บทที่ 3
ระหว่างทางมุ่งหน้าไปหอทิงอวี่ ไป๋หมินหมิ่นชื่นชมว่าไฉนเผยซื่อถึงได้วางตัวดีเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง ต่อมาก็บ่นอิดออดว่าหลังจากพี่สะใภ้คนใหม่มาช่วยดูแลเรื่องต่างๆ ในจวนก็ได้กำหนดกฎระเบียบยิบย่อยมากมาย แล้วก็บ่นว่าชีวิตของนางยากลำบากเพียงใด
หมิงถานเอาแต่คิดอยากจะสืบถามเรื่องสำคัญจากไป๋หมินหมิ่น ทว่าในวันเทศกาลซั่งหยวนนี้ บนถนนหนทางมีรถม้าขวักไขว่จอแจ เสียงดังเอะอะมะเทิ่งยิ่ง ไม่สะดวกจะพูดคุยสักเท่าไร นางจึงจำต้องอดทนข่มกลั้นเอาไว้ รอให้ถึงหอทิงอวี่แล้วค่อยสอบถามอย่างละเอียด
หอทิงอวี่เป็นโรงน้ำชาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง น้ำชาอาหารว่างเอร็ดอร่อย ทัศนียภาพริมน้ำยิ่งเป็นเลิศ
ทุกคราเมื่อล่วงเข้าปลายสารทต้นวสันต์ ยามสายฝนพร่างพรมโปรยปราย บนลำน้ำมีหมอกปกคลุมบางๆ ผิวน้ำกว้างไกลสุดสายตา เมื่อได้เอนร่างพิงราวรั้วฟังเสียงฝนพรำ นับเป็นภาพทิวทัศน์ที่ได้รับความนิยมชมชอบจากเหล่าบัณฑิตปัญญาชนในเมืองหลวงเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้นในเทศกาลซั่งหยวนของแต่ละปีเรือหลวงจะจุดดอกไม้ไฟเหนือแม่น้ำเสี่ยนเจียง สองฝั่งริมแม่น้ำเสี่ยนเจียงเองก็สว่างไสวเจิดจ้าไปด้วยโคมไฟนานาชนิดราวกับมีการเชิดโคมไฟมัจฉามังกรแหวกว่ายเริงระบำตลอดทั้งราตรี
หอทิงอวี่อยู่ในตำแหน่งดีเลิศ เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการนั่งชมความยิ่งใหญ่อลังการของดอกไม้ไฟอันสวยสดโชติช่วง ต่อให้เป็นผู้สูงศักดิ์หรือขุนนางคนใดก็ต้องจองล่วงหน้าหลายเดือนถึงจะมีหวังได้ห้องพิเศษริมน้ำในคืนเทศกาลซั่งหยวนนี้
ห้องพิเศษที่ไป๋หมินหมิ่นจองไว้อยู่บนชั้นสาม พื้นที่ไม่ได้กว้างใหญ่มาก แต่กลับประดับประดาตกแต่งได้อย่างประณีตงดงาม ตำแหน่งในการชมทิวทัศน์ก็ถือว่าดีเยี่ยม แต่ถ้าจะพูดถึงตำแหน่งที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นห้องอุ่นที่อยู่ตรงกลางข้างๆ ห้องของพวกนาง
ยามเด็กรับใช้นำทางไป๋หมินหมิ่นกับหมิงถานเดินขึ้นมาชั้นบน ภายในห้องอุ่นที่อยู่ตรงกลางนั้นได้มีคนสี่คนนั่งล้อมรอบโต๊ะ กำลังดื่มสุราพลางสนทนาสัพเพเหระอยู่ก่อนแล้ว
บุรุษที่นั่งอยู่ใกล้ประตูแต่งตัวงดงามหรูหรา ทั่วทั้งร่างล้วนมิใช่ของธรรมดาสามัญ แน่นอนว่าสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดก็คือหยกขาวมันแพะ* ที่สลักคำว่า ‘จาง’ ซึ่งอยู่ตรงข้างเอวของเขาชิ้นนั้น
‘จาง’ คือแซ่ตระกูลเดิมของฮองเฮา คนที่พอจะรู้เรื่องของตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงต่างก็รู้ดีว่าผู้ที่ครอบครองหยกชิ้นนี้มีเพียงแต่ ‘จางไหวอวี้’ น้องชายร่วมอุทรของฮองเฮาองค์ปัจจุบันเท่านั้น
ยามนี้จางไหวอวี้นั่งอยู่ข้างโต๊ะด้วยท่าทางสบายๆ มือจับจอกสุราเล่นพลางเอียงกายเข้าไปหาบุรุษชุดดำที่อยู่ข้างๆ พร้อมกับเอ่ยเย้าเล่นว่า “ท่านอ๋อง เรื่องวุ่นวายที่งานเลี้ยงในตำหนักฉางหมิงคราวนี้มิใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะ ท่านทำร้ายน้ำใจของคุณหนูเขา ได้ยินว่านางร้องไห้สะอึกสะอื้นไปตลอดทางที่ออกจากวังเชียว”
บุรุษชุดดำไม่แม้แต่จะเปิดเปลือกตาขึ้น แต่กลับเป็นลู่ถิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำลึก “บุตรสาวของกู้จิ้นจง?”
‘กู้จิ้นจง’ ก็คือนามของเฉิงเอินโหว
จางไหวอวี้เลิกคิ้ว พยักหน้าเล็กน้อย
นัยน์ตาของลู่ถิงปรากฏแววดุดันผ่านวูบหนึ่ง “ประเดี๋ยวยังมีเรื่องให้นางต้องร้องไห้สะอึกสะอื้นอีก” ครั้นแล้วก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดทันที
เมื่อเทียบกับการแต่งตัวฉูดฉาดหรูหราของจางไหวอวี้และกระไอดุดันที่แผ่ซ่านของลู่ถิงแล้ว ซูจิ่งหรานในชุดผ้าดิ้นปักลายเมฆาสีขาวนวลกลับดูมีความสุภาพภูมิฐานราวกับชายหนุ่มรูปงามผู้สูงส่งท่ามกลางโลกหล้าอันโกลาหลวุ่นวายมากกว่า
ซูจิ่งหรานหมุนแหวนน้าว** ในมือไปมา ต่อมาก็ส่ายศีรษะพลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “จริงๆ แล้วการฉีกหน้าผู้อื่นเป็นเรื่องเล็ก เพียงแต่พฤติกรรมเช่นนี้ เกรงว่าไม่ถึงวันพรุ่งนี้ข่าวลือที่ว่าติ้งเป่ยอ๋องโอหังวางโตไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาคงจะแพร่กระจายไปทั่วทุกซอกตรอกให้ทุกคนล่วงรู้กันหมด พอถึงตอนนั้นหากอยากจะหาคู่ครองดีๆ ขึ้นมา เกรงว่าคุณหนูในเมืองหลวงคง…”
วาจานี้ยังไม่ทันสิ้น ด้านนอกก็มีเสียง ‘แอ๊ด’ ดังขึ้นเบาๆ เสียงแว่วๆ ของเด็กรับใช้ก็ดังตามขึ้นมาเช่นกันว่า “คุณหนูทั้งสองท่าน เชิญด้านในขอรับ”
ดูเหมือนจะมีคนเข้ามาที่ห้องพิเศษข้างๆ ซูจิ่งหรานหยุดคำพูด คนอื่นๆ เองก็นิ่งเงียบไม่ส่งเสียงออกมาอีกอย่างรู้กัน