อันที่จริงไม่เพียงแต่เผยซื่อเท่านั้นที่มีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยามหมิงถานกับเสิ่นฮว่าได้ยินคำว่า ‘คุณหนูสาม’ พวกนางต่างก็นิ่งอึ้งไปในชั่วพริบตาเช่นกัน
แต่ไหนแต่ไรมาจวนจิ้งอันโหวบุรุษเยอะสตรีน้อยอยู่แล้ว พอมาถึงรุ่นหมิงถาน สตรีก็มีจำนวนเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น เมื่อครั้งที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ หลายบ้านยังมิได้แยกบ้านกัน เหล่าลูกพี่ลูกน้องจึงนับเรียงอันดับอาวุโสด้วยกัน
เหนือหมิงถานไปไม่มีพี่สาวร่วมมารดา ญาติผู้พี่ทั้งสองคนจากบ้านรองและบ้านสามก็ออกเรือนไปหมดแล้ว พี่สาวซึ่งเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาอย่างหมิงฉู่กลับยังอยู่ในวัยรอออกเรือน ทั้งอายุอานามก็ใกล้เคียงกับนาง เพียงแต่หมิงฉู่กับหลิ่วอี๋เหนียงไปอยู่ที่ชายแดนเป็นเพื่อนจิ้งอันโหวบิดาของนาง เป็นเวลาห้าปีแล้วที่ไม่เคยได้กลับมายังเมืองหลวง
ก่อนหน้านี้หมิงถานเอาแต่จำว่าพอบิดาของนางกลับมาเมืองหลวงแล้วก็จะได้หารือเรื่องถอนหมั้นเสียที แต่กลับลืมไปว่าหมิงฉู่กับหลิ่วอี๋เหนียงก็จะกลับมาด้วยเหมือนกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหมิงฉู่ย่ำแย่อย่างถึงที่สุดมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้หมิงฉู่จะกลับมา นี่ไม่เท่ากับว่าตอนถอนหมั้นจะมีคนหัวเราะเยาะนางเพิ่มขึ้นอีกคนหรอกหรือ
ส่วนสิ่งที่เสิ่นฮว่าคิดขึ้นในทันทีคือ คุณหนูสามสกุลหมิงอย่างหมิงฉู่ผู้นี้อายุเท่ากันกับนาง แม้จะเป็นบุตรสาวอนุภรรยา แต่ชาติตระกูลก็สูงส่งซ้ำยังเป็นที่โปรดปราน หากประเมินฐานะดูก็ถือว่าพอๆ กันกับนาง ถือเป็นตัวเลือกคู่ครองที่เหมาะสมโดดเด่น ยามนี้หมิงฉู่กลับมาเมืองหลวง เกรงว่าทั้งสองคนคงจะปะทะกันในเรื่องการหาคู่แต่งงานเป็นแน่
ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็เงียบนิ่งไม่เปล่งวาจา หลุบตาพลางครุ่นคิดตรึกตรอง
เมื่อเผยซื่อเห็นว่าใกล้ถึงกำหนดการเดินทางกลับ นอกจากนางให้ร้านจิ่นซิ่วตระเตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์เพิ่มแล้ว นางยังเริ่มสั่งให้บ่าวรับใช้เก็บกวาดจวนโหวด้วยเช่นกัน
ในเรื่องการดูแลจวนนางจัดการได้อย่างเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ไม่กี่วันทั่วทั้งจวนโหวก็ถูกเก็บกวาดทำความสะอาดอย่างเอี่ยมอ่องราวกับเป็นจวนหลังใหม่ แม้แต่เรือนของหลิ่วอี๋เหนียงก็ยังปรับปรุงซ่อมแซมให้ใหม่ ไม่มีตรงที่ใดให้จับผิดได้แม้แต่นิดเดียว
แม่นมจางเห็นเผยซื่อทุ่มเทตั้งใจเช่นนี้ ยามหวีผมให้เผยซื่อนางจึงอดบ่นกระปอดกระแปดมิได้ “ไยฮูหยินต้องดูแลเรือนของหลิ่วซื่อไปเสียทุกเรื่องเช่นนี้ด้วยเล่าเจ้าคะ สตรีที่เอาออกหน้าออกตามิได้ผู้นั้นยึดท่านโหวไปคนเดียวถึงห้าปี บัดนี้เกรงว่าคงจะหยิ่งผยองยิ่งเป็นแน่แท้”
เผยซื่อพิศมองใบหน้าที่ยังคงเฉิดฉันงามล้ำในคันฉ่อง ไม่ส่งเสียงเอ่ยตอบ
รอบด้านไร้ผู้คน แม่นมจางจึงขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วกระซิบเสียงเบาอีกครั้ง “ว่ากันตามจริงนะเจ้าคะ ในตระกูลใหญ่เช่นนี้การมีทายาทสืบสกุลถือเป็นเรื่องสำคัญ ถึงแม้ฮูหยินจะลำบากในเรื่องนี้ แต่ใช่ว่าสาวใช้หน้าตาสะสวยงดงามในจวนจะทำไม่ได้นี่เจ้าคะ ไม่อย่างนั้น หญิงสาวตระกูลเล็กๆ ในเมืองหลวงก็มีมากมาย ท่านโหวกับหลิ่วซื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี ถ้าได้เห็นคนใหม่ๆ ก็คงจะเบื่อหน่ายนางแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
เผยซื่อหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาจับเทียบบนศีรษะ ท่าทางไม่ใส่ใจฟังสักเท่าไรนัก
“ฮูหยิน!” แม่นมจางร้องเรียกขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว
เผยซื่อปรายมองด้วยหางตา เอ่ยเสียงเฉยชาว่า “เจ้าพูดผิดแล้ว”
นางวางปิ่นปักผมลง แววตาแปรเปลี่ยนเป็นล้ำลึกและสุขุม “ความผูกพันระหว่างข้ากับท่านโหวมีเพียงน้อยนิด เมื่อครั้งที่เขาต้องไปรับตำแหน่งต่างเมือง ก็เป็นข้าไม่ยอมไปทนลำบากที่ชายแดนแต่ขออยู่ที่เมืองหลวงแทน ข้าควรจะขอบคุณหลิ่วซื่อถึงจะถูก อยู่ที่ชายแดนมาห้าปี ท่านโหวกลับมิได้รับคนใหม่เลย ยิ่งไปกว่านั้นก็มิได้มีบุตรธิดาเพิ่มขึ้นมา ลดปัญหาให้ข้าไปได้ไม่น้อย หากเป็นอนุภรรยาคนอื่นติดตามเดินทางไป เกรงว่าคงจะไม่มีความสามารถเหมือนอย่างนางเช่นนี้
อีกอย่างข้าคงจะไม่มีวาสนาเรื่องทายาทสืบสกุลแล้ว การเลี้ยงดูเด็กเล็กๆ คนหนึ่งไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจ ซ้ำยังไม่มีบรรดาศักดิ์ให้สืบทอด หากจะต้องทนทรมาทรกรรมเช่นนั้น มิสู้เอาเรี่ยวแรงไปดูแลอาถานเสียยังจะดีกว่า…
หลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าเองก็คงเห็นชัดแล้วว่าอนาคตจวนโหวของพวกเราครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับบุตรสาวที่แต่งออก อีกครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับต้าเกอเอ๋อร์* ตอนที่ข้าแต่งเข้าจวนโหว ต้าเกอเอ๋อร์ก็อายุไม่น้อยแล้ว จึงไม่มีโอกาสบ่มเพาะความสนิทสนมผูกพันฉันแม่ลูก แต่เป็นเพราะอาถาน หลายปีมานี้เขาจึงให้ความเคารพยำเกรงข้าเช่นกัน”
ตรงจุดนี้แม่นมจางเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “ในช่วงหลายปีนี้ที่ต้าเกอเอ๋อร์ไปรับตำแหน่งที่ผางซาน ไม่ว่าจดหมายหรือของกำนัลตามเทศกาลก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง พอรู้ว่าฮูหยินมีโรคประจำตัวอย่างโรคปวดหัวเข่า ก็ยังอุตส่าห์หาตำรับยาจากที่ผางซานมาให้ ถึงแม้จะมิได้เห็นผลอันใดมากมาย แต่ก็รู้ขนบมีน้ำใจยิ่ง”
พอเผยซื่อคิดถึงตรงนี้ริมฝีปากก็ยกยิ้มด้วยความพึงพอใจเช่นเดียวกัน