ในบรรดาฮูหยินทั้งหลาย นางได้ชื่อว่าเป็นคนที่ทำอะไรเด็ดขาดเฉียบคมยิ่ง
ก่อนจะเริ่มงานเลี้ยงที่วังหลวงในวันนั้น นางกำลังครุ่นคิดอยู่พอดีว่าจะแต่งอาถานแห่งสกุลหมิงกลับจวนอย่างราบรื่นอย่างไรดี ตอนออกจากวังนางเห็นไกลๆ ว่าหมิงถานไม่ได้ขึ้นรถม้าของจวนสกุลโหว แต่เดินทางกลับออกไปพร้อมกับไป๋หมินหมิ่น ในใจจึงผุดแผนการขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
นางสั่งให้คนแอบตามไปห่างๆ จากนั้นก็กลับจวนไปอธิบายให้เหลียงจื่อเซวียนฟังว่าการแต่งงานครั้งนี้มีความสำคัญเพียงไร แล้วฐานะของพวกเขาในตอนนี้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพียงใด
จากนั้นบ่าวรับใช้ก็มารายงานว่าพอหมิงถานกับไป๋หมินหมิ่นออกไปจากหอทิงอวี่ ก็ได้ไปที่ถนนริมน้ำหนานอวี้ นางจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็วฉับไว วางแผนละครฉากช่วยคนตกน้ำออกมา
หากเรื่องนี้สำเร็จอย่างที่นางวางแผนไว้ก็จะยินดีเปรมปรีดิ์กันทั้งสองฝ่าย ทั้งไม่ทำให้เสียการแต่งงาน และยังสามารถใช้สิ่งนี้เป็นหมากให้พวกจูเอ๋อร์สองแม่ลูกอยู่ที่นี่ต่อไปได้ แต่ไหนเลยจะรู้ว่าบุตรชายของนางผู้นี้มือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำ ทำตามแผนการไม่สำเร็จราบรื่นก็แล้วไป ซ้ำยังต้องแบกหน้ารับว่าเป็นคนตกน้ำอีก
แผนการไม่สำเร็จ มิหนำซ้ำจิ้งอันโหวยังกลับมารวดเร็วเช่นนี้ นางยังจะทำอันใดได้อีกเล่า ก็มีแต่ต้องใช้แผนสำรองนี้ ทำให้พวกจูเอ๋อร์สองแม่ลูกหายไปเท่านั้น!
นางอึดอัดคับใจจนกระทั่งถึงเวลาอาหารกลางวัน บ่าวรับใช้ก็มารายงานว่า “ฮูหยิน คุณหนูญาติผู้น้องกับคุณชายน้อยออกจากเมืองหลวงไปแล้วเจ้าค่ะ”
ก้อนหินที่ลอยค้างเติ่งอยู่ในใจของหลี่ซื่อจึงวางลงได้ในที่สุด นางโบกมืออย่างเหนื่อยเพลียเล็กน้อย เป็นคำสั่งให้บ่าวรับใช้ออกไป คิดจะอยู่เงียบๆ สักพัก
ระยะทางจากเมืองหลวงถึงลี่โจวจะว่าไกลก็ไม่ไกล จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ หากลงแส้ม้าเร็วเพียงสองวันก็เดินทางถึง ส่วนรถม้าอาจจะช้ากว่าสักหน่อย ต้องใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน
นั่งรถม้าโคลงเคลงเมื่อยล้ามาตลอดเส้นทาง ยามนี้ได้ห่างออกจากความเจริญมั่งคั่งคึกคักของเมืองหลวงแล้ว ตั้งแต่รถม้าเดินทางออกจากเขตเมืองหลวง พวกบ่าวรับใช้ก็เริ่มเกียจคร้านจะปรนนิบัติรับใช้อย่างเห็นได้ชัด ความไม่พอใจในใจของจูเอ๋อร์ก็ยิ่งทวีมากขึ้น
“แม่นาง วันนี้ก็พักแรมที่นี่เถิด ทางข้างหน้าไปลำบาก หากยังเดินทางไปต่อ คงยากจะหาโรงเตี๊ยมได้ทันก่อนฟ้ามืด”
จูเอ๋อร์เลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น มองสำรวจอยู่แวบหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ที่นี่ซอมซ่อถึงเพียงนี้ จะให้พักค้างแรมได้อย่างไร”
เหน็ดเหนื่อยกันมาตลอดทั้งวัน พวกบ่าวรับใช้ไม่มีแก่ใจจะรับมือกับคุณหนูญาติผู้น้องที่ถึงแม้จะให้กำเนิดบุตรแต่ก็ถูกกำหนดให้แต่งเข้าจวนไม่ได้ผู้นี้อีกต่อไป จึงตอบกลับไปด้วยท่าทางรำคาญใจว่า “หากท่านไม่พักก็เดินทางไปเองแล้วกัน”
“เจ้า!”
บ่าวรับใช้บิดขี้เกียจเล็กน้อย แล้วเดินเข้าโรงเตี๊ยมไปโดยไม่สนใจนางโดยสิ้นเชิง แม่นมเองก็เดินลงมาจากรถม้าอีกคนหนึ่ง อุ้มเด็กน้อยที่กำลังหลับสนิทเดินเข้าไปเช่นกัน
จูเอ๋อร์จนปัญญา จึงจำต้องลงมาจากรถม้า
นางตามเข้าโรงเตี๊ยมไป คิดอยากจะเดินเข้าไปดูบุตรของตน แต่แม่นมกลับเบี่ยงหลบไปอีกด้านไม่ยอมให้นางดู “แม่นาง ฮูหยินกำชับนักกำชับหนาว่าให้ข้าดูแลคุณชายน้อยให้ดีๆ ไม่ต้องให้ท่านลำบากหรอกเจ้าค่ะ ท่านก็รีบพักผ่อนเสีย”
จูเอ๋อร์เอ่ยว่า “หมิ่นเกอเอ๋อร์เป็นลูกของข้า เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!”
แม่นมอุ้มเด็กน้อยเข้าไปพักผ่อนในห้องเหมือนกับบ่าวรับใช้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้สนใจไยดีนางอีก
จูเอ๋อร์รับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างได้รางๆ หัวใจทั้งดวงของนางเย็นเยียบไปในชั่วพริบตา
นางนั่งกระแทกลงไปราวกับกำลังระบายโทสะ นิ่งเหม่ออยู่หน้าโต๊ะพักใหญ่ อาหารใกล้จะเย็นชืดหมดแล้ว นางถึงเพิ่งจะหยิบตะเกียบขึ้นมา
แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเตือนของบุรุษแปลกหน้าดังขึ้นมาจากโต๊ะด้านหลัง “อาหารนั่นถูกวางยา อย่ากิน”
จูเอ๋อร์ตัวแข็งทื่อไปโดยพลัน จะหันหน้าไปตามคำสั่งจากจิตใต้สำนึก
คนผู้นั้นพูดขึ้นอีกครั้ง “อย่าหันมา มีคนจับตาดูอยู่”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘วางยา’ แล้วก็ ‘มีคนจับตาดูอยู่’ จูเอ๋อร์ก็แตกตื่นลนลานในทันใด หัวสมองนางก็สับสนยุ่งเหยิง ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อถ้อยคำที่คนข้างหลังพูดหรือไม่
ประจวบเหมาะกับยามนี้นางเหลือบเห็นแมวจรจัดตัวหนึ่งกำลังเดินหาอาหารอยู่ใต้โต๊ะ นางจึงฉวยจังหวะแสร้งทำเป็นคีบตะเกียบไม่มั่น ทำอาหารตกลงไป
แมวจรจัดตัวนั้นส่งเสียงร้องอยู่สองสามที ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ อย่างเกียจคร้าน มันเลียอาหารอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ต่อจากนั้นก็เคี้ยวอาหารที่อยู่บนพื้นลงไป ค่อยๆ ละเลียดกิน แต่ว่าผ่านไปพักใหญ่แมวจรจัดก็ยังไม่มีอาการผิดปกติอันใด