“พรืด…แค่กๆ!” พอฟังมาถึงตรงนี้จางไหวอวี้ก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ พ่นสุราออกจากปาก มิหนำซ้ำยังสำลักจนไอออกมา
แต่เขายังไม่ทันได้พักหายใจหายคอ ภาพตรงหน้าก็พลันไหววูบ หลังจากนั้นก็รู้สึกชาวาบตรงคอขึ้นมา ลำคอติดขัด อยากจะอ้าปากพูดแต่กลับไม่มีเสียงใดเปล่งออกมา
จุดใบ้!
แม้ว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่จะเป็นวรยุทธ์กันทั้งสิ้น แต่ผู้ที่สามารถลงมือได้อย่างแนบเนียนเช่นนี้ นอกจากเทพสงครามผู้ทำให้ชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือเพียงได้ยินชื่อก็อกสั่นขวัญหายซึ่งอยู่ข้างๆ เขา…ติ้งเป่ยอ๋องเจียงซวี่แล้ว ก็ไม่มีความเป็นไปได้อื่นอีก
จางไหวอวี้เบิกตาถลน หยิบพัดจีบขึ้นมาชี้ใส่เจียงซวี่ สีหน้าเต็มไปด้วยอาการตัดพ้อต่อว่า
เจียงซวี่กลับไม่หลบไม่หลีก เพียงแค่เปิดเปลือกตาขึ้น จ้องมองเขาอย่างเงียบๆ เท่านั้น
ในดวงตาคู่นั้นราวกับเป็นน้ำลึก ไร้ระลอกคลื่น ดำสนิทและเย็นเยียบ จางไหวอวี้เองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงได้รู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างไม่มีสาเหตุ เพียงชั่วพริบตาต่อมาจึงวางพัดจีบลงอย่างขลาดๆ
โคมไฟริมสองฝั่งแม่น้ำนอกหน้าต่างส่องสะท้อนลงบนผิวแม่น้ำ ประกายคลื่นแวววาวระยิบระยับ ห้องอุ่นกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง มีเพียงพู่ระย้าบนพัดจีบที่อยู่บนโต๊ะขยับไหวเบาๆ ผ่านแสงเทียน
“หมินหมิ่น เมื่อครู่เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่” หมิงถานถามขึ้นอย่างเคลือบแคลงสงสัย
“เสียง? เสียงอะไรหรือ” ไป๋หมินหมิ่นมีสีหน้างงงวย
หมิงถานกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วส่ายศีรษะพลางเอ่ย “เหมือนจะมีคนไอ ข้าคงจะฟังผิดไป”
จริงๆ แล้วหอทิงอวี่ถือว่าให้ความสำคัญกับการกั้นเสียงยิ่ง แต่เพราะห้องอุ่นข้างๆ มีแต่ผู้ฝึกวรยุทธ์ จึงย่อมได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากข้างนอกได้ทั้งหมด หากมิใช่เพราะคืนนี้เปิดหน้าต่างชมทิวทัศน์ ด้วยความสามารถในการได้ยินของหมิงถานแล้ว คงจะไม่ได้ยินเสียงแม้แต่นิดเดียว
อาจเป็นเพราะในใจเกิดความหวาดระแวง แล้วก็อาจเพราะได้พูดเรื่องสำคัญไปหมดแล้ว บทสนทนาที่ทั้งสองพูดคุยกันหลังจากนั้นจึงมีแต่หัวข้อทั่วไปของเหล่าหญิงสาว ไม่มีเรื่องอันใดสลักสำคัญ
ยามซวี* ตรง เรือหลวงลอยหยุดอยู่กลางแม่น้ำเสี่ยนเจียงเพื่อเตรียมจุดดอกไม้ไฟ
ไป๋หมินหมิ่นเฝ้ารอตรงริมหน้าต่างอยู่นานแล้ว หมิงถานเองก็ปลดเปลื้องความสงบเสงี่ยมภูมิฐานที่ต้องคอยระมัดระวังอยู่ตลอดเวลายามอยู่ข้างนอกลง นางยกชายกระโปรงย่ำขึ้นไปบนขั้นบันไดเล็กๆ ริมหน้าต่าง มือทั้งสองข้างเกาะขอบหน้าต่างไว้ ยื่นศีรษะออกไปข้างนอกอย่างอดไม่อยู่
คืนเทศกาลซั่งหยวนของเมืองหลวงมักจะคึกคักครื้นเครงสว่างรุ่งโรจน์โชติช่วง เหมือนอย่างคำโบราณว่า ‘ศาสตร์พิลึกกลอัศจรรย์ ละครร้องรำหลายหลาก มากมายละลานตา’
ริมสองฝั่งของแม่น้ำเสี่ยนเจียง โคมไฟจุดสว่างไสวตลอดทั้งราตรี ราษฎรจับกลุ่มรวมตัวกันรอดูดอกไม้ไฟ ตรงท่าน้ำยังมีโคมน้ำขอพรลอยออกมาดวงแล้วดวงเล่า เมื่อทอดมองออกไปจากที่ไกลๆ ช่างเป็นภาพที่คึกคักมีสีสันยิ่ง