เมื่อหมิงถานแสดงละครฉากใหญ่นี้จบ สิ่งที่ทำได้ต่อจากนี้ก็คืออยู่เฉยๆ รอคอยข่าวดี
อีกด้านหนึ่ง หมิงถิงหย่วนรีบเดินปรี่ออกจากประตู เผยซื่อก็ไล่ตามไปอย่างรีบร้อนลนลาน ยกเหตุผลมาพูดเกลี้ยกล่อมเขา โน้มน้าวหมิงถิงหย่วนที่เกือบจะพุ่งพรวดตรงไปยังจวนลิ่งกั๋วกงเอาไว้ได้ในที่สุด
เขานึกถึงจดหมายที่เขียนบอกไว้ว่าสองพี่น้องคู่นั้นถูกพาตัวกลับมาเมืองหลวงแล้ว สามารถไปสอบสวนต่อหน้าได้ทุกเมื่อ เผยซื่อจึงสั่งให้คนตระเตรียมรถม้า คิดจะแวะไปที่จวนชางกั๋วกงกับหมิงถิงหย่วนสักครา
การไปเยือนจวนชางกั๋วกงในครั้งนี้ ประการแรกแน่นอนว่าต้องการไปเจอสองพี่น้องคู่นั้น ทำความเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดด้วยตนเอง ประการที่สองชางกั๋วกงไป๋จิ้งหยวนเป็นลุงแท้ๆ ของหมิงถาน การแต่งงานนี้ไป๋ซื่อน้องสาวของเขาเป็นผู้กำหนดไว้เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากได้หารือเรื่องการถอนหมั้นกับเขาก่อน ก็ยิ่งแสดงออกถึงมิตรภาพระหว่างทั้งสองจวนได้มากขึ้น
เรื่องที่จวนจิ้งอันโหววางแผนจะถอนหมั้น จวนลิ่งกั๋วกงยังคงไม่รู้เรื่องราวแม้แต่น้อย แต่พอได้ข่าวว่าจิ้งอันโหวเดินทางกลับถึงเมืองหลวงแล้ว หลี่ซื่อฮูหยินของลิ่งกั๋วกงย่อมรู้ดีว่าความลับไม่มีในโลก ถ้าหากอยากจะรักษาการแต่งงานครั้งนี้เอาไว้ เรื่องในจวนตนเองก็จะถ่วงเวลาเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป
นางสั่งให้บ่าวรับใช้จัดเก็บสัมภาระตระเตรียมรถม้าตั้งแต่เช้าตรู่อย่างไม่บอกไม่กล่าวล่วงหน้า เตรียมตัวจะส่งคนออกไปจากเมืองหลวง
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จูเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าป้าไม่สงสารเจ้า ป้ากับญาติผู้พี่เจ้าก็คิดหาวิธีมากมาย เพียงแต่…” หลี่ซื่อมองสตรีที่เดินร้องไห้เข้ามาในห้องของตนและยามนี้ตัวอ่อนเปลี้ยทรุดนั่งลงกับพื้นไปแล้ว เอ่ยด้วยความสงสารเวทนา “เจ้าพาหมิ่นเกอเอ๋อร์ไปอยู่ที่ลี่โจวสักระยะหนึ่งก่อน รอให้คุณหนูสกุลหมิงแต่งเข้าจวนมาแล้ว สองสามีภรรยาเริ่มมีความรักความผูกพันกัน แล้วค่อยบอกเรื่องของเจ้ากับหมิ่นเกอเอ๋อร์ให้นางรู้ เดี๋ยวก็มีโอกาสให้ปรึกษาหารือกันเองนั่นล่ะ”
“รอจนเริ่มมีความรักใคร่ผูกพัน ทางคุณหนูสกุลหมิงผู้นั้นจะยอมให้รับอนุภรรยาหรือเจ้าคะ” สตรีที่ถูกเรียกว่า ‘จูเอ๋อร์’ น้ำตาไหลอาบแก้มไม่ยอมหยุด “เมื่อมีภรรยาคนงามอยู่ในอ้อมกอด พอถึงยามนั้นญาติผู้พี่มีหรือจะจำจูเอ๋อร์ได้!”
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” เหลียงจื่อเซวียนรีบลุกพรวดขึ้นมา
หลี่ซื่อตวัดสายตามองเขาปราดหนึ่ง บอกเป็นนัยให้เขาหุบปาก ต่อมาก็หันไปหาจูเอ๋อร์ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “หมิ่นเกอเอ๋อร์เป็นบุตรชายคนโตของญาติผู้พี่เจ้า แล้วเจ้าก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดหมิ่นเกอเอ๋อร์ เขาจะจำเจ้าไม่ได้ได้อย่างไร ที่ต้องจัดการเช่นนี้ ทั้งหมดก็เพื่ออนาคตของญาติผู้พี่เจ้า อนาคตของญาติผู้พี่เจ้าก็คืออนาคตของหมิ่นเกอเอ๋อร์ หลักเหตุผลง่ายๆ เช่นนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”
พอฟังถึงตรงนี้จูเอ๋อร์ก็หยุดร้องไห้ มองไปทางหลี่ซื่อด้วยแววตาวาววับหยาดน้ำตา
“เอาล่ะ ป้าได้จัดเตรียมที่พักที่ลี่โจวเอาไว้ให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าก็พำนักอย่างสบายใจเถิด พอถึงตอนนั้น ญาติผู้พี่ของเจ้าจะรับพวกเจ้าสองแม่ลูกกลับเมืองหลวงอย่างมีหน้ามีตาเอง”
จูเอ๋อร์ยังคิดจะเรียกร้องอันใดบางอย่างอีก ทว่าหลี่ซื่อกลับหลุบตาทั้งสองข้างลง ยกถ้วยชาขึ้นมา แสดงออกชัดเจนว่าการสนทนาสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ ไม่ยินดีจะเจรจาอันใดอีก
บ่าวรับใช้ซึ่งยืนรออยู่อีกด้านเห็นดังนั้นก็เดินเข้าไปจับตัวจูเอ๋อร์ไว้ หนึ่งคนกดหนึ่งข้าง จากนั้นก็กึ่งดึงกึ่งลากพาตัวนางออกไป
“ญาติผู้พี่! ญาติผู้พี่!…” จูเอ๋อร์มองไปทางเหลียงจื่อเซวียนด้วยความอาลัยอาวรณ์ ซ้ำยังตะโกนเรียกเขาไม่หยุด
เหลียงจื่อเซวียนทนดูไม่ไหว ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองก็รักใคร่ลึกซึ้งร่วมเรียงเคียงหมอนด้วยกันมานาน พอจูเอ๋อร์ออกไปจากเรือนแล้ว เขาก็อดพูดขอความเมตตามิได้ “ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่มีหนทางให้ไกล่เกลี่ยเลยหรือ ญาติผู้น้องนาง…”
“ก็เพราะผลกรรมที่เจ้าก่อนั่นล่ะ!” หลี่ซื่อวางถ้วยชาลงอย่างรุนแรง ตะคอกด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เจ้าเองก็ไสหัวกลับไปเรียกสติตนเองกลับมาเสีย อย่ามาเกะกะขวางหูขวางตาข้า!”
อยู่ข้างนอกเหลียงจื่อเซวียนเป็นคุณชายสูงศักดิ์งามสง่า แต่ยามอยู่ในจวนเขากลับไม่กล้าโต้แย้งมารดาแม้แต่ครึ่งคำ เพียงตวาดเขาสักหน่อยเขาก็ตกใจกลัวจนรีบคารวะลวกๆ แล้วผลุนผลันออกไปทันที
หลี่ซื่อจ้องมองแผ่นหลังของเหลียงจื่อเซวียน จากนั้นก็หลับตาลง ปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นที่สุด