เสื้อคลุมนี้แม้จะสามารถอำพรางร่างคนได้ แต่กลับมีขีดจำกัดของเวลา ในที่สุดเขาก็เข้ามาในเขตหวงห้ามได้อย่างฉิวเฉียดก่อนที่เสื้อคลุมจะสลายไป หาไม่ให้คนเห็นเขาแบกเมิ่งถังอยู่ ต่อให้เขาเอากระบี่เซียนเล่มนั้นมาได้ เกรงว่าวันหน้าเขายังไม่ทันได้เข้าเมืองฝูเหลียงก็คงถูกมู่หวาฮุยหรือคนของสำนักหมิงหวาสังหารก่อนแล้ว
แต่ถึงจะเข้ามาได้แล้ว ฟ่านตูก็ยังคงไม่กล้าประมาท
เขาเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับที่มาของเขตหวงห้ามในเมืองเหิงหยางแห่งนี้ ดังนั้นถึงแม้เวลานี้สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาจะดูสงบเงียบ แต่เขายังคงแบกเมิ่งถังเดินไปอย่างระมัดระวัง
กระทั่งเห็นถ้ำบนภูเขาแห่งหนึ่ง ตั้งจิตออกไปตรวจสอบ หลังจากรู้ว่าในถ้ำไม่มีอันตรายก็รีบแบกเมิ่งถังเข้าไปในถ้ำ
จากนั้นเขาก็โยนเมิ่งถังเข้าไปในถ้ำส่งๆ หยิบสิ่งของหน้าตาคล้ายหินวิเศษออกมาจากแหวนเก็บทรัพย์ แล้วจัดวางไปตามทิศทางต่างๆ เหนือใต้ออกตกสร้างค่ายกลที่สามารถกางม่านอาคมใหญ่และแข็งแกร่ง อำพรางลมหายใจได้แห่งหนึ่งขึ้นมา แล้วจึงถอยกลับเข้าไปในถ้ำ นั่งลงกับพื้นพิงผนังถ้ำราวกับรอดพ้นแล้วเช่นนั้น
เมิ่งถังยังคงไม่อาจเคลื่อนไหว
อีกทั้งเพราะเมื่อครู่ตอนฟ่านตูโยนนางเข้ามาได้ทิ้งร่างนางลงล่าง ส่งผลให้นางในตอนนี้นอนคว่ำอยู่ที่พื้น
ยังดีที่ใบหน้าเอียงอยู่ไม่ถึงกับร่วงลงมาอยู่ในท่าหน้าทิ่มพื้น
แต่เมิ่งถังยามนี้รู้สึกว่านางอยากจะร่วงลงมาอยู่ในท่าหน้าทิ่มพื้นยังจะดีกว่า
เพราะใบหน้าของนางในตอนนี้เอียงไปยังทิศทางที่ฟ่านตูนั่งอยู่พอดี
ถูกบีบบังคับให้ต้องมองคนผู้นี้อยู่ตลอดเวลาทำให้หงุดหงิด เมิ่งถังหลับตาทั้งสองข้างลงเสียเลย ไม่เห็นเสียก็สิ้นเรื่อง ในใจเพียงภาวนาให้มู่หวาฮุยรีบมาช่วยนาง
ฟ่านตูนั่งพิงผนังถ้ำหอบหายใจอยู่พักใหญ่ จึงรู้สึกว่าหัวใจที่แทบจะกระโดดออกมาจากหน้าอกเมื่อครู่ค่อยสงบลงบ้าง
ตอนนี้เขาจึงมีแก่ใจมาสำรวจตรวจตราถ้ำบนภูเขาแห่งนี้
แต่ถึงนอกถ้ำจะเป็นช่วงกลางวัน แสงสว่างภายในถ้ำก็ยังคงน้อยมาก เพียงพอให้มองเห็นสรรพสิ่งเท่านั้น
ฟ่านตูหยิบโคมไฟออกมาจากแหวนเก็บทรัพย์ดวงหนึ่ง ยกมือแขวนไว้กลางอากาศก็เห็นตัวถ้ำไม่ใหญ่มาก ผนังถ้ำเว้านูนไม่เรียบ ด้านบนมีเถาวัลย์เลื้อยเกาะและมีตะไคร่น้ำสีเขียวเข้ม
ดูแล้วที่นี่ไม่มีคนหรือสัตว์เข้ามาเป็นเวลายาวนานพอสมควรแล้ว
ฟ่านตูก็ยิ่งวางใจลง
ยามนี้เขาก็เห็นเมิ่งถังที่นอนคว่ำอยู่บนพื้น
โคมไฟดวงนั้นลอยอยู่ด้านข้างเหนือศีรษะนาง ดังนั้นฟ่านตูจึงเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน
แก้มและหน้าผากมีดินโคลนติดอยู่เล็กน้อย คิดว่าเมื่อครู่ตอนโยนนางลงมาคงถูโดนกับพื้น แต่ส่วนอื่นบนใบหน้าของนาง อีกทั้งหัวไหล่และหลังด้านขวาที่โผล่ออกมานอกเสื้อ เพราะเมื่อครู่ตอนแบกนางคอเสื้อได้รั้งลงมาโดยไม่ได้เจตนาเผยลาดไหล่ที่ล้วนเกลี้ยงเกลาขาวผ่องดุจหิมะแรกตก
มีอยู่ช่วงหนึ่งฟ่านตูเคยฝึกฝนวิชาร่วมอภิรมย์กับศิษย์หญิงระดับล่างสองคนของสำนักเหอฮวน และรู้ถึงเคล็ดวิชาการบำเพ็ญคู่ชายหญิง
หญิงสาวที่ชื่อเมิ่งถังผู้นี้รูปโฉมงดงามอย่างแท้จริง
อีกทั้งนางเป็นศิษย์ภายในของสำนักหมิงหวา พลังวัตรจะต้องไม่ด้อยอย่างแน่นอน ถ้าสามารถบำเพ็ญคู่ชายหญิงกับนางได้ เช่นนั้นพลังวัตรของเขาไยมิใช่จะเพิ่มพูนขึ้นอีกขั้นหนึ่งหรอกหรือ
อย่างไรเสียเผ่ามารจะบุกเข้าโจมตีเมืองอย่างน้อยต้องรอถึงตอนค่ำ ยามนี้ท้องฟ้าภายนอกยังกลางวันอยู่ อยู่ที่นี่ไปตลอดก็ยังต้องรออีกนาน ไม่สู้มาร่วมฝึกบำเพ็ญคู่ชายหญิงกับเมิ่งถังสักรอบ
ประการแรกช่วยเพิ่มพูนพลังวัตรของตนเอง ประการที่สองก็ถือเป็นการฆ่าเวลา
รอตกค่ำแล้วค่อยเอาตะปูวิญญาณชั่วร้ายปักเข้าไปในดวงจิตเมิ่งถังสังหารนางเสีย ช่วงชิงเอากระบี่เซียนของนางแล้วไปจากที่นี่ก็ไม่สาย
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ฟ่านตูก็เอามือเกาะผนังถ้ำลุกขึ้นมา จากนั้นเขาก็สาวเท้าเดินช้าๆ เข้ามาที่เมิ่งถัง
เมิ่งถังแม้สองตาจะหลับอยู่ แต่ยังคงได้ยินการเคลื่อนไหวรอบด้านได้ชัดเจน
ก็รู้ว่าฟ่านตูไม่เพียงยืนขึ้นมาแล้วยังเดินเข้ามาที่นาง
หรือฟ่านตูจะเข้ามาสังหารนาง จากนั้นก็ช่วงชิงชิงหลวน
หัวใจเต้นเร็วขึ้นทันที
นางพยายามเต็มที่ที่จะรวบรวมปราณวิเศษในร่าง คิดว่ารอฟ่านตูเข้ามาก็จะจู่โจมเขาคราเดียวถึงชีวิต