หมิงถานกำลังครุ่นคิดอย่างใจลอย ไป๋หมินหมิ่นก็เอ่ยด้วยความตื่นตะลึงขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่ได้ดูผิดจริงๆ ด้วย อาถาน เจ้าดูสิ นั่นรองผู้บัญชาการลู่มิใช่หรือ รองผู้บัญชาการลู่อยู่ที่นี่ คนที่มากับเขาต้องเป็นคุณชายรองสกุลซูแน่ๆ!”
หมิงถานหันมองไปตามสายตาของไป๋หมินหมิ่น บุรุษที่พกกระบี่ตรงหน้ารูปร่างสูงใหญ่ มีรอยแผลเป็นที่ไม่ลึกไม่ตื้นจากหน้าผากด้านซ้ายไปจนถึงหางตา คนผู้นี้ก็คือลู่ถิง รองผู้บัญชาการทหารองครักษ์หลวงที่ขึ้นชื่อในเรื่องความโหดเหี้ยมดุดัน
ลู่ถิง ซูจิ่งหรานและจางไหวอวี้ทั้งสามคนเป็นสหายรักกัน ทุกคนต่างก็รู้กันทั่ว หมิงถานยังไม่ทันเห็นซูจิ่งหรานที่มากับลู่ถิงชัดเต็มตา ไป๋หมินหมิ่นก็ลากนางเดินมุ่งหน้าออกไปตามหาคนอย่างอดใจรอไม่ไหว
“เอ๋…คุณหนู!” บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังเพิ่งรู้สึกตัว จึงรีบเร่งไล่ตามไป
หญิงสาวทั้งสองฝีเท้ารวดเร็วยิ่ง ทว่าบนถนนผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาแน่นขนัด ครั้นพวกนางคลาดสายตาไปเพียงแวบเดียว คนที่เดิมทียังอยู่ตรงนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อไม่ได้เห็นชายหนุ่มรูปงามในระยะประชิด ไป๋หมินหมิ่นก็รู้สึกเสียดายนิดๆ อย่างอดไม่ได้ แต่เพราะนางเป็นคนชอบเล่นสนุกสนาน เพียงไม่นานก็ถูกร้านค้าแผงลอยต่างๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำดึงดูดความสนใจไป
ประเดี๋ยวก็ซื้อขนมเข่ง ประเดี๋ยวก็ซื้อเกาลัดคั่ว สิ่งของที่ซื้อมาก็หิ้วพะรุงพะรังอยู่ในมือ ยังทำท่าจะเลิกผ้าปิดหน้า ทั้งหมิงถานยังยัดอาหารที่ซื้อมาใส่ปากนางอีกด้วย
แต่ไหนแต่ไรมาหมิงถานก็พิถีพิถันในเรื่องอาหารการกินและการแต่งกายยิ่งยวด ขนมข้างทางเหล่านี้นางไม่กล้ากลืนลงท้องจริงๆ เจ้ายัดข้าก็หลบ ทั้งสองหัวเราะเล่นกันอย่างสนุกสนาน ครื้นเครงรื่นเริงเป็นอย่างมาก
“เป็นอย่างไรบ้าง ถนนริมน้ำหนานอวี้สนุกกว่าอารามหลวงต้าเซี่ยงกั๋วอันใดนั่นอีกใช่หรือไม่เล่า” หลังจากลอยโคมน้ำเสร็จ ไป๋หมินหมิ่นก็เรียกขอความดีความชอบจากหมิงถานอย่างลำพองใจ
ขณะที่หมิงถานกำลังจะส่งเสียงตอบ ทันใดนั้นก็มีคนโบกพัดจีบอยู่ด้านหน้า ตะโกนร้องเรียก “น้องถาน!”
หมิงถานนึกว่าตนเองหูแว่วไปชั่วขณะ
ทว่าคนผู้นั้นกลับเดินตรงมาหาอย่างรวดเร็ว ใช้การเคลื่อนไหวพิสูจน์ว่านางมิได้หูแว่วไปเอง
“น้องถาน ส่วนผู้นี้คือ…น้องหมิ่น?”
ผู้มาใหม่รูปโฉมหล่อเหลางดงาม สวมใส่ชุดคลุมผ้าแพรสีขาวหยกซึ่งปักเย็บลวดลายอย่างงดงามประณีต เกล้าผมด้วยมาลาทองคำ ท่าทางดั่งคุณชายสูงศักดิ์ทุกประการ
หลังจากไป๋หมินหมิ่นเห็นชัดว่าผู้ที่ร้องเรียกเป็นใครนางก็อยากจะเดินเข้าไปเตะเขาสักครั้งนัก นางเอ่ยอย่างกระฟัดกระเฟียดว่า “ใครน้องเจ้า!”
จวนลิ่งกั๋วกงหมั้นหมายกับจวนจิ้งอันโหว ทว่าไม่ค่อยมีการไปมาหาสู่กับจวนชางกั๋วกงสักเท่าไรนัก ไป๋หมินหมิ่นจึงไม่ยอมรับ เนื่องจากคำว่า ‘น้องหมิ่น’ ออกจะดูสนิทสนมมากเกินไป ผู้มาใหม่ไม่ต่อล้อต่อเถียง รีบโค้งกายประสานมือคารวะ เป็นการแสดงการขออภัยที่เสียมารยาท
ไป๋หมินหมิ่นรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเปิดโปงเรื่องราวให้แตกหักกัน กระนั้นนางก็มิอาจหายโมโหได้ ทั้งยังคิดจะทิ่มแทงผู้มาใหม่ด้วยวาจาสักเล็กน้อย
แต่หมิงถานกลับดึงตัวไป๋หมินหมิ่นไว้ จากนั้นก็พยายามให้ตนเองรักษาท่าทีสงบเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านจำข้าได้อย่างไรกัน”
เขาหัวเราะเบาๆ โบกพัดจีบพลางเอ่ยเสียงละมุน “น้องถานเจิดจรัสดุจไข่มุกเปล่งประกาย แม้จะมีผ้าโปร่งบางปิดคลุมใบหน้าอยู่ก็ไม่อาจบดบังรัศมีได้”
หมิงถานไม่แสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า ทว่าในใจกลับอยากจะตบอีกฝ่ายสักฉาดใหญ่ ให้เขาพูดภาษาคนให้รู้เรื่อง
จะว่าไปก็แปลก ในอดีตนางมองว่าคู่หมั้นอย่างเหลียงจื่อเซวียนผู้นี้ดูนุ่มนวลมีมารยาทมากล้นด้วยความสามารถ แม้บุคลิกจะเป็นรองคุณชายรองสกุลซูอยู่เล็กน้อย แต่ก็เป็นตัวเลือกสามีที่เยี่ยมยอดอย่างหาตัวจับได้ยาก
แต่ตอนนี้พอมาดูอีกครั้ง นางรู้สึกแค่เพียงว่าหลายปีก่อนหน้านี้ดวงตาของตนเองคงถูกเอาไปสับเปลี่ยนกับคนตาบอดเป็นแน่ อากาศหนาวเหน็บปานนี้ยังจะโบกพัดหาอะไรกัน! คำพูดคำจาก็แสนกรุ้มกริ่มไร้มารยาท! ช่างน่าสะอิดสะเอียน! เจ้าคนเสแสร้งจอมปลอม!
อาจเป็นเพราะรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่ผิดปกติของหมิงถาน เหลียงจื่อเซวียนจึงแย้มยิ้มพร้อมกับอธิบายว่า “จริงๆ แล้วเพราะข้าเห็นปิ่นลายดอกเหมยจ้าวสุ่ย* บนศีรษะของน้องถานต่างหาก ดูเหมือนน้องถานจะชื่นชอบปิ่นปักผมอันนี้ยิ่ง”
หมิงถานมิได้เอ่ยคุยตอบ
เหลียงจื่อเซวียนชะงักนิ่งไปเล็กน้อย ครั้นแล้วก็เอ่ยพูดเองเออเองต่อไปเพื่อกลบเกลื่อนความกระอักกระอ่วน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ไม่ว่าวันนี้เขาจะพูดอะไร หมิงถานก็นิ่งเฉยไม่ตอบสนอง คุณหนูสกุลไป๋ผู้นั้นยิ่งใช้สายตาทิ่มแทงเขาเป็นพักๆ
หรือว่าเรื่องนั้น…
ไม่ เป็นไปไม่ได้ เรื่องนั้นเก็บงำเอาไว้อย่างมิดชิดรัดกุมมาตลอด สกุลหมิงกับสกุลไป๋จะล่วงรู้ได้อย่างไร
ถ้าหากรู้เข้า ด้วยนิสัยรักพวกพ้องวงศ์ตระกูล ซ้ำยังเป็นคนหุนหันพลันแล่นของชางกั๋วกง เขาจะยอมอยู่เงียบๆ ไม่มาหาเรื่องที่จวนลิ่งกั๋วกงได้อย่างไร