บทที่ 5
ยามจื่อ** ประตูคุกใต้ดินถูกเปิดออก
เมื่อซูจิ่งหรานออกมาจากศาลต้าหลี่ ในที่สุดก็ได้ระบายลมหายใจขุ่นมัวออกมา อาจเป็นเพราะมีฝนตกเบาๆ ก่อนหน้านี้ เขาจึงรู้สึกว่าอากาศของเมืองหลวงในคืนนี้สะอาดสดชื่นมากเป็นพิเศษ
ทว่าพอซูจิ่งหรานย้อนนึกถึงตอนที่อยู่ในคุกใต้ดินเมื่อครู่นี้ ภาพที่เจียงซวี่แทงตะขอที่เป็นเครื่องมือทรมานนักโทษเกี่ยวเข้าไปในท้องของจางจี๋ตาไม่กะพริบ ซ้ำยังแทงเข้าไปข้างในทีละชุ่นๆ หมุนคว้านต่ออีก เขาก็คิดว่าคืนนี้คงจะต้องนอนฝันร้ายติดๆ กันเป็นแน่
แต่จะว่าไปแล้วติ้งเป่ยอ๋องก็โหดเหี้ยมอำมหิตเป็นที่เลื่องลืออยู่แล้ว เมื่อก่อนรองเจ้ากรมอากรทุจริตเสบียงกองทัพจนทำให้เสียโอกาสในการศึก พอเขาที่ตัวโชกเลือดกลับมาจากสนามรบ กลับไม่เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เฉิงคัง เรื่องแรกที่ทำก็คือไปเด็ดศีรษะของขุนนางคดโกงทันที
ฮูหยินของรองเจ้ากรมอากรรู้ดีว่าหมดโอกาสจะรอดชีวิต เพื่อปกป้องบุตรสาวผู้เลอโฉมทั้งสองให้แคล้วคลาดปลอดภัย จึงให้บุตรสาวฝาแฝดขอลดสถานะเป็นทาส ยินดีรับใช้ปรนนิบัติข้างกายติ้งเป่ยอ๋อง
รูปโฉมงามล่มบ้านล่มเมืองเช่นนั้น โดยทั่วไปหากเป็นบุรุษก็คงจะหวั่นไหวอย่างแน่นอน อีกทั้งการปกป้องสตรีเพียงแค่สองคน สำหรับเขาถือว่าเป็นเรื่องที่แค่กระดิกนิ้วก็ทำได้แล้ว แต่เขากลับไม่ไหวหวั่นสั่นคลอน ยังคงลงโทษยึดทรัพย์สินตามกฎหมาย ประหารตัดศีรษะทั้งตระกูล ไม่เหลือไว้แม้แต่คนเดียว
ดังนั้นซูจิ่งหรานจึงรู้สึกแปลกใจ “ตอนอยู่ที่ริมแม่น้ำก่อนหน้านี้ เหตุใดท่านถึงยื่นมือช่วยเหลือคุณหนูสกุลหมิง ซ้ำยังให้องครักษ์ลับส่งตัวกลับไปที่จวนโหวอีก เวทนาถนอมสาวงามเช่นนี้…ไม่เหมือนเป็นเรื่องที่เจียงฉี่จือจะทำเลย”
เขาหลงคิดว่าเจียงซวี่กลับเมืองหลวงมาคราวนี้นิสัยจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม นึกมีใจสงสารเวทนาผู้อื่นขึ้นมา แต่พอออกมาจากคุกใต้ดิน เขาถึงได้รู้ว่าตนเองคิดมากไปเอง
ซูจิ่งหรานย้อนนึกถึงเรื่องลับที่เผลอไปได้ยินตอนอยู่ที่หอทิงอวี่ จึงยิ้มออกมาอีกครา “หรือว่าท่านเกิดรักแรกพบกับคุณหนูสกุลหมิงผู้นั้นเข้า”
เจียงซวี่หลุบนัยน์ตาลง ขยับริมฝีปากเล็กน้อย เช็ดคราบเลือดบนมืออย่างเนิบช้าพลางเอ่ยตอบอย่างไม่รีบไม่ร้อน “สมกับเป็นคุณชายรองสกุลซูผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง ช่างอ่อนโยนเอาใจใส่จริงๆ”
ในที่สุดเทศกาลซั่งหยวนในรัชศกเฉิงคังปีที่ห้าก็ผ่านพ้นไปอย่างน่าหวาดเสียวท่ามกลางความครึกครื้นรื่นเริง บรรยากาศปีใหม่เองก็ค่อยๆ เลือนจางหายไปพร้อมๆ กับหิมะหนาวเหน็บที่ค่อยๆ หยุดตกลง
ตอนนี้ยังไม่สามารถสืบได้เบาะแสของคนสองคนที่ชนหมิงถานตกน้ำได้ แต่ยังโชคดีที่จวนลิ่งกั๋วกงรู้จักดูสถานการณ์ ยอมรับเรื่องที่เหลียงจื่อเซวียนตกน้ำ อีกทั้งยังให้เหลียงจื่อเซวียนนอนพักอยู่ในจวนไปสองสามวัน ทำให้เรื่องนี้อธิบายได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
เผยซื่อไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง นางรู้สึกเพียงแค่ว่าจวนลิ่งกั๋วกงสะสางปัญหาได้อย่างมีน้ำใจยิ่งนัก เป็นครอบครัวที่มีจิตใจดีงามครอบครัวหนึ่ง ทว่าหมิงถานกลับไม่รับไมตรีไว้สักนิด จวนลิ่งกั๋วกงส่งคนมามอบของกำนัลแสดงความห่วงใยอย่างลับๆ หมิงถานยังไม่แม้แต่ปรายตามองด้วยซ้ำ
เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงวสันตฤดู ช่างตัดเสื้อของร้านจิ่นซิ่วก็ถูกเชิญมาวัดตัวเพื่อตัดเสื้อผ้าที่จวนจิ้งอันโหวอีกครั้ง
หมิงถานได้คิดเตรียมการไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วว่าหลังจากถอนหมั้นจะทำตัวโดดเด่นไม่ได้ไปพักใหญ่ๆ ดังนั้นผ้าที่เลือกในคราวนี้จึงเป็นสีเรียบๆ ทั้งหมด มีทั้งสีขาวนวล สีเขียวใบหญ้า และสีฟ้าอ่อน
เผยซื่อคิดว่าหมิงถานอยากลองสิ่งแปลกใหม่จึงมิได้ขัดขวาง เพียงแค่เลือกผ้าสีสันสดใสสองพับให้นางไว้ทำเสื้อตัวนอก ทั้งยังเอนพิงหมอนอิงพลางเอ่ยอย่างเอาใจใส่ว่า “ปกติยามอยู่ในจวนใส่สีเรียบๆ หน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ว่าฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ยังต้องออกไปย่ำขจี* ชมบุปผาอยู่ เด็กสาวใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสหน่อยจะได้ดูมีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่า ใครเห็นใครก็ชอบ”
“ท่านแม่พูดถูกเจ้าค่ะ” หมิงถานไม่ได้บอกปัดแต่อย่างใด นางขานรับอย่างว่าง่าย ทว่าในใจกลับรู้สึกหงุดหงิดโมโห ทั้งที่เป็นฤดูใบไม้ผลิทั้งทีตนเองกลับไม่สามารถสวมใส่ชุดงดงามพวกนี้ออกไปอวดโฉมข้างนอกได้
ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องการกินการอยู่เหล่านี้เผยซื่อก็ไม่เคยตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน สิ่งใดที่นางหาให้หมิงถาน ก็จะหาให้เสิ่นฮว่าเพิ่มอีกชุดเช่นเดียวกัน
นางปัดฟองอากาศออกแล้วจิบชาหนึ่งอึก ครั้นแล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยกำชับกับหญิงชราผู้ดูแลร้านจิ่นซิ่วว่า “ผ้าที่เหลือก็ตัดเพิ่มอีกสักสองสามชุดตามขนาดตัวของคุณหนูสี่ นับเวลาดู คุณหนูสามเองก็คงใกล้กลับมาแล้ว ไม่ได้เจอหน้ามาหลายปี ไม่รู้ว่าบัดนี้รูปร่างเป็นเช่นไรบ้าง อย่างไรก็เตรียมเอาไว้ก่อนดีกว่า หากไม่พอดีตัว รอให้นางกลับมาเมืองหลวงแล้วค่อยตัดชุดที่พอดีตัวให้ใหม่ก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
ถึงแม้หญิงชราผู้ดูแลปากจะเอ่ยขานรับ แต่ในใจกลับขบคิดว่า ชุดพวกนี้ต้องตัดเย็บด้วยระดับความละเอียดประณีตเช่นเดียวกับของคุณหนูสี่ด้วยหรือไม่ เพราะว่านางมักจะแวะเวียนไปมาตามตระกูลใหญ่เป็นประจำ จึงไม่ถึงกับมิอาจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอันน้อยนิดของฮูหยินท่านโหวที่อยู่ตรงหน้าได้