ตอนตายตายังไม่หลับ ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง ลูกนัยน์ตาหลุดออกมาจากเบ้า
ขณะเดียวกันใบหน้าของเขา ร่างกายของเขาก็เหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นก็เสื่อมสลายกลายเป็นกระดูกสีขาว
มู่หวาฮุยเหวี่ยงร่างเขาไปทางผนังถ้ำด้านหนึ่ง เสื้อผ้าไม่อาจปิดบังกระดูกสีขาวที่อยู่ใต้ร่างได้ กระดูกสีขาวบางส่วนถูกกระแทกกลายเป็นผุยผงในทันที ส่วนใหญ่หลังจากแตกหักก็ร่วงลงสู่พื้น
มู่หวาฮุยหาได้มองแม้แต่แวบเดียว หากแต่หลุบตามองไอหมอกสีขาวในฝ่ามือกลุ่มนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็รวบฝ่ามือเข้าหากันแน่นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก ไอมารสีดำลอยขึ้น ไอหมอกสีขาวถูกกลืนไปหมดสิ้น
ความจริงแดนบำเพ็ญเซียนมีวิชาลี้ลับอยู่แขนงหนึ่ง ดูดจิตวิญญาณของผู้อื่นออกมาทั้งเป็น จิตวิญญาณที่ดูดออกมาอาจจะปิดผนึกไว้ หรือทำให้จิตวิญญาณแหลกสลาย คนที่ไม่มีจิตวิญญาณเช่นนี้ก็จะไม่อาจเข้าสู่วัฏสงสารได้อีก
เดิมวิชาลี้ลับเช่นนี้ใช้จัดการคนชั่วช้าสามานย์ แต่ผู้บำเพ็ญเซียนพึงมีจิตเมตตากรุณา ด้วยเหตุนี้วิชานี้จึงค่อยๆ ถูกห้ามใช้ กระทั่งในบรรดาชนรุ่นหลังมีมากมายที่ไม่รู้ว่ามีวิชาเช่นนี้
มู่หวาฮุยเองแต่ก่อนก็บังเอิญอ่านเจอจากตำราลับเล่มหนึ่งในหอเก็บตำราของสำนักหมิงหวา แต่เขาไม่เคยฝึกฝน เพียงอ่านแล้วก็แล้วไป
เพียงแต่เขาสติปัญญาเฉลียวฉลาดยิ่ง อีกทั้งวิชาลี้ลับแขนงนี้ก็เพียงโหดเหี้ยม ความจริงแล้วฝึกฝนไม่ยาก ดังนั้นเมื่อครู่ภายใต้โทสะที่พุ่งสูงเทียมฟ้า มู่หวาฮุยนึกถึงตำราวิชาดังกล่าวที่เขาเคยอ่านขึ้นมาได้ ถึงกับฝึกฝนได้ในทันที ทั้งยังเรียนรู้เดี๋ยวนี้ใช้เดี๋ยวนี้กับฟ่านตูในทันใด
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ใช้วิชาลี้ลับโหดเหี้ยมขั้นนี้ ในใจของมู่หวาฮุยกลับไม่มีความลังเลหรือนึกเสียใจแม้แต่ครึ่งส่วน
เขาโน้มตัวลง โบกมือสลายม่านอาคมที่แผ่คลุมอยู่รอบตัวเมิ่งถัง
เมื่อครู่ตอนเขายื่นมือไปเค้นคอฟ่านตูได้สร้างม่านอาคมไว้รอบตัวเมิ่งถังชั้นหนึ่ง
ประการแรกเพราะไม่ต้องการให้ฟ่านตูมองสภาพของเมิ่งถังในยามนี้อีกแม้แต่แวบเดียว ประการที่สองจิตใต้สำนึกของเขาไม่อยากให้เมิ่งถังเห็นลักษณะท่าทางของเขาในเวลานี้
รอจนจัดการกับฟ่านตูเรียบร้อยแล้ว มู่หวาฮุยจึงสลายม่านอาคมออก
แม้ฟ่านตูจะตายไปแล้ว แต่เขาก็ได้เห็นเรือนร่างของเมิ่งถังในยามนี้แล้ว มู่หวาฮุยในใจยังคงอดไม่ได้ที่จะโทสะพุ่งสูงเทียมฟ้า
เจ้าคนต่ำทรามผู้นั้น เหตุใดจึงกล้ามีความคิดสกปรกโสมมต่อเมิ่งถังเช่นนี้ได้
ยื่นมือไปคว้าเมิ่งถังมากอดไว้ในอ้อมอกแน่น มู่หวาฮุยยกมือขึ้นลูบไล้แผ่นหลังเกลี้ยงเกลาของนางเบาๆ
รู้สึกได้ว่าเมิ่งถังขดตัวเล็กน้อย ในใจของมู่หวาฮุยทั้งโกรธแค้นและเวทนาสงสาร
รีบเปลี่ยนมาลูบไล้เรือนผมงามของนางเบาๆ ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรแล้ว”
เพียงแต่ตัวเขาเองกลับข่มกลั้นไม่อยู่ซุกหน้าลงตรงซอกคอนาง มือที่ลูบปลอบเมิ่งถังยังคงสั่นเทา
ไม่มีใครรู้เมื่อครู่ตอนจู่ๆ ติงเล่อเซวียนบุกเข้าไปหาเขา บอกเขาว่าเมิ่งถังถูกคนจับตัวไป ไม่รู้ถูกพาไปที่ใด ในใจเขามีความหวาดกลัวมากมายเพียงใด
เขาตามรอยเลือดหามาตลอดทาง ความห่วงกังวลและหวาดกลัวในใจแทบจะทำให้เขาควบคุมตนเองไม่อยู่ และย่อมควบคุมไอมารที่ปิดผนึกอยู่ในดวงจิตไม่ได้
รอยเลือดเป็นจุดๆ หายไปที่นอกม่านอาคมของเขตหวงห้าม มู่หวาฮุยไม่ลังเลแม้ชั่วขณะ ฟาดฟันม่านอาคมในกระบี่เดียว
เมื่อมาถึงด้านนอกถ้ำแห่งนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเมิ่งถัง แม้แต่กระบี่อู๋จี๋ก็ไม่ทันจะได้เรียกมา ใช้มือเปล่าฉีกม่านอาคมโดยตรง
เห็นเมิ่งถังเนื้อตัวเปล่าเปลือยนอนอยู่กับพื้นมองเขาน้ำตาไหลพราก เขาพลันสูญเสียสติสัมปชัญญะทั้งหมดไปในทันที
ดังนั้นฟ่านตูจึงสมควรตาย จิตวิญญาณแหลกสลายก็ไม่เกินไป
หลังจากความโกรธแค้นความเวทนาสงสารผ่านไปแล้ว ในใจของมู่หวาฮุยเต็มไปด้วยการตำหนิตนเอง
รู้ทั้งรู้ว่าเมิ่งถังในเวลานี้ไม่อาจใช้ปราณวิเศษได้ เหตุใดเขาจึงยังจะทิ้งนางไว้ตามลำพังผู้เดียว
ต่อให้เจ้าเมืองโจวเชิญเขาไปเพื่อปรึกษาหารือเรื่องต่อต้านมารแล้วอย่างไร ในโลกนี้เดิมก็ไม่มีเรื่องอันใดสำคัญยิ่งไปกว่าเมิ่งถังอีกแล้ว
เขาควรจะเฝ้าระวังอยู่ข้างกายเมิ่งถังตลอดเวลา เช่นนี้นางก็คงไม่ต้องได้รับความตื่นตระหนกตกใจเช่นนี้แล้ว
พริบตาถัดมาเขายกมือขวาขึ้นมาแล้ววางลงบนหน้าอกซ้ายของตนอย่างไม่ลังเล
เมิ่งถังแม้เวลานี้จะไม่สามารถขยับตัวได้ แต่เอนอิงอยู่ในวงแขนข้างซ้ายของมู่หวาฮุยก็ยังคงมองเห็นว่าเขากำลังทำอะไร
แล้วก็เห็นมู่หวาฮุยงอนิ้วมือขวาเป็นกรงเล็บ
ในฝ่ามือของเขาคล้ายมีแรงดึงดูดไร้รูป ผ่านไปครู่หนึ่งเมิ่งถังก็ได้ยินมู่หวาฮุยที่ปลายคางแตะอยู่บนศีรษะของนางแค่นเสียงหนักๆ ออกมาคำหนึ่ง
จากนั้นนางก็ตื่นตระหนกตกใจที่ได้เห็นโลหิตหยดหนึ่งลอยช้าๆ ออกมาจากหน้าอกข้างซ้ายของมู่หวาฮุย
เขากำลังเอาโลหิตที่หัวใจของตนออกมา!