นางยังคงสวมชุดสีแดงสดตัวนั้นเช่นเดิม พอเดินเข้ามาถึงก็กอดแขนของหมิงถิงหย่วนเอาไว้ทันที ก่อนจะพูดออดอ้อนราวกับรอบข้างไร้ผู้คน “ในที่สุดท่านพ่อก็กลับมาเสียที ท่านเข้าวังก็ยังพาพวกอาฝูไปด้วย ไม่มีใครฝึกแส้เป็นเพื่อนลูกเลยเจ้าค่ะ!”
ในยามปกติลูกไม้นี้ของหมิงฉู่ได้ผลกับหมิงถิงหย่วนอย่างมาก เพราะว่ายามนั้นตัวเขาอยู่ที่ชายแดน ข้างกายก็มีบุตรสาวอยู่แค่เพียงคนเดียว เป็นธรรมดาที่ไม่ว่านางจะทำอันใดก็น่ารักน่าเอ็นดูไปเสียหมด ทว่าตอนนี้เขาหันมองไปทางบุตรสาวคนเล็กที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่รู้ตัวแวบหนึ่ง เขาเห็นเพียงบุตรสาวคนเล็กผู้รู้ประสีประสาว่านอนสอนง่ายจ้องมองแขนข้างนั้นที่หมิงฉู่กอดแขนเขาเอาไว้ตาเขม็ง หมิงถานนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุบตาลงด้วยท่าทางหมองหม่นอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังต้องการจะปกปิดความเศร้าสร้อยในดวงตาเอาไว้
ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกพลันไหลบ่าเข้าสู่ในหัวใจของหมิงถิงหย่วน ต่อมาก็มองไปเห็นความประดักประเดิดบนใบหน้าของเผยซื่อที่จู่ๆ ก็ถูกขัดจังหวะยามกำลังจะพูดจา เขารู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ “เจ้าเอะอะอะไรของเจ้า เจอท่านแม่แล้วยังไม่คารวะอีก!”
หมิงฉู่อึ้งงงไปเล็กน้อย
“ที่เมืองหลวงจะกระทำตามใจเหมือนที่ชายแดนไม่ได้ เป็นสตรีก็ควรจะทำตัวให้มันสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเสียบ้าง ฝึกแส้อันใดของเจ้ากัน ถ้ามีเวลาว่างนักก็หัดไปเรียนรู้กฎระเบียบจากท่านแม่กับน้องสาวของเจ้าบ้าง!”
หลิ่วอี๋เหนียงอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าได้ยินคำพูดนี้ก็ชะงักงันไปชั่วขณะ
ก่อนหน้านี้พอหลิ่วอี๋เหนียงกลับไปพักผ่อนที่เรือนตนเองได้สักพัก นางก็คิดจะพาหมิงฉู่มาคารวะเผยซื่อ ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งมาถึงแค่ครึ่งทาง บ่าวรับใช้ก็บอกว่าท่านโหวกลับมาถึงจวนแล้ว กำลังไปที่เรือนหลันซิน หมิงฉู่ได้ยินก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งปรี่ไปทันที
นางคิดอยากจะไล่ตามไป แต่ว่าหมิงฉู่เคยเรียนวรยุทธ์มาเล็กๆ น้อยๆ ยามเดินเหินจึงเร็วกว่าหญิงสาวทั่วไปไม่น้อย กระทั่งนางตามมาถึงเรือนหลันซินก็ได้ยินคำตำหนิติเตียนของท่านโหวเข้าพอดี
นางพยายามสงบจิตสงบใจ เดินเข้าไปย่อกายพร้อมกล่าวว่า “บ่าวคารวะท่านโหว คารวะฮูหยิน”
หมิงฉู่จมดิ่งอยู่ในความน้อยอกน้อยใจที่บิดาตำหนิต่อว่านาง เมื่อถูกหลิ่วอี๋เหนียงกระชากตัว นางถึงค่อยแสดงความเคารพย้อนหลังอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก “คารวะท่านพ่อ คารวะท่านแม่”
“ครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องมากพิธีไป” ในเวลาเช่นนี้เผยซื่อยิ่งแสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนใจกว้างของผู้เป็นนายหญิงแห่งตระกูลออกมา “ในเมื่อท่านโหวกลับมาแล้วก็อย่ายืนกันอยู่ตรงนี้เลย เข้าเรือนไปกินอาหารกันเถิด”
อาหารกลางวันมื้อนี้จัดเตรียมไว้ที่ห้องรองของเรือนหลักในเรือนหลันซิน อาหารได้ตระเตรียมเอาไว้อย่างมากมายหลากหลาย ทั้งเอ็นกวางตุ๋น น่องหมูผลึกแก้ว ซี่โครงนึ่งหอใบบัว เต้าหู้นิ่มปรุงรส…มีครบทั้งเนื้อทั้งผัก
ตั้งแต่เข้าไปในห้อง หลิ่วอี๋เหนียงก็คอยยืนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ เผยซื่ออย่างเคารพนอบน้อม ตักน้ำแกงตักอาหารให้เผยซื่อ เผยซื่อบอกให้นางพัก แต่นางกลับก้มหน้าเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “การปรนนิบัติท่านโหวกับฮูหยินเป็นหน้าที่ของบ่าวเจ้าค่ะ”
หมิงถิงหย่วนมิได้เปล่งวาจา แต่เห็นได้ชัดว่าพออกพอใจกับพฤติกรรมนี้ของนางมากทีเดียว เมื่อครู่ตอนอยู่ข้างนอกเขายังคิดว่าตอนนั้นไม่ควรพาหมิงฉู่ไปที่เขตหยางซีด้วยเลย ทำให้นางถูกหลิ่วอี๋เหนียงตามใจจนไม่รู้จักระเบียบกฎเกณฑ์แม้แต่น้อย ทว่าตอนนี้พอคิดๆ ดู จริงๆ แล้วหลิ่วอี๋เหนียงก็ถือว่ารู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว ปัญหาหลักอยู่ที่อุปนิสัยของหมิงฉู่เอง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถควบคุมหมิงฉู่ได้
ทุกคนนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ผู้ที่อยู่ในห้องนี้รวมไปถึงพวกสาวใช้ต่างก็เป็นคนปราดเปรื่องที่ฝึกฝนฝีมืออยู่ในตระกูลใหญ่มานานปี การกระทำของหลิ่วอี๋เหนียงนี้ นอกจากหมิงถิงหย่วนแล้วก็คงจะไม่มีใครเชื่อถือเป็นจริงเป็นจัง
แน่นอนว่าหมิงฉู่ยังรู้สึกคับแค้นใจแทนอี๋เหนียงของนางจากใจจริง