ทว่าเมื่อครู่นี้พอกินอาหารเช้าเสร็จ บ่าวรับใช้จวนสกุลไป๋ก็ได้นำจดหมายมาส่ง ความในจดหมายกล่าวว่าเดิมทีไป๋หมินหมิ่นคิดจะแวะมาบอกเรื่องในจดหมายกับนางด้วยตนเอง แต่เห็นว่าวันนี้จวนโหวเพิ่งจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่เหมาะที่จะแวะไปหา จำต้องเขียนเรื่องนี้เป็นจดหมายแล้วให้คนนำมาส่งแทน
ไม่รู้เช่นกันว่าในจดหมายเขียนไว้ว่าอย่างไร ถึงได้ทำให้คุณหนูสี่สกุลหมิงที่มักจะพูดติดปากว่า ‘กุลสตรีตระกูลมีชื่อเสียงไม่ว่าจะพบเจอเรื่องใดก็ห้ามลืมตัวเสียกิริยา หากโหวกเหวกโวยวายขว้างปาข้าวของจะต่างกับสตรีเสียสติตามตลาดตรงที่ใด’ คลุ้มคลั่งรุนแรงเช่นนี้…
ครั้นพวกนางหวนนึกถึงงานเลี้ยงดอกเบญจมาศทองคำเมื่อหลายปีก่อน จู่ๆ ก็มีเฟิ่งเจาจวิ้นจู่* โผล่มาจากที่ใดไม่รู้มาแย่งตำแหน่ง ‘จ้าวบุปผา’ ที่เดิมควรจะเป็นของคุณหนูพวกนางไป พอคุณหนูกลับมาถึงจวนก็แค่ขว้างปาแก้วกระเบื้องไปใบเดียวเท่านั้น ซ้ำยังปาใส่บนตั่งกุ้ยเฟย** อีกต่างหาก ไม่ได้กระแทกแตกเลยสักนิด
ทว่าคราวนี้แค่กวาดถ้วยชากากระเบื้องลงพื้นก็ยังไม่ถือว่าจบ หมิงถานยังเดินวนไปมาอยู่ในห้องหลายรอบ ทันใดนั้นก็รีบหยิบจดหมายพุ่งปรี่ออกไปข้างนอก
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ซู่ซินที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอดก็แตกตื่นลนลานขึ้นมา นางรีบไล่ตามไปแล้วเอ่ยเตือนสติ “คุณหนู นี่ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ คุณหนูสามกับอี๋เหนียงกลับมาที่จวนแล้ว ปิ่นปักผมอันใหม่ที่ท่านสั่งไว้ยังไม่ได้ใส่เลยนะเจ้าคะ!”
ฝีเท้าของหมิงถานชะงักไปโดยพลัน
อ้อ จริงด้วย ปิ่นปักผม
แล้วยังมีแม่ลูกคู่นั้นอีก
นางหันร่างกลับไป เดินตรงเข้าไปยังห้องชั้นใน นั่งลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องประทินโฉมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ซู่ซินกระแทกลวี่เอ้อเบาๆ
ลวี่เอ้อที่อึ้งตะลึงยังคงงุนงงอยู่นิดๆ ส่งเสียงตะกุกตะกักไปสองทีกว่าจะมีอาการตอบสนอง “คะ…คุณหนู อย่าได้โมโหไปเลยเจ้าค่ะ ถ้าโมโหจะไม่งดงามเอานะเจ้าคะ…ก็ไม่ใช่ว่าไม่งดงาม ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูก็งดงามอยู่แล้ว แต่ยามคุณหนูยิ้มจะสะสวยยิ่งกว่าเดิม งดงามล่มบ้านล่มเมืองยิ่งกว่าเดิม งามล้ำสยบสรรพสิ่งเลยนะเจ้าคะ!”
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะลวี่เอ้อเอ่ยชมได้ถึงอกถึงใจ หรือเพราะเห็นใบหน้าของตนเองกันแน่ โทสะของหมิงถานถึงได้สงบลง หลังจากนางได้นั่งลงก็ใจเย็นขึ้นไม่น้อย
บิดาของนางกำลังเดินทางเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้เฉิงคัง หากนางผลุนผลันปรี่ออกไปตอนนี้ไม่เพียงแต่ไม่เจอตัวเขาเท่านั้น ซ้ำยังจะทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเปล่าๆ นอกจากนั้นบิดาของนางก็กลับมาแล้ว จะพุ่งไปโวยวายขอถอนหมั้นในทันทีทันใดก็ไม่ได้ ไม่เจอกันมาห้าปี ผู้ใดจะไปรู้ว่าหมิงฉู่กับหลิ่วอี๋เหนียงได้เป่าหูบิดาของนางไปมากเพียงใด พอถึงตอนนั้นหากทำให้บิดาเข้าใจผิดว่าเป็นเพราะนางไม่ใส่ใจขนบธรรมเนียม ถึงได้ถูกจวนลิ่งกั๋วกงดูถูกหยามหน้าคงจะแย่แน่ อีกอย่างนางก็ไม่มั่นใจมากนักว่าบิดาที่แม้ในความทรงจำจะดีต่อนางไม่เลว แต่ก็มิได้รักใคร่เอ็นดูอย่างสุดซึ้งเหมือนอย่างที่ท่านลุงปฏิบัติต่อไป๋หมินหมิ่น จะยอมผิดใจกับจวนลิ่งกั๋วกงเพื่อนาง
นางหยิบปิ่นห้อยระย้า รูปจันทร์สีเงินบนโต๊ะที่เพิ่งสั่งทำใหม่ขึ้นมา หลังจากพิศสำรวจอยู่ครู่หนึ่งก็พลันเอ่ยสั่งขึ้นมาว่า “ซู่ซิน เจ้าไปหยิบผ้าเช็ดหน้าขาวมาผืนหนึ่ง จุ่มน้ำกระเทียมมาด้วยเล็กน้อย”
“เจ้าค่ะ”
“ยังมีอีกเรื่อง เจ้ามานี่” นางบอกเป็นนัยให้ซู่ซินเดินเข้ามาใกล้ๆ อีกนิด จากนั้นก็ใส่จดหมายที่บ่าวรับใช้จากจวนสกุลไป๋ส่งมากลับเข้าไปในซองตามเดิมแล้วยื่นให้นาง ทั้งยังเอ่ยกำชับสั่งเสียงต่ำเบาๆ ที่ข้างหูซู่ซินอีกสองสามประโยค
ที่ผ่านมาหากเจ้านายไม่พูด ซู่ซินก็จะไม่ถามให้มากความ หลังจากน้อมรับคำสั่งแล้ว นางก็ปล่อยมือทั้งสองข้างลู่ลง แล้วเดินถอยออกไป