ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา
ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา บทที่ 60-61
นกประหลาดที่พันพัวอยู่กับติงเล่อเซวียนตัวนั้นก็กระโจนเข้ามาจะโจมตีติงเล่อเซวียนต่อ
เรื่องนี้จัดการไม่ยาก เมิ่งถังสั่งการชิงหลวนให้บินขึ้นไปพ่นไฟออกมาคำเดียวก็เผานกตัวนั้นจนลุกไหม้กลายเป็นลูกไฟสลายไป
เมิ่งถังกับติงเล่อเซวียนสองคนร่วมแรงร่วมใจกัน สุดท้ายก็ดึงนกประหลาดตัวนั้นออกมาจากร่างของโจวอิ้งเสวี่ยได้สำเร็จ
โจวอิ้งเสวี่ยแม้จะเจ็บจนใบหน้าซีดขาว หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น แต่ยังคงกัดฟัน พลิกมือเสือกกระบี่ออกไป แทงเข้าไปที่หัวใจของนกประหลาดตัวนั้นอย่างแรง
นี่ก็นับว่าล้างแค้นให้กับตนเองแล้ว
เมิ่งถังทางหนึ่งหอบหายใจ ทางหนึ่งบอกกับติงเล่อเซวียนและโจวอิ้งเสวี่ย “พวกเจ้าสองคนรีบหาเรือนสักหลังแล้วเข้าไปหลบ รอข้าเผานกประหลาดที่เหลือเหล่านี้แล้วพวกเจ้าค่อย…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของอวิ๋นชูเยวี่ยดังขึ้นทันที
เมิ่งถังเงยหน้าขึ้นมอง อดอุทานให้ตายสิออกมาไม่ได้
ไม่มีเวลาจะมาสั่งกำชับติงเล่อเซวียนและโจวอิ้งเสวี่ยต่อ เมิ่งถังก็ตะโกนเรียกชิงหลวนคำหนึ่ง ขี่กระบี่เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า
ที่แท้นกประหลาดที่จับอวิ๋นชูเยวี่ยไปตัวนั้น เห็นว่าระดับความสูงเพียงพอที่จะโยนคนลงไปให้กลายเป็นขนมเปี๊ยะไส้เนื้อได้แล้วจึงปล่อยกรงเล็บทันที
จากนั้นอวิ๋นชูเยวี่ยก็ร่วงตกลงไปเป็นเส้นตรง
ประเด็นสำคัญก็คือนางทางหนึ่งร่วงลงไปทางหนึ่งก็ส่งเสียงกรีดร้องไปด้วย
เมิ่งถังรีบขี่กระบี่พุ่งเข้าไปรับตัวนางไว้
ตอนพานางกลับลงมาที่พื้น ติงเล่อเซวียนและโจวอิ้งเสวี่ยยังไม่ทันหาเรือนที่เหมาะสมเข้าไปหลบภัยได้
เมิ่งถังจึงมอบอวิ๋นชูเยวี่ยให้กับติงเล่อเซวียน
เห็นชัดว่าสองขาของอวิ๋นชูเยวี่ยอ่อนยวบแล้ว ตอนเมิ่งถังปล่อยมือ นางก็ลื่นไถลลงไปนั่งกับพื้นราวกับโคลนเหลว
ติงเล่อเซวียนมองดูนาง ลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายยังคงเดินเข้ามายื่นมือไปประคองนางขึ้น
ตอนแรกเมิ่งถังหมุนตัวจะขี่กระบี่จากไป แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว หันหน้ามาว่ากล่าวอวิ๋นชูเยวี่ย
“อวิ๋นชูเยวี่ย ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ไม่ใช่คนธรรมดาจะเทียบได้ เมื่อครู่เจ้าถูกนกประหลาดจับไปหรือจะไม่รู้จักช่วยเหลือตนเอง ตอนถูกมันโยนลงมาหรือเจ้าไม่รู้จักขี่กระบี่ เอาแต่กรีดร้องมีประโยชน์อันใด หรือเห็นว่าแค่กรีดร้องแล้วจะช่วยชีวิตเจ้าได้”
ถ้าจะบอกว่าอ่อนแอบอบบาง หรือโจวอิ้งเสวี่ยไม่ใช่บุตรสาวเจ้าเมือง มีอันใดด้อยกว่าเจ้าหรือ
นางยังไม่นับเป็นผู้บำเพ็ญเซียนด้วยซ้ำ กระทั่งขี่กระบี่ก็ยังไม่เป็น แต่เมื่อครู่ตอนนางถูกโจมตีก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องสักคำ รู้จักช่วยเหลือตนเอง
เช่นนี้เมื่อหันไปมองอวิ๋นชูเยวี่ยอีกครั้ง เมิ่งถังก็รู้สึกแทบไม่อยากจะมอง
จึงเอ่ยเสียงเย็น “ศิษย์น้องอวิ๋น ที่ติดค้างเจ้าอยู่หนึ่งชีวิตข้าใช้คืนให้แล้ว”
พูดพลางนางก็หมุนตัวขี่กระบี่จากไป เริ่มงานเก็บกวาดในช่วงท้ายของตน
ติงเล่อเซวียนมองอวิ๋นชูเยวี่ยที่โกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ แล้วประคองนางเดินเข้าไปในเรือนที่อยู่ด้านข้างหลังหนึ่งเงียบๆ
โจวอิ้งเสวี่ยรู้ ยามนี้ตนบาดเจ็บหนัก ถ้ายังอยู่ข้างนอก ไม่เพียงไม่อาจช่วยเมิ่งถังได้ เกรงว่ายังจะทำให้นางต้องแบ่งสมาธิมาตลอดเวลาจึงตามติงเล่อเซวียนเข้ามาในเรือนเงียบๆ
เพียงแต่ถึงจะเข้ามาในเรือนแล้ว นางยังคงยืนอยู่ที่ข้างหน้าต่าง แหงนหน้ามองเมิ่งถังตลอดเวลา
ก็เห็นเงาร่างของเมิ่งถังรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ เห็นอยู่ว่าเมื่อครู่ยังด้านตะวันออกสังหารนกประหลาดตัวหนึ่งในกระบี่เดียว พริบตาถัดมานางก็มาปรากฏตัวที่ด้านตะวันตก ประกายกระบี่พุ่งผ่านไป นกประหลาดสองตัวทางซ้ายตัว ทางขวาตัวต่างร่างขาดเป็นสองท่อน ขนปีกสีดำบนร่างนกร่วงพรูลงมาปานประหนึ่งหิมะสีดำตก
โจวอิ้งเสวี่ยมองเมิ่งถังที่เป็นเช่นนี้อดที่จะชื่นชมไม่ได้ “เมิ่งเซียนจื่อร้ายกาจยิ่งนัก ทำให้คนเลื่อมใสใฝ่ฝัน”
อวิ๋นชูเยวี่ยถูกติงเล่อเซวียนประคองไปนั่งที่ม้านั่งตัวหนึ่งได้ยินแล้วก็แค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง
ติงเล่อเซวียนได้ยินชัดเจน อดที่จะเงยหน้าขึ้นมองนางไม่ได้
เมื่อกลางวันเมิ่งถังถูกฟ่านตูจับตัวไป ปล่อยนกกระเรียนกระดาษตัวนั้นออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือกลับถูกอวิ๋นชูเยวี่ยชักกระบี่ฟันขาด
ติงเล่อเซวียนแม้จะเร่งรุดไปบอกมู่หวาฮุยเรื่องเมิ่งถังมีอันตราย แต่ก็ลังเลแล้วลังเลอีก สุดท้ายนางก็ไม่ได้บอกเรื่องที่อวิ๋นชูเยวี่ยฟันนกกระเรียนขาดออกไป
เพียงแต่หลังจากเรื่องผ่านไปติงเล่อเซวียนมาใคร่ครวญถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดกลับอดเย็นยะเยียบไปทั้งร่างไม่ได้
เพราะนางนึกขึ้นมาได้ว่าสองวันก่อนมู่หวาฮุยยืนกรานจะยกเลิกการหมั้นหมาย อวิ๋นชูเยวี่ยไม่ยินยอม เรื่องนี้ยังถูกหลิงซิงเหยาได้ยินเข้า
อวิ๋นชูเยวี่ยคิดจะไปอธิบายกับหลิงซิงเหยา หลิงซิงเหยากลับไม่สนใจนาง หมุนตัวเข้าห้องปิดประตู
หลังจากนั้นอวิ๋นชูเยวี่ยก็ร้องไห้วิ่งออกไป ตนได้รับการไหว้วานจากอวิ๋นซิวไป่ให้ตามไปปลอบใจอวิ๋นชูเยวี่ย
ครานั้นนางหาอวิ๋นชูเยวี่ยพบก็เห็นนางนั่งอยู่กับบุรุษผู้บำเพ็ญเซียนอิสระสองคนกำลังสนทนากันเรื่องอาวุธวิเศษในแดนบำเพ็ญเซียน
เนื่องจากพักหลังมานี้อวิ๋นชูเยวี่ยนับวันยิ่งวางตัวเมินเฉยเหินห่างต่อตน ติงเล่อเซวียนไม่อยากจะเข้าไปใกล้นางมากนักจึงยืนฟังอยู่ห่างๆ
ระหว่างนั้นเองก็ได้ยินอวิ๋นชูเยวี่ยเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเซียนอิสระสองคนนั้นถึงกระบี่คู่กายของเมิ่งถังว่าเป็นอาวุธเทพชิ้นหนึ่งสามารถกลายร่างเป็นร่างที่มีจิตวิญญาณได้ตามใจชอบ
ตอนนั้นติงเล่อเซวียนยังเคยคิด ก่อนลงจากเขามาฝึกฝนหาประสบการณ์ ผู้อาวุโสซ่งแห่งหอคุมกฎยังเรียกพวกนางหลายคนที่รู้เรื่องนี้ไปสั่งกำชับเป็นพิเศษ บอกเรื่องนี้เป็นความลับของสำนัก ห้ามพวกนางเปิดเผยให้คนนอกรู้แม้แต่ครึ่งคำ เหตุใดยามนี้ศิษย์น้องอวิ๋นถึงกับบอกเรื่องนี้กับบุรุษภายนอกสองคนที่ไม่มีความคุ้นเคยใดๆ ต่อกัน
ทว่าตอนนั้นนางก็ไม่ได้เข้าไปห้ามปราม หลังจากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับอวิ๋นชูเยวี่ย ด้วยเหตุนี้อวิ๋นชูเยวี่ยจึงไม่รู้ว่านางได้ยินคำพูดเหล่านั้นทั้งหมด
แต่เมื่อมาคิดโยงกับเรื่องที่เมิ่งถังเล่าให้ฟังในตอนบ่าย บอกฟ่านตูผู้นั้นอยากได้กระบี่ชิงหลวนของนางถึงได้จับตัวนางไป…
ฟ่านตูผู้นั้น ใช่หนึ่งในสองผู้บำเพ็ญเซียนอิสระสองคนนั้นในวันนั้นหรือไม่
ดังนั้นอวิ๋นชูเยวี่ยคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าฟ่านตูต้องอยากได้กระบี่ชิงหลวน และมาทำร้ายเมิ่งถัง
นางกระทั่งยังฟันนกกระเรียนกระดาษที่เมิ่งถังปล่อยออกมาขอความช่วยเหลือจนขาด…