กระวานน้อยแรกรัก
ทดลองอ่าน กระวานน้อยแรกรัก บทที่ 2
บทที่ 2
อารมณ์ดีๆ อันมาจากการชื่นชมรูปโฉมอันงามงดเฉิดฉันของหมิงถานยังคงอยู่ต่อไปจนกระทั่งออกจากจวนเดินทางเข้าวังหลวง
นอกประตูชั้นสอง รถม้าถูกเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ยามหมิงถานประคองเตาอุ่นมือปรากฏตัวขึ้นอย่างนวยนาด เผยซื่อ** ฮูหยินท่านโหวกับเสิ่นฮว่าคุณหนูญาติผู้พี่ก็ได้นั่งตัวตรงรออยู่ในรถม้าก่อนแล้ว
ครั้นเห็นหมิงถานปลดชุดคลุมออก ก้มศีรษะมุดตัวเข้าไปในรถม้า ในดวงตาของเผยซื่อปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ “อาถาน รีบขึ้นมาสิ”
เมื่อหมิงถานนั่งมั่นคงดีแล้ว เผยซื่อก็เอ่ยเป็นห่วงเป็นใยขึ้นอีกคราด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไฉนถึงถอดชุดคลุมออกเล่า วันนี้อากาศหนาวเย็น ระวังจะจับไข้เอา”
“ในรถม้าอบอุ่น หากไม่ถอดตอนนี้ ประเดี๋ยวตัวเปียกเหงื่อลงจากรถม้าคงจะหนาวแย่” หมิงถานยิ้มตาหยี กุมมือของเผยซื่อกลับอย่างเฉลียวฉลาด “ปล่อยให้ท่านแม่ต้องรอนาน เป็นความผิดของข้าเองเจ้าค่ะ”
เผยซื่อถลึงตาใส่นางเบาๆ แวบหนึ่ง “ผิดไม่ผิดอันใดกัน วันนี้เป็นวันเทศกาลซั่งหยวน อย่าเอ่ยคำพูดเช่นนี้สิ!”
“เจ้าค่ะ ลูกรู้ตัวว่าผิดแล้ว…” หมิงถานอิงแอบในอ้อมอกของเผยซื่อ ซ้ำยังลากเสียงยาวเป็นการออดอ้อน
เผยซื่อจิ้มหน้าผากบุตรสาวด้วยความระอาใจ “เจ้านี่นะ ทะเล้นจนเคยตัว!”
เสิ่นฮว่าซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นภาพเหตุการณ์ฉากนี้เข้า จึงปิดปากพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “ท่านป้าสะใภ้กับญาติผู้น้องสองแม่ลูกรักใคร่ลึกซึ้ง ทำให้อาฮว่าอิจฉาตาร้อนจริงๆ”
เผยซื่อมองอาฮว่ายิ้มๆ แวบหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
นับแต่โบราณกาลมา การแต่งเข้ามาเป็นภรรยาใหม่นั้นยากลำบาก หมิงถานเป็นบุตรสาวในภรรยาเอกจากฮูหยินคนก่อน เบื้องหลังยังมีบ้านมารดาที่ทรงอำนาจคอยหนุน สองสามปีแรกที่เผยซื่อเพิ่งจะแต่งเข้าจวนโหวนั้น ด้วยเกรงว่าผู้อื่นจะกล่าวหาว่านาง ‘ใจร้ายใจดำต่อเด็กสาวกำพร้า’ นางจึงดูแลเอาใจใส่หมิงถานอย่างพิถีพิถันยิ่งกว่าท่านโหวสามีของตนเองเสียอีก
หลายปีที่ผ่านมานางมิได้ให้กำเนิดบุตรธิดา เดิมทียังกังวลว่าตำแหน่งนายหญิงแห่งจวนโหวจะไม่มั่นคง แต่เพราะนางกับหมิงถานมีความสัมพันธ์สนิทสนมแน่นแฟ้น ได้รับคำชมว่า ‘จิตใจดีงามเปี่ยมเมตตา’ จากบรรดาฮูหยินสูงศักดิ์ในเมืองหลวง นางจึงอยู่ในตำแหน่งนายหญิงแห่งจวนโหวนี้ได้อย่างมั่นคงไม่สั่นคลอน
ด้วยเหตุผลนี้กอปรกับตัวเผยซื่อเองก็มีชื่อเสียงค่อนข้างดีงามอยู่เป็นทุนเดิม คนที่ตั้งใจสังเกตดูเสียหน่อยก็จะรู้ว่าไม่ว่าจะชื่นชมนางอย่างไรก็ไม่ทำให้นางชอบใจเท่าชมว่านางกับหมิงถานรักใคร่สนิทสนมลึกซึ้ง
ยามนี้ในใจเผยซื่อถูกชื่นชมเยินยอจนรู้สึกสุขอุรายิ่งนัก เพียงแต่หมิงถานกลับอารมณ์ดิ่งลงฉับพลันเพราะเสิ่นฮว่าเอ่ยปากขึ้น…
ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด ตลอดครึ่งปีที่เสิ่นฮว่ามาอาศัยอยู่ที่จวนโหว แม้ฉากหน้าหมิงถานกับนางจะอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบ ทว่าเบื้องหลังกลับคอยปะทะกันอยู่เนืองๆ
คราวนี้พอได้ยินสุ้มเสียงนุ่มละมุนของเสิ่นฮว่า หมิงถานก็นึกถึงการหมั้นหมายที่เลวร้ายของตน รวมถึงคำพูดที่พวกสาวใช้ซุบซิบนินทากันภายในจวนขึ้นมาไม่หยุด
คำนินทาเหล่านั้นเล่าลือกันไปอย่างเกินจริง แต่นางก็ไม่กล้ามั่นใจว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลยแม้เพียงเศษเสี้ยว
เพราะอย่างไรท่านที่อยู่ตรงถนนชางอวี้ผู้นั้นก็ยกทัพจับศึกอยู่ข้างนอกมานานปี คงจะไม่เคยเห็นหญิงงามมากมายนัก มิหนำซ้ำพวกนักรบที่ไม่รู้หนังสือหนังหาเช่นนี้มักจะชอบเอาตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนมีวิชาความรู้ อยากจะรับสตรีมากความสามารถเป็นภรรยาให้เต็มจวนเพื่อพิสูจน์ให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองมิใช่คนกักขฬะ…บิดาของนางก็คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เขาไปปฏิบัติหน้าที่ต่างเมืองก็ยังไม่ลืมพาหลิ่วอี๋เหนียง* ไปขับขานโคลงกลอนเคียงคู่ด้วย
ถ้าหากเสิ่นฮว่าได้ไปอยู่ที่ถนนชางอวี้ ยกระดับฐานะจนสูงส่ง ส่วนงานแต่งงานของนางกลับต้องพังทลายไม่เป็นท่าเพราะถูกคู่หมั้นหักหลัง เช่นนั้นคุณหนูสี่สกุลหมิงอย่างนางจะไม่กลายเป็นเรื่องน่าตลกขบขันที่สุดของเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ
ตอนนี้ยังไม่ทันไรสาวใช้ชั้นล่างพวกนั้นก็ปั้นเรื่องเสริมแต่งกันเองเช่นนี้แล้ว ถ้าเรื่องนี้กลายเป็นจริงขึ้นมา หากนางไม่โกนผมออกบวชเป็นชี น่ากลัวว่าในเมืองหลวงแห่งนี้คงจะไม่มีที่ยืนให้อาถานแห่งสกุลหมิงอย่างนางแล้ว!
เสียงรถม้าเคลื่อนดังอื้ออึงอยู่ข้างหู หมิงถานยิ่งคิดก็ยิ่งฉุนเฉียว ในอกยังถึงกับอึดอัดกลัดกลุ้ม ยามรถม้าหยุด ‘กึก’ ลงตรงนอกประตูฉี่เซวียน นางก็ยังคงจมดิ่งอยู่กับอารมณ์หงุดหงิดใจอย่างยากจะถอนตัวออกมาได้
ยามสตรีในครอบครัวของเหล่าขุนนางเดินทางเข้าวัง รถม้าและบ่าวรับใช้ล้วนไม่สามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ เผยซื่อยื่นแสดงป้ายนายหญิงตราตั้ง* ต่อมาหมัวมัว** ในวังก็จะตรวจสอบว่ามีการพกพาอาวุธหรือไม่ ถึงค่อยให้ขันทีนำทางพวกนางเดินไปยังอุทยานยงหยวนซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงในวันนี้
นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นต้าเสี่ยนเป็นต้นมา นอกจากการคัดเลือกสนมชายาแล้ว น้อยครั้งยิ่งที่สตรีซึ่งไม่มีบรรดาศักดิ์นายหญิงตราตั้งจะได้เข้าวัง ยิ่งถือว่าเป็นครั้งแรกด้วยที่มีการจัดงานเลี้ยงเชิญคนมาร่วมอย่างกว้างขวางมากมายเช่นนี้
วังหลวงซึ่งมีกำแพงสีแดงปกคลุมด้วยหิมะดูโอ่อ่าน่าเกรงขาม ทุกก้าวที่ย่างออกไป ความน่ายำเกรงก็ยิ่งดูเหมือนจะหนักอึ้งขึ้นหนึ่งส่วน ชวนให้คนแทบจะหายใจลำบาก ทำให้เส้นทางมุ่งหน้าไปยังอุทยานยงหยวนเงียบสงัดยิ่ง ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดทั้งสิ้น มีเพียงเสียงดังสวบสาบเบาๆ จากยามรองเท้าเดินย่ำลงบนหิมะบางๆ เท่านั้น
ทุกคนตั้งอกตั้งใจเดินตรงไปข้างหน้า จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าในห้องอุ่น** ซึ่งอยู่บนที่สูงใกล้ๆ กันมีหน้าต่างเปิดไว้บานหนึ่ง…