ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา
ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา บทที่ 56-57
เผ่ามารกำลังจะมารุกราน คนที่มีพลังวัตรสูงส่งลึกล้ำเช่นมู่หวาฮุย หลิงซิงเหยาล้วนถูกเจ้าเมืองโจวส่งคนมาเชิญไปปรึกษาหารือเรื่องจัดวางกำลังป้องกัน ส่วนติงเล่อเซวียน แม้นางก็เป็นศิษย์สำนักหมิงหวา แต่พลังวัตรเพิ่งอยู่ขั้นสร้างฐาน ดังนั้นจึงไม่ได้ไปด้วย
ติงเล่อเซวียนจึงอยู่ในห้องของตนเข้าฌานฝึกวิชา
หลังจากฝึกวิชาได้พักใหญ่ นางรู้สึกคอแห้งจึงลุกขึ้นมารินน้ำชาถ้วยหนึ่งเดินไปที่ข้างเตียง ร่างเอียงพิงกับผนังด้านข้างมองทัศนียภาพในลานพลางดื่มน้ำชา
จากนั้นนางก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งเข้าประตูลานมาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ แล้วค้อมเอวหันหลังให้นาง นั่งยองลงไปที่หน้าประตูห้องพักของศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่รู้กำลังทำอะไร
ผ่านไปครู่หนึ่งคนผู้นี้ก็ยื่นมือไปผลักประตูห้องให้เปิดออกเบาๆ แล้วหลบเข้าไปในห้อง
เมื่อครู่ติงเล่อเซวียนยังคิดอยู่ว่าคนผู้นี้คือใครกัน หรือจะมาหาศิษย์พี่ใหญ่ มาบัดนี้เห็นเขาเข้าไปในห้อง ในใจของนางเริ่มตื่นตัวขึ้นมาทันที
ถ้ามาหาคนย่อมต้องเคาะประตูก่อน รออีกฝ่ายอนุญาตแล้วจึงค่อยเข้าไป แต่ยามนี้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่ในห้อง คนผู้นี้กลับเข้าไปโดยพลการ ต้องไม่ใช่คนดีแน่นอน
จึงคิดจะเข้าไปซักถามคนผู้นี้ที่แท้แล้วคือใคร เพราะเหตุใดจึงเข้าไปในห้องของศิษย์พี่ใหญ่ของนางโดยพลการ
ในเวลานี้เอง นางก็เห็นนกกระเรียนกระดาษสีขาวตัวหนึ่งบินลอดร่องประตูที่ปิดไม่สนิทออกมาอย่างอ่อนช้อย
ติงเล่อเซวียนจำได้ว่านี่เป็นนกกระเรียนวิเศษที่ในสำนักหมิงหวาของพวกนางใช้ในการทิ้งข้อความไว้หรือแจ้งข่าวให้ทราบ อดรู้สึกเย็นเฉียบในใจไม่ได้
ในห้องจะต้องมีคนอื่นอยู่แน่นอน ทั้งยังเป็นศิษย์สำนักหมิงหวาของนาง
ศิษย์น้องอวิ๋นแยกไปอยู่กับพี่ชายของนาง ไม่ได้อยู่ที่นี่ ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่หลิงต่างถูกเจ้าเมืองโจวเชิญไป คนที่อยู่ในห้องผู้นั้นจะต้องเป็นเมิ่งถัง
ด้วยนิสัยของเมิ่งถัง เห็นคนที่ไม่รู้จักบุกเข้าไปในห้องโดยพลการจะต้องไม่พูดพร่ำทำเพลงชักกระบี่ออกมาทันที แต่เวลานี้ในห้องกลับเงียบกริบมีเพียงนกกระเรียนกระดาษบินออกมา…
เป็นเมิ่งถังกำลังขอความช่วยเหลือ!
แม้จะไม่รู้ความเป็นมาของบุรุษผู้นั้น อีกทั้งพลังวัตรของเขาสูงหรือต่ำ แต่เมื่อนึกถึงว่าก่อนหน้านี้เมิ่งถังมีบุญคุณในการช่วยคุ้มครองตน ติงเล่อเซวียนลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่ยังคงเรียกกระบี่คู่กายของตนออกมา ตั้งใจจะไปดูสักหน่อย
แต่ในเวลานี้เรื่องที่ทำให้นางตื่นตระหนกก็เกิดขึ้นแล้ว
นางเห็นอวิ๋นชูเยวี่ยเดินเข้าประตูลานมา กระบี่ฉานเสวี่ยในมือวาดขึ้น ไอกระบี่ก็จู่โจมเข้าไปที่นกกระเรียนกระดาษอย่างแม่นยำ
นกกระเรียนกระดาษขาดเป็นสองท่อน ค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้น
อวิ๋นชูเยวี่ยเดินเข้าไปเก็บนกกระเรียนกระดาษที่ขาดขึ้นมาเก็บไว้ในแขนเสื้อ มองไปที่ห้องพักของมู่หวาฮุยแวบหนึ่ง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเยียบเย็นยิ่ง
จากนั้นนางหมุนตัวเดินจากไปเฉกเช่นตอนมา เงาร่างหายลับไปจากประตูลานอย่างรวดเร็ว
ติงเล่อเซวียนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้กับตา นัยน์ตาทั้งสองเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง ครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมา
อวิ๋นชูเยวี่ยลงมือฟันนกกระเรียนกระดาษที่เมิ่งถังส่งออกมาจนขาด นี่นางต้องการจะขัดขวางการขอความช่วยเหลือของเมิ่งถัง
นางทำเช่นนี้ได้อย่างไร
รอได้สติกลับคืนมาติงเล่อเซวียนก็รีบเปิดประตูวิ่งออกไปข้างนอก
ในใจร้อนรน เท้าไม่ทันระวังเตะถูกกระถางต้นสนที่วางอยู่ในลานใบหนึ่งล้มลงเกิดเสียงดังสนั่น นิ้วเท้าของนางก็ปวดหนึบๆ เพราะสาเหตุนี้
แต่เวลานี้ติงเล่อเซวียนไม่มีเวลาจะมาคำนึงถึงเรื่องนี้ ยังคงถือกระบี่วิ่งตะบึงไปยังห้องพักของมู่หวาฮุย
เมื่อมาถึงด้านนอกประตู นางหยุดฝีเท้าลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง
จากนั้นนางขวางกระบี่ไว้ตรงหน้าอก ยกเท้าถีบประตูสองบานตรงหน้าให้เปิดออก
เข้าไปในห้องอย่างระแวดระวัง มองไปรอบๆ ไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว
กลับมีหน้าต่างบานหนึ่งเปิดกว้างอยู่ ลมจากข้างนอกพัดกรูเข้ามา
ติงเล่อเซวียนใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะ แล้วหมุนตัววิ่งออกนอกประตูไป
ไม่ว่าอย่างไรเมิ่งถังก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักของนาง นางไม่อาจนิ่งดูดายมองเมิ่งถังถูกคนชั่วจับตัวไปเด็ดขาด
เพียงแต่ด้วยพลังวัตรของนางไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำไม่ได้ ภาระเร่งด่วนในตอนนี้คือไปหาศิษย์พี่ใหญ่ บอกให้เขารู้ถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น
เมิ่งถังศีรษะห้อยลงถูกฟ่านตูแบกอยู่บนบ่าวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด สั่นคลอนจนนางแทบทนไม่ไหว ยาวิเศษที่เพิ่งดื่มลงไปชามนั้นแทบจะขย้อนออกมา
แต่ที่แปลกก็คือทั้งที่ข้างกายมีคนผ่านไปมาอยู่เสมอ แต่กลับไม่มีใครมองมาทางนางกับฟ่านตูแม้แต่แวบเดียว
เมิ่งถังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พอเข้าใจแล้วว่านี่เป็นเพราะเหตุใด
เมื่อครู่ตอนฟ่านตูแบกนางกระโดดออกจากหน้าต่าง เคยยกมือเอาเสื้อคลุมสีดำตัวกว้างใหญ่ตัวหนึ่งคลุมลงมาปิดคลุมเงาร่างของพวกนางสองคนตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้าทั้งหมด
ฟ่านตูผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ หลายปีมานี้เที่ยวเร่ร่อนไปทั่วทุกหนแห่งในแดนบำเพ็ญเซียน ในมือจะต้องมีของล้ำค่าบางอย่างที่ทำให้คนคาดคิดไม่ถึงเป็นแน่
อย่างเช่นพวกเสื้อคลุมล่องหนทำให้คนมองไม่เห็นเขาจำพวกนั้น
แต่ต่อให้เสื้อคลุมล่องหนร้ายกาจเพียงใด ก็ใช่จะสามารถอำพรางสิ่งของทุกอย่างได้
ครั้นแล้วเมิ่งถังก็อดทนต่อความเจ็บปวดจากการถูกย้อนทำร้ายรวบรวมปราณวิเศษที่มีอยู่เท่าที่นางสามารถใช้ออกมาได้ในตอนนี้ กรีดปลายนิ้วมือของตนเป็นแผลลึก
โลหิตหยาดหยดกระจายลงบนพื้นถนนเป็นทาง
เมิ่งถังที่สติเริ่มเลอะเลือนเพราะเสียโลหิตมากไป คิดอยู่ในใจ มีถนนโลหิตสายนี้คอยชี้นำ รอศิษย์พี่พบว่านางหายตัวไปก็รู้ว่าควรไปหานางที่ใดกระมัง
ฟ่านตูไม่ได้สังเกตเห็นการกระทำเล็กน้อยของเมิ่งถัง
ประการแรกเขาแบกเมิ่งถังอยู่ ร่างครึ่งบนของเมิ่งถังจึงห้อยไปทางด้านหลังของเขา ประการที่สองตอนนี้เขาตื่นเต้นมาก กลัวว่ามู่หวาฮุยจะไล่ตามมาได้ตลอดเวลา ดังนั้นจึงวิ่งห้อตะบึงไปตลอดทาง
เมื่อมาถึงรอบนอกเขตหวงห้ามก็ไม่ผิดจากที่คาดเขาถูกม่านอาคมไร้รูปกั้นขวาง ไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้อีกแม้ก้าวเดียว
รีบหยิบอาวุธวิเศษในแหวนเก็บทรัพย์ออกมากุมไว้ในมือแล้วยื่นไปข้างหน้า
ฉับพลันนั้นก็มีระลอกคลื่นวงหนึ่งค่อยๆ กระจายออกไป ในเวลาเดียวกันนั้นอาวุธวิเศษในมือก็กลายเป็นผุยผงไปทันที
ฟ่านตูไม่กล้าชักช้า แบกเมิ่งถังยกเท้าก้าวข้ามเข้าไปในระลอกคลื่น เข้าไปในม่านอาคมได้สำเร็จ
และในเวลาเดียวกันนั้นเสื้อคลุมตัวนั้นก็ประดุจหิมะเจอไฟ พริบตาเดียวก็สลายไปไม่เห็นแล้ว
ในใจของฟ่านตูรู้สึกโล่งอก