพูดถึงก็ได้
แม่นมทั้งสองซึ่งทีแรกทำเป็นไม่ได้ยินการปะทะฝีปากเหล่านี้ต่างก็ชะงักฝีเท้าลงอย่างฉับพลัน จากนั้นหันกลับมากล่าวตำหนิเสียงเฉียบ “พูดจาส่งเดชอันใด! ท่านที่ถนนชางอวี้ผู้นั้นพวกเจ้าเอามาพูดเล่นได้หรือ กล้าดีอย่างไรถึงพูดจาเลื่อนเปื้อน!”
เหล่าสาวใช้ตกใจเสียขวัญ พอรู้ว่าตนเองพูดผิดไป แต่ละคนต่างก็กลั้นหายใจ ศีรษะก้มต่ำจนแทบจะถึงปลายเท้า สาวใช้ที่เอ่ยถึงถนนชางอวี้เมื่อครู่นี้ยิ่งตกใจจนหน้าซีดเผือด ถาดไม้จันทน์ในมือสั่นจนโอนเอนโงนเงน