“…”
ไป๋หมินหมิ่นยื่นมือออกไปตีนาง
หมิงถานรีบหลบหลีก ซ้ำยังเอ่ยกระเซ้าด้วยท่าทางเรียบร้อยดูเป็นผู้สูงศักดิ์ “ดูเจ้าเข้าสิ ไม่มีความสงบเสงี่ยมเป็นกุลสตรีอย่างข้ากับจิ้งหว่านเลยสักนิด หากเป็นเช่นนี้จะป่าวประกาศชื่อเสียงของ ‘สามยอดหญิงแห่งเมืองหลวง’ ให้เป็นที่เลื่องลือได้อย่างไร”
“จิ้งหว่านถือว่าแล้วไป แต่เจ้าสงบเสงี่ยมเป็นกุลสตรีตรงไหนกัน ดีแต่เสแสร้งต่อหน้าคนนอกล่ะสิไม่ว่า พูดจาหน้าไม่อาย!” ไป๋หมินหมิ่นเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้
หมิงถานเอ่ย “ดีกว่าเจ้าที่แค่เสแสร้งต่อหน้าคนนอกก็ยังทำไม่ได้แล้วกัน!”
“เอาล่ะ” โจวจิ้งหว่านยกผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะเบาๆ นางเป็นคนบอบบางนุ่มนวลมาแต่ไหนแต่ไร เสียงที่ใช้พูดก็เล็กแผ่ว “เลิกเถียงกันได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ฟังเอง”
ทั้งสามคนนั่งดื่มชาอยู่ตรงริมลานส่วนกลางของเรือนจ้าวสุ่ย ข้างนอกข้างในล้วนมีแต่คนของตนเอง จึงไม่มีเรื่องใดที่ไม่สามารถพูดได้
โจวจิ้งหว่านอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “เรื่องที่เกิดขึ้นคราวนี้ ฉากหน้าบอกว่านายอำเภอในนครหลวงจางจี๋เคยมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับเฉิงเอินโหว จึงแอบเก็บหลักฐานกระทำความผิดของสกุลกู้เอาไว้ไม่น้อย แต่เมื่อคิดดูอย่างละเอียดแล้ว หน้าที่การงานของจางจี๋เจริญรุ่งโรจน์ได้เพราะเฉิงเอินโหว แล้วจู่ๆ เหตุใดถึงกล่าวโทษเฉิงเอินโหวเล่า หรือว่ามีขุนนางทุจริตกลับตัวกลับใจเป็นคนดีในชั่วข้ามคืนจริงๆ? นอกจากนั้นแล้ว ที่ผ่านมาข้าหลวงตรวจการก็เคยกราบทูลถอดถอนเฉิงเอินโหว ฝ่าบาทก็มักจะทรงปล่อยผ่านอย่างไม่ใส่พระทัย แต่หนนี้กลับทรงระเบิดโทสะกริ้วโกรธกลางท้องพระโรง รับสั่งให้ตรวจสอบจนถึงที่สุด…”
พอฟังมาถึงตรงนี้ไป๋หมินหมิ่นก็เหมือนจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาได้บ้าง
โจวจิ้งหว่านกล่าวเพียงแค่นี้แล้วก็หยุดไป จากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วเอ่ยต่อไปว่า “ติ้งเป่ยอ๋องออกศึกอยู่ที่ดินแดนทางเหนือเป็นระยะเวลานาน น้อยครั้งยิ่งที่จะกลับมาเมืองหลวง อุปนิสัยของเขาข้าไม่ค่อยรู้สักเท่าไร แต่ต่อให้เขามีคุณงามความชอบสูงส่ง แต่การที่เขาไม่เห็นอวี้กุ้ยเฟยอยู่ในสายตา ฉีกหน้าผู้อื่นชัดเจนกลางงานเลี้ยง ฝ่าบาทกับฮองเฮาก็ควรทรงตำหนิเขาสักเล็กน้อยถึงจะถูก”
“อ๋อ…ข้าเข้าใจแล้ว” ไป๋หมินหมิ่นเรียบเรียงความคิด “ความหมายของเจ้าก็คือฝ่าบาทมีพระดำริจะจัดการกับสกุลกู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้สถานการณ์ตอนนั้นจะย่ำแย่ แต่ฝ่าบาทกับฮองเฮาก็มิได้ตรัสอันใดแทนกู้จิ่วโหรว…หากคิดเช่นนี้แล้วล่ะก็ ติ้งเป่ยอ๋องก็อาจจะล่วงรู้ถึงพระดำริของฝ่าบาทตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถึงได้โอหังวางโตไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาเช่นนั้นสินะ”
“แต่ตามความคิดข้า ติ้งเป่ยอ๋องก็เป็นคนโอหังวางโตเช่นนั้นอยู่แล้ว” พวกคนหยาบกระด้างจะไปเข้าใจอันใด หมิงถานย้อมสีเล็บด้วยท่าทางประณีตบรรจง ไม่เก็บเอามาใส่ใจมากมายนัก
เชิงอรรถ
** ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.
* ประเพณีย่ำขจี (ท่าชิง) คือการเดินไปตามทุ่งหญ้าป่าเขาเพื่อชมธรรมชาติต้อนรับความเขียวขจีของฤดูใบไม้ผลิ เป็นกิจกรรมในช่วงเทศกาลเช็งเม้ง (ชิงหมิง) ของชาวจีนในสมัยโบราณ
* เกอเอ๋อร์ แปลว่าพี่ชาย ชาวจีนมักใช้ต่อท้ายชื่อเด็กชายเพื่อเรียกในเชิงเอ็นดู
* ลี้ (หลี่) มาตรวัดความยาวของจีน เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร
* สำนักฮั่นหลิน ตั้งขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง เดิมเป็นสถานที่สำหรับเข้าเฝ้าของเหล่าปราชญ์ กวี จิตรกร และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่ถูกฮ่องเต้เรียกตัว ในสมัยราชวงศ์ชิงกลายเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ชำระตำราสำคัญของแผ่นดินและเป็นฝ่ายอาลักษณ์วรรณคดี
** ถั่วเหอเถา หมายถึงถั่ววอลนัท
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.