บทที่ 6
วันคืนผ่านพ้นไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า ไม่นานก็มาถึงวันที่แปดเดือนสอง จิ้งอันโหวหมิงถิงหย่วนซึ่งเดินทางไปรับตำแหน่งที่เขตหยางซีปฏิบัติหน้าที่จนครบกำหนดได้เดินทางกลับมายังเมืองหลวง
เขากุมอำนาจทางการทหารเอาไว้จำนวนหนึ่ง ยามอยู่ในตำแหน่งก็มีผลงานโดดเด่น เขาเดินทางกลับเมืองหลวงมารายงานสถานการณ์ครานี้มีความเกี่ยวพันไปถึงการเปลี่ยนแปลงของขุนนางในราชสำนัก คนไม่น้อยต่างก็ลอบสังเกตอยู่อย่างลับๆ
ฮ่องเต้เฉิงคังมีพระราชโองการว่าเมื่อจิ้งอันโหวเดินทางเข้าเมืองหลวงแล้วให้รีบเข้าเฝ้าในทันที เมื่อเข้าถึงตัวเมือง หมิงถิงหย่วนกับคนในครอบครัวและบ่าวรับใช้ก็แยกกันไปคนละทาง ทางหนึ่งมุ่งตรงไปยังประตูฉี่เซวียน ส่วนอีกทางก็อ้อมไปยังจวนจิ้งอันโหวซึ่งตั้งอยู่บนถนนหนานเชวี่ย
พอได้ข่าวว่าท่านโหวจะเดินทางเข้าวังทันทีไม่แวะเข้าจวน ขณะที่พวกหลิ่วอี๋เหนียงจะเดินทางกลับมาก่อน คนในจวนโหวก็เฉื่อยชาขึ้นไม่น้อย เพราะอย่างไรบนโลกนี้ก็ไม่มีกฎว่าต้องต้อนรับอี๋เหนียงและบุตรสาวกลับจวนอย่างเอิกเกริกใหญ่โต
ยามหลิ่วอี๋เหนียงกับหมิงฉู่ลงจากรถม้า มีเพียงแม่นมจางซึ่งเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายเผยซื่อพาสาวใช้และหญิงรับใช้อาวุโสจำนวนหนึ่งออกไปรอรับอยู่ตรงประตูข้างเท่านั้น
อาจเพราะได้รับความรักใคร่โปรดปรานแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นถึงแม้จะอยู่ในสถานที่ที่ยากลำบากใกล้ชายแดนอย่างเขตหยางซีมาห้าปี แต่รูปโฉมของหลิ่วอี๋เหนียงกลับไม่แตกต่างจากเดิมมากมายนัก มิหนำซ้ำยังเปล่งประกายมีน้ำมีนวลมากกว่าเดิมอยู่หลายส่วน
คุณหนูสามอย่างหมิงฉู่กลับยากจะจดจำได้ในแวบแรก ตอนที่ไปจากเมืองหลวงนางอายุแค่เพียงสิบเอ็ดสิบสองปีเท่านั้น ห้าปีผ่านไปรูปโฉมของนางถึงเริ่มปรากฏชัด บุคลิกแตกต่างจากแต่ก่อนอย่างมาก นางสวมใส่ชุดสีแดงสด ท่าทางดูสดใสมีชีวิตชีวา ทั้งยังมีความผึ่งผายองอาจเยี่ยงพยัคฆ์หญิงตระกูลแม่ทัพอยู่ไม่น้อย
“เจ้าให้ข้ากับท่านแม่เข้าทางประตูข้าง?” หมิงฉู่ขมวดคิ้ว ไม่พอใจกับการจัดการของแม่นมจางยิ่ง เนื่องจากยามอยู่ที่เขตหยางซี ไม่ว่านางจะเดินไปที่ใด ทุกคนต่างก็รู้ว่านางเป็นแก้วตาดวงใจของท่านข้าหลวงใหญ่ ไม่มีผู้ใดกล้าเมินเฉยดูแคลนนางสักนิด
แต่ในสายตาผู้อื่นหมิงฉู่กลับดูพาลพาโลอย่างไร้เหตุผลยิ่ง ที่นี่คือเมืองหลวง ประตูใหญ่จะเปิดพร่ำเพรื่อได้อย่างไร ปกติแม้แต่เผยซื่อก็ยังเข้าออกจากประตูข้าง แน่นอนว่าหากวันนี้พวกนางกลับจวนมาพร้อมท่านโหว ก็ยังพอจะได้อาศัยบารมีท่านโหวเดินเข้าทางประตูใหญ่กับเขาบ้าง แต่เวลานี้กลับไม่ใช่เช่นนั้น
แม่นมจางกำลังจะเอ่ยอธิบายให้ชัดเจน หลิ่วอี๋เหนียงกลับเดินเข้าไปคว้ามือของหมิงฉู่เอาไว้ จากนั้นบีบแน่นอย่างไม่แสดงสีหน้าท่าทางออกมา
เมื่อนึกถึงคำเตือนของหลิ่วอี๋เหนียงตลอดทางกลับเมืองหลวง หมิงฉู่ก็ตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย สุดท้ายก็ตัดสินใจกลืนโทสะครานี้ลงท้องไปชั่วคราวก่อน นางเดินหน้าบึ้งตึงผ่านแม่นมจางไป ก้าวตรงเข้าไปยังประตูข้าง
ในเวลาเดียวกัน หมิงถานก็กำลังระเบิดโทสะใหญ่โตอยู่ภายในเรือนจ้าวสุ่ย
นางตบกระดาษจดหมายลงกับโต๊ะ ต่อมาก็กวาดชุดเครื่องชาอันวิจิตรงดงามมูลค่าไม่ธรรมดาบนโต๊ะลงกับพื้นอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่
เสียงเครื่องกระเบื้องแตกกระจายดังก้องกังวาน นางตบโต๊ะแล้วพลันลุกพรวดขึ้นมา เดินวนไปมาในห้องพลางพูดพึมพำว่า “ต่ำช้า ต่ำช้าที่สุด! ทีแรกคิดว่าครอบครัวนี้แค่ไร้กฎเกณฑ์ไร้ยางอาย ข้าดูถูกพวกเขาเกินไปจริงๆ ไม่คิดว่าพวกเขาจะถึงกับวางแผนเล่นงานข้า!”
นางโกรธจัดจนเสียงสั่นเครือเล็กน้อย หลังจากกำนิ้วทั้งสิบแน่น ข้อนิ้วก็เริ่มซีดขาว หลังมือสามารถมองเห็นเส้นเลือดได้รำไร
ซู่ซินกับลวี่เอ้อตกอกตกใจยกใหญ่ ที่สำคัญคือพวกนางยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
สองวันมานี้คุณหนูของพวกนางยังกระตือรือร้นพร้อมประชันขันแข่ง ตั้งใจจะแต่งอาภรณ์เต็มยศเพื่อกดข่มรัศมีคุณหนูสามที่กลับจวนวันนี้อยู่แท้ๆ เช้าตรู่วันนี้ยังสั่งให้คนไปเก็บน้ำค้างรุ่งอรุณบนดอกไม้มาผสมกับผงโฉมหยกแล้วพอกหน้าเป็นชั้นหนา บอกว่าหากพอกหน้าเช่นนี้ไว้ เมื่อล้างหน้าแล้วผิวพรรณจะเนียนนุ่มกระจ่างใสมากเป็นพิเศษ