บทที่ 8
เผยซื่อตบแผ่นหลังของหมิงถานเบาๆ เอ่ยปลอบขวัญว่า “ท่านโหว ท่านสงบโทสะก่อนเถิดเจ้าค่ะ!”
ต่อจากนั้นหมิงถานก็เล่าเรื่องที่ตนเองตกน้ำในคืนเทศกาลซั่งหยวนให้หมิงถิงหย่วนฟังตามความเป็นจริง
เมื่อได้ยินว่าวันนั้นหมิงถานมิได้มีการสัมผัสใกล้ชิดทางผิวหนังกับเหลียงซื่อจื่อ อีกทั้งคนนอกก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนที่ตกน้ำคือหมิงถาน เขาถึงพอจะบรรเทาโทสะลงไปได้เล็กน้อย
หมิงถิงหย่วนเอ่ยว่า “จวนลิ่งกั๋วกงเสียสติไปแล้วหรือไร ถึงได้วางแผนต่ำช้าเช่นนี้ได้!”
นี่ก็เป็นจุดที่เผยซื่อรู้สึกแปลกพิกลเช่นเดียวกัน “ว่ากันตามหลักเหตุผล ทั้งสองจวนก็มีสัญญาหมั้นหมายกันตั้งแต่แรกแล้ว พอท่านโหวกลับเมืองหลวงก็จะได้เริ่มเตรียมงานแท้ๆ การวางแผนสร้างเรื่องตกน้ำเพื่อลงไปช่วยนี่นับว่าหาเรื่องเกินความจำเป็นจริงๆ” นางชะงักไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “นอกเสียจากจวนลิ่งกั๋วกงคิดว่าหลังจากท่านโหวกลับมาเมืองหลวงแล้ว การแต่งงานคราวนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น”
เปลี่ยนแปลง…เปลี่ยนแปลงอันใด เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ไป๋ซื่อได้หาคู่หมั้นหมายให้หมิงถานตั้งแต่ยังเล็กๆ สัญญาแต่งงานนี้ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้กันทั่ว บุตรชายของฮูหยินลิ่งกั๋วกงใกล้จะตายเลยอยากล่อลวงลูกสะใภ้แต่งเข้าจวนไปไว้ทุกข์เพื่อช่วยตระกูลพวกเขาสะสมซุ้มประตูสรรเสริญของกุลสตรีรักษาพรหมจารีหรือไร ถ้าใกล้ตายแล้วยังกล้าลงน้ำในฤดูหนาวเช่นนั้นก็รีบๆ ตายอยู่ใต้น้ำไปเสียจะได้สิ้นเรื่อง!
คำพูดเหล่านี้ของหมิงถิงหย่วนมาถึงริมฝีปากแล้ว ทันใดนั้นก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้… หลายปีมานี้เขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง อาจจะมีเรื่องมากมายที่เขายังรู้สถานการณ์ไม่รอบด้าน หรือว่าจวนลิ่งกั๋วกงไปเกี่ยวข้องกับเรื่องร้ายแรงอันใดที่มิอาจรับมือได้ เลยจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากการแต่งงานนี้จับเขาหมิงถิงหย่วนมัดลงเรือลำเดียวกัน
คนเป็นขุนนางไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถโยงไปเกี่ยวกับราชสำนักได้ พอเห็นว่าหมิงถิงหย่วนมีสีหน้าหนักอึ้ง ไม่รู้ว่าคิดเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหน หมิงถานก็รีบพูดขึ้นอย่างสะอึกสะอื้นว่า “จะ…จริงๆ แล้วลูกรู้เจ้าค่ะว่าเหตุใดสกุลเหลียงถึงได้ทำเช่นนี้…”
นางเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากในห้องหนังสือของจวนชางกั๋วกงออกมาทั้งหมดอย่างละเอียดยิบ
“ลักลอบได้เสียกับญาติผู้น้องของตนเอง ซ้ำยังให้กำเนิดบุตรชายอายุสองขวบแล้ว?” ฟังจบ ความแตกตื่นตกใจในใจของหมิงถิงหย่วนกับเผยซื่อก็แทบจะไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
หมิงถิงหย่วนเอ่ยว่า “เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้เหตุใดเจ้าถึงไม่รีบบอกตั้งแต่แรก!”
หมิงถานร้องไห้พลางหลุบตาเอ่ย “ลูกคิดว่าการหมั้นหมายครั้งนี้มารดาบังเกิดเกล้าอุตส่าห์กำหนดให้ นอกจากนั้นยังได้ยินว่าสกุลเหลียงของพวกเขาพอจะมีรากฐานในกรมปกครองอยู่พอสมควร ลูกไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก จึงกลัวว่าหากล้มเลิกการหมั้นหมายนี้แล้วจะส่งผลกระทบต่อการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งโยกย้ายท่านพ่อกลับมาเมืองหลวง…”
“สกุลเหลียงของพวกเขาเป็นใครมาจากไหน! จะมากระทบการโยกย้ายเลื่อนตำแหน่งของบิดาได้!” หมิงถิงหย่วนระเบิดโทสะดุจอสนีบาต แม้แต่คำว่า ‘บิดา’ ก็หลุดโพล่งออกมาจากปาก
“ท่านพ่ออย่าได้โมโหจนเสียสุขภาพเลยเจ้าค่ะ”
ดูสิ ป่านนี้แล้วยังเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะโมโหจนเสียสุขภาพอยู่อีก บุตรสาวของเขาสะโอดสะอง รู้วิชา เข้าใจขนบมารยาท อ่อนโยนสง่างาม ทั้งยังรู้จักเห็นแก่ภาพรวม ยึดถือความกตัญญูเป็นที่ตั้ง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของกุลสตรีตระกูลมีชื่อเสียงอย่างหาตัวจับยาก ไหนเลยจะยอมให้เจ้าเด็กโง่เง่าไร้คุณธรรมของสกุลเหลียงมาย่ำยีได้เยี่ยงนี้!
“อาถานไม่ต้องกลัว เรื่องนี้พ่อจะจัดการให้เอง” เพลิงโทสะในใจของหมิงถิงหย่วนลุกโชนถึงขีดสุด ไม่ทนรอแม้แต่เพียงชั่วครู่ พอพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อพุ่งปรี่ออกไปจากประตูทันที
“ท่านโหว! ท่านโหว!”
เผยซื่อเรียกเขาไว้ไม่ทัน นางรีบปลอบใจหมิงถานด้วยสุ้มเสียงนุ่มละมุนว่า “อาถาน เรื่องนี้ท่านโหวจะต้องจัดการให้แน่นอน แต่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้ก็คงไม่ดี เจ้าไม่ต้องกังวลไป ให้ซู่ซินกับลวี่เอ้อปรนนิบัติเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปพูดกับท่านโหวสักประเดี๋ยว”
หมิงถานเองก็คิดเช่นนี้ หยาดน้ำตาบนใบหน้านางยังไม่ทันแห้งก็พยักหน้าพลางเอ่ย “ท่านแม่ ท่านต้องโน้มน้าวท่านพ่อให้ได้นะเจ้าคะ”
เผยซื่อมิได้พูดอันใดมาก เพียงรีบเร่งไล่ตามออกไปโดยเร็ว
ซู่ซินกับลวี่เอ้อฟังเสียงร้องไห้เสียงตวาดอยู่นอกเรือนมาพักใหญ่ ในใจจึงอดเป็นห่วงเป็นใยมิได้ พอได้รับคำสั่งจากเผยซื่อก็รีบเร่งวิ่งเข้าไปในห้องทันที
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ!”
“คุณหนูไม่…” ซู่ซินยังไม่ทันพูดจบก็หยุดชะงักอยู่กับที่ในทันใด
ภายในห้องเงียบสงัด
อาหารจานเลิศเต็มโต๊ะกว่าครึ่งยังไม่ถูกแตะต้อง
คุณหนูของนางนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ใช้มือพัดดวงตาไปพลางรินน้ำชาให้ตนเองอย่างเนิบช้าไปพลาง
“…ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ” ซู่ซินพูดครึ่งประโยคหลังจบอย่างไม่รู้ตัว
หมิงถานเอ่ยตอบ “ไม่เป็นไรมากหรอก แค่ผ้าเช็ดหน้าที่เจ้าจุ่มน้ำกระเทียมกลิ่นแสบฉุนไปสักหน่อย”