บทที่ 60
ค่ายกลปกป้องเมืองถูกทำลาย เด็กและผู้ใหญ่ในเมืองเหิงหยางต่างส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก
เมิ่งถังเวลานี้จะอย่างไรก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนในขั้นหยวนอิง แม้สถานการณ์จะคับขันอันตรายเช่นนี้ แต่จะปกป้องตนเองย่อมไม่เป็นปัญหาแน่นอน
นอกจากนี้เพราะดวงจิตของชิงหลวนคือวิหคเทพอันเป็นลักษณะพิเศษ นางจึงขออาสากับมู่หวาฮุยไปกำจัดนกประหลาดบนท้องฟ้าเหล่านั้น
นกประหลาดบนฟ้าเหล่านี้แม้จะไม่มีพลังเข่นฆ่าสังหารมากเท่ามารกับมารอสูรเหล่านั้น แต่ส่งเสียงร้องแปลกประหลาด ‘แคกๆ’ บินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะผู้คนก็สร้างแรงกดดันให้กับคนอย่างมาก พวกมันยังพุ่งลงมา ไม่ก็ใช้กรงเล็บแหลมคมคว้าตัวคนบินขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็เหวี่ยงลงมา หรือไม่ก็อาศัยจะงอยปากที่แหลมคมจิกลงไปที่ตัวคนอย่างแรง ทุกคนล้วนมีเลือดเนื้อเป็นคนธรรมดาย่อมไม่อาจต้านทานได้ไหว
มู่หวาฮุยรู้ถึงกำลังความสามารถของเมิ่งถังในเวลานี้กลับไม่ได้ไม่อนุญาต เพียงกำชับนางให้ระมัดระวัง ไม่อาจฝืนกำลังเกินตัว ถ้ามีเรื่องอันใดให้รีบเรียกเขาทันที จากนั้นก็กุมกระบี่อู๋จี๋พุ่งไปที่นอกกำแพงเมือง
เมื่อเทียบกับการบุกเข้าโจมตีทัพใหญ่ของแดนมารที่รุกเข้าถึงนอกเมืองแล้ว เห็นได้ชัดว่าการจัดการกับเหล่านกประหลาดในเมืองดูจะปลอดภัยยิ่งกว่า
ก่อนหน้านี้แม้เมิ่งถังจะเคยผ่านการทำศึกมาหลายครั้ง แต่ยังคงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสถานการณ์การสู้รบที่ใหญ่โตเช่นนี้ ถ้าจะบอกว่าในใจไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยย่อมเป็นไปไม่ได้
แต่ถึงจะหวาดกลัวเพียงใดก็ต้องกัดฟันเข้าต่อสู้
กุมชิงหลวนไว้ในมือมั่น นางเหินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
พร้อมๆ กับที่นางเข้าสู่ขั้นหยวนอิง ชิงหลวนกับนางไม่เพียงนับวันยิ่งรู้ใจกัน พลังอำนาจอันน่าเกรงขามของมันในฐานะกระบี่เซียนก็ยิ่งปรากฏชัดมากขึ้น
บ่อยครั้งเมิ่งถังเพียงกวัดแกว่งมือออกไป ไอกระบี่สีมรกตจางๆ ประดุจลมพายุพัดโหม ผ่านไปทางใดไม่มีนกประหลาดอยู่รอดปลอดภัยแม้แต่ตัวเดียว
บางครั้งพบเห็นนกประหลาดก่อเหตุอยู่ในที่ไกลออกไป เมิ่งถังรุดไปช่วยไม่ทันก็ชูมือขว้างชิงหลวนออกไป ชิงหลวนพลันกลายร่างเดิมเป็นวิหคเทพพุ่งเข้าไปพ่นเปลวเพลิงออกจากปากทีเดียวก็จบเรื่องแล้ว
ภายใต้การสู้รบที่ดุเดือดเช่นนี้ นกประหลาดที่ยกกันมามืดฟ้ามัวดินไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าใด บินอยู่เหนือศีรษะปิดฟ้าบังเดือน ถึงกับถูกเมิ่งถังกับชิงหลวนกำจัดไปแล้วเจ็ดแปดส่วน สามารถมองเห็นท้องฟ้ายามราตรีที่ปลอดโปร่งและจันทร์เต็มดวงที่อยู่เหนือศีรษะได้แล้ว
เมิ่งถังลอบระบายลมหายใจยาวออกมา
เหลือเพียงเก็บกวาดงานในช่วงท้าย นางก็จะเร่งรุดไปที่นอกเมืองร่วมต่อต้านข้าศึกกับมู่หวาฮุยได้แล้ว
ในยามนี้เอง นางก็ได้ยินเสียงกรีดร้องเสียงแหลมดังขึ้นมาในหู
หันมองไปตามเสียงก็เห็นว่ามีนกประหลาดตัวหนึ่งรูปร่างใหญ่โตมาก สามารถเรียกได้ว่าเป็นจ้าวแห่งนกประหลาดเหล่านี้ได้เลย กำลังใช้กรงเล็บคู่หนึ่งคว้าจับอวิ๋นชูเยวี่ยแล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
แม้เมิ่งถังจะไม่ชอบอวิ๋นชูเยวี่ย แต่จะอย่างไรก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักย่อมไม่อาจนิ่งดูดายมองนางตายอยู่ตรงหน้าตนโดยไม่ช่วยเหลือ
นอกจากนี้เพราะเรื่องของชุยเย่า เมิ่งถังจึงรู้สึกอยู่เสมอว่าตนติดค้างอวิ๋นชูเยวี่ยอยู่หนึ่งชีวิต
ครั้นแล้วจึงรีบหมุนตัวพุ่งทะยานไปที่นกประหลาดตัวนั้น
แต่มาได้ครึ่งทางพลันเห็นโจวอิ้งเสวี่ยกำลังถูกนกประหลาดตัวหนึ่งโจมตีอยู่ หัวไหล่ซ้ายไม่เพียงถูกจะงอยปากแหลมคมของนกประหลาดตัวนั้นจิกได้รับบาดแผล มองเห็นโลหิตสดไหลไม่หยุด กระทั่งกระดูกขาวก็โผล่ออกมาเป็นที่น่าสะพรึงกลัว
แต่แม้กระนั้นก็ไม่เห็นโจวอิ้งเสวี่ยร้องออกมาแม้แต่คำเดียว หากแต่กัดฟันแน่น มือขวายังคงกวัดแกว่งกระบี่ไม่หยุด คิดจะสังหารนกประหลาดตัวนั้นให้ตาย
เรื่องราวย่อมแบ่งเป็นหนักเบาเร่งด่วน อีกทั้งโจวอิ้งเสวี่ยแม้อยู่ห่างจากตนแต่ก็ใกล้กว่าอวิ๋นชูเยวี่ย
ครั้นแล้วเมิ่งถังจึงหักเลี้ยวกลางทาง พุ่งไปที่ข้างกายโจวอิ้งเสวี่ยก่อน
เพื่อจะหลีกเลี่ยงตอนกวัดแกว่งกระบี่จะพลาดไปถูกโจวอิ้งเสวี่ยเข้า เมิ่งถังจึงทิ้งกระบี่มาใช้มือ
สองมือจับไปที่ปีกข้างหนึ่งของนกประหลาดแน่น ออกแรงฉุดลากมันไปที่ด้านข้าง
แต่พละกำลังของนางมีจำกัด ฉุดลากอย่างไรก็ไม่ขยับกลับไปกระตุ้นความดุร้ายของนกประหลาดตัวนั้น
กรงเล็บแหลมคมคู่นั้นยังคงเกาะโจวอิ้งเสวี่ยไม่ปล่อย ทางหนึ่งกระพือปีกของตนเอง ทางหนึ่งก็หันหน้ามาจะจิกเมิ่งถัง
ติงเล่อเซวียนที่ต่อสู้กับนกประหลาดตัวหนึ่งอยู่ที่ด้านข้างเห็นแล้วรีบวิ่งเข้ามาช่วย