หมิงถานระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ต่อมาก็สั่งกับลวี่เอ้อว่า “หวีผมแต่งหน้าให้ข้าใหม่ ไม่ต้องหรูหรา เกินไป เสื้อผ้าก็เปลี่ยนเป็นชุดอื่นด้วย”
ก่อนหน้านี้นางคิดแต่จะข่มรัศมีหมิงฉู่อย่างไรดี กลับลืมไปเสียสนิทว่าการพบกับบิดานางต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า
ดังนั้นภายใต้การเลือกซ้ำไปซ้ำมาและคำชี้แนะต่างๆ นานาของหมิงถาน ลวี่เอ้อก็แต่งกายให้นางดูงามพิสุทธิ์เฉิดฉัน พร้อมทั้งยังแฝงความนุ่มนวลเปราะบางด้วยเล็กน้อยได้ในที่สุด
นางยืนส่องอยู่หน้าคันฉ่องสัมฤทธิ์บานใหญ่ขนาดเท่าตัวคนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ “ไป ไปที่เรือนหลันซินกัน”
เรือนหลันซินคือเรือนของเผยซื่อ หากเดินจากเรือนจ้าวสุ่ยจะต้องเดินผ่านเฉลียงอ้อมกำแพง แล้วยังต้องเดินผ่านสวนดอกไม้ของลานข้างเรือนหลักฝั่งตะวันออกอีกด้วย
พวกหมิงถานเดินไปตามเฉลียงทางเดิน เพิ่งจะมาถึงสวนดอกไม้ของลานข้างเรือนหลักฝั่งตะวันออกก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากข้างหน้า
“อ้อ…เป็นหลานสาวของน้องชายลูกอนุภรรยาจากบ้านเดิมฮูหยินผู้เฒ่านี่เอง ฮูหยินผู้เฒ่าก็เสียไปตั้งนานแล้ว ความเกี่ยวข้องช่างห่างไกลกันจริงๆ อีกอย่างถ้าข้าจำไม่ผิด บ้านเดิมของฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อแรกเป็นจวนป๋อ ก่อนจะลดตำแหน่งหลังสืบทอดบรรดาศักดิ์จนไม่มีตำแหน่งให้ลดแล้วนี่ ไม่ได้ติดต่อกับจวนของพวกเรามาตั้งหลายปี ข้าว่านี่มันใช่ญาติพี่น้องจริงๆ ตรงไหนกัน” หมิงฉู่เอ่ยเสียดสี
เสิ่นฮว่าเรียก “น้องสาม เจ้า!”
“เจ้าอันใดของเจ้าเล่า ญาติผู้พี่ ข้าเห็นแก่หน้าฮูหยินผู้เฒ่าที่เสียไปแล้วถึงได้เรียกเจ้าว่า ‘ญาติผู้พี่’ หรอกนะ เจ้ากลับไม่สำเหนียกว่าตนเองเป็นคนนอกจริงๆ ข้ากับท่านแม่เพิ่งกลับมาถึงจวนก็ต้องมาเจอเจ้าขับขานกลอนบ้าบอคอแตกอันใดก็ไม่รู้อยู่ในสวน นี่เจ้าตั้งใจจะรบกวนข้ากับท่านแม่ใช่หรือไม่ ข้าจะบอกให้นะ มาขออาศัยเขาอยู่ก็ควรจะหัดเจียมเนื้อเจียมตัวเสียบ้าง!”
เดิมทีในใจหมิงฉู่ก็หงุดหงิดเรื่องที่ต้องเข้าจวนทางประตูข้างอยู่แล้ว บ่าวรับใช้ในจวนที่พบเจอระหว่างทางก็ไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนอย่างที่เขตหยางซี ต่อมายังเจอเสิ่นฮว่าขับขานกลอนวสันต์โศกอันใดก็ไม่รู้อยู่ในสวนอีก เพลิงโทสะของนางจึงสะกดกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป ถ้อยคำที่พูดออกมาแฝงความประชดเสียดสีเปี่ยมล้น ในน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความโอหังอวดดีอย่างไม่ลดราวาศอก
เสิ่นฮว่าฉุนจัด
ก่อนหน้านี้นางกับหมิงถานปะทะกันอย่างลับๆ ก็มักจะถูกทำให้โมโหจนทนไม่ไหวอยู่บ่อยๆ แต่ว่าดีร้ายอย่างไรหมิงถานก็เป็นสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลมีชื่อเสียง นางก็แค่ซ่อนเข็มไว้ในผ้าแพร* ไหนเลยจะหยาบคายไร้มารยาทไม่มีความเป็นกุลสตรีเช่นนี้!
ขณะที่เสิ่นฮว่ากำลังจะเปิดปากตอกกลับไป จู่ๆ ก็มีเสียงเหน็บแนมอย่างเฉยชาดังขึ้นมาจากด้านหลัง “พี่สามระมัดระวังคำพูดด้วย ท่านแม่อยู่ที่เรือนหลันซินต่างหาก หาใช่ที่นี่ไม่”
ทั้งสองฝ่ายที่กำลังประจันหน้ากันหันหน้าไปมองในทันที
พวกนางเห็นบ่าวรับใช้ในชุดสีเขียวกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากหัวมุมของเฉลียงทางเดิน พอเดินมาได้ช่วงหนึ่ง บ่าวรับใช้กลุ่มนี้ก็หยุดฝีเท้าลง ยืนแยกเรียงออกเป็นสองแถว ก้มศีรษะลงอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย…
เด็กสาวในชุดกระโปรงสีขาวหยกปักลายด้วยด้ายทองคำเดินออกมาจากตรงกลางด้วยฝีเท้าเนิบช้า นางผิวขาวดุจหิมะ เส้นผมดำขลับ ดวงตาทั้งสองข้างประหนึ่งสายธารา มือเรียวบางโบกพัดกลมเบาๆ ในทุกย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้า ปิ่นห้อยระย้ารูปจันทร์สีเงินตรงศีรษะก็จะขยับไหวเปล่งประกายระยิบระยับออกมา
ทั้งที่มิได้แต่งกายงดงามหรูหรามากมาย แต่แค่มองจากไกลๆ กลับให้ความรู้สึกบอบบางงามละเมียดละไม เหมือนดั่งแจกันกระเบื้องเคลือบเลอค่าราคาแพงที่วางไว้กับพื้นก็กลัวล้มประคองไว้ในมือก็กลัวแตก งดงามจนทำให้คนไม่อาจเบนสายตาหนีได้
แม้ว่าเสิ่นฮว่าจะเห็นภาพเช่นนี้มามากแล้ว แต่ก็ยังตะลึงงันไปชั่วขณะเช่นกัน กว่าจะได้สติกลับคืนมา นางไม่รู้ว่าควรจะแอบเสียดสีในความเสแสร้งดัดจริตของหมิงถานเหมือนอย่างทุกทีดี หรือว่าควรจะขอบคุณในความเสแสร้งจอมปลอมของหมิงถานที่สามารถสยบสตรีปากร้ายบางคนที่ไม่รู้จักมารยาทของการเป็นกุลสตรีได้ดี
“นี่คงจะเป็นคุณหนูสี่กระมัง” หลิ่วอี๋เหนียงจำหมิงถานได้อย่างรวดเร็ว นางแย้มยิ้มนุ่มนวล เอ่ยเสียงละมุนว่า “ไม่เจอกันหลายปี บัดนี้คุณหนูสี่รูปโฉมงดงามชวนมองจริงๆ”
ที่ก่อนหน้านี้หลิ่วอี๋เหนียงมิได้ห้ามปรามหมิงฉู่ หลักๆ เป็นเพราะนางไม่ได้เห็นเสิ่นฮว่าอยู่ในสายตาเท่าไร ทว่าหมิงถานนั้นไม่เหมือนกัน หากหมิงถานเอาเรื่องคำเรียกขาน ‘ท่านแม่’ นี้ไปฟ้องจนเรื่องไปถึงเผยซื่อ เกรงว่าคงจะไม่เป็นผลดีกับพวกนางแน่นอน