ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา
ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา บทที่ 60-61
คิดมาถึงตรงนี้ติงเล่อเซวียนเพียงรู้สึกในใจยิ่งเย็นยะเยือก
ก็รู้สึกว่าอวิ๋นชูเยวี่ยเกิดมามีใบหน้าอ่อนแอบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเสียเปล่า เบื้องหลังกลับใจดำอำมหิตเช่นนี้
ในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนจะไม่รู้ได้อย่างไร คิดจะเอาอาวุธคู่กายของผู้อื่นมาเป็นของตน ย่อมต้องสังหารคนผู้นั้นเสียก่อน
เห็นชัดว่าอวิ๋นชูเยวี่ยต้องการเล่นงานเมิ่งถังถึงตาย
แต่ในสายตาของติงเล่อเซวียน เมิ่งถังแม้แต่ไรมาจะพูดจาไม่ไว้หน้าผู้อื่น แต่นางไม่เคยทำเรื่องใดๆ ที่ทำให้อวิ๋นชูเยวี่ยโกรธอย่างจริงจัง นางกระทั่งยังเคยลงมือช่วยอวิ๋นชูเยวี่ย เหตุใดอวิ๋นชูเยวี่ยจึงอยากให้เมิ่งถังตายถึงเพียงนี้ด้วย
ครั้นแล้วเวลานี้ติงเล่อเซวียนจึงไม่อยากใกล้ชิดอวิ๋นชูเยวี่ยเป็นอย่างมาก
ประคองนางมานั่งที่ม้านั่ง หันหน้าไปเห็นที่หัวไหล่โจวอิ้งเสวี่ยโลหิตยังไหลไม่หยุด จึงเดินเข้าไปเอายาห้ามเลือดใส่ให้นาง
โจวอิ้งเสวี่ยหันมายิ้มให้นาง กล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ
ติงเล่อเซวียนก็ยิ้มตอบนาง บอกอย่างเกรงใจว่าไม่ต้องขอบคุณ
อวิ๋นชูเยวี่ยเห็นบรรยากาศระหว่างพวกนางสองคนนั้นดูสนิทสนมกันดี สองมือก็กำเข้าหากันแน่น
เมื่อครู่เห็นอยู่ว่าเมิ่งถังเห็นนางถูกนกประหลาดนั่นโจมตีก่อน แต่ระหว่างทางกลับรีบไปช่วยโจวอิ้งเสวี่ย รอจนนางถูกนกประหลาดโยนลงมาจากท้องฟ้า เมิ่งถังถึงได้ขี่กระบี่ไปรับตัวนางไว้
หลังจากช่วยนางแล้วยังตำหนินางต่อหน้าโจวอิ้งเสวี่ยกับติงเล่อเซวียนอีกด้วย
อย่างไรกันเมิ่งถังคิดว่าช่วยชีวิตนางไว้ก็สามารถชักสีหน้าสั่งการผู้อื่น วางท่าเป็นศิษย์พี่ต่อหน้านางเช่นนั้นหรือ
แล้วตอนนี้ทั้งที่เห็นอยู่ว่านางกับติงเล่อเซวียนต่างหากที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก แต่ตั้งแต่ต้นจนจบติงเล่อเซวียนกลับไม่ได้กล่าวปลอบใจนางแม้แต่คำเดียว เพียงรีบไปดูแลโจวอิ้งเสวี่ย
อวิ๋นชูเยวี่ยในใจรู้สึกโกรธอย่างมาก
หนึ่งคนก็แล้วสองคนก็แล้ว นับวันยิ่งไม่เห็นความสำคัญของนางขึ้นทุกที
ถ้าเมิ่งถังรู้ว่าตนช่วยอวิ๋นชูเยวี่ยไว้แล้ว อีกฝ่ายไม่เพียงไม่ขอบคุณ ในใจยังเพิ่มความเกลียดชังนางมากขึ้นอีกสองส่วนแล้วล่ะก็ นางจะต้องนึกเสียใจที่ได้ช่วยอวิ๋นชูเยวี่ยไว้
ทว่ายามนี้นางหาได้รู้เรื่องนี้ ยังคงเก็บกวาดงานในช่วงท้ายอย่างขยันขันแข็ง
หลังจากกำจัดนกประหลาดที่กีดขวางอยู่บนท้องฟ้าเหล่านั้นจนหมดสิ้นแล้ว นางก็ขี่กระบี่มุ่งหน้าไปนอกเมือง
สมรภูมิที่นอกเมืองพูดได้ว่าน่าสยดสยองเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต แต่เมิ่งถังรู้สึกว่าอาจเพราะตนเพิ่งผ่านศึกอีกที่มา หัวใจทั้งดวงของนางได้รับการหล่อหลอมจนแข็งแกร่งยิ่ง ดังนั้นตอนนี้นางจึงไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
เพียงมองหาเงาร่างของมู่หวาฮุยท่ามกลางเหล่ามารและมารอสูรที่ไหลมาดุจกระแสน้ำอย่างใจจดใจจ่อ
รอหาเจอแล้วก็รีบขี่กระบี่พุ่งเข้าไป ร้องเรียก “ศิษย์พี่!”
มู่หวาฮุยสังหารเหล่ามารที่โอบล้อมเข้ามารอบด้านในกระบี่เดียว แล้วหันมามองเมิ่งถัง
“อันตราย รีบกลับไป!”
พูดพลางกระบี่ในมือก็วาดออกไปไม่หยุด
“ข้าไม่กลับ!”
เมิ่งถังกลับไม่เชื่อฟังเขาอย่างน้อยครั้งจะได้เห็น เหินทะยานลงมา กุมชิงหลวนในมือแน่นแล้วเข้าร่วมการทำศึก
นางทางหนึ่งสังหารข้าศึก ทางหนึ่งยังเหลียวมองไปรอบด้าน
ก็เห็นในที่ไกลออกไปมีสถานที่คล้ายแท่นสูงอยู่แห่งหนึ่ง โม่เซียวยืนสองมือไพล่หลังอยู่บนนั้น สายตาเจือความบ้าระห่ำกำลังมองมาทางนี้
เมิ่งถังรู้เขากำลังมองมู่หวาฮุย เกรงว่าในใจยังกำลังวางแผนว่าต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้มู่หวาฮุยยินยอมพร้อมใจเข้าสู่ความเป็นมารด้วยตนเอง
คนสติฟั่นเฟือนผู้นี้!
เขาถือดีอย่างไรมาคิดว่าเรื่องทุกอย่างขอเพียงเขาต้องการก็พอแล้ว ความเจ็บปวดทรมานของมู่หวาฮุยเขาไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย กระทั่งเห็นว่าเจ็บปวดทรมานก็ยิ่งดีจะได้ทำให้มู่หวาฮุยเข้าสู่ความเป็นมารเร็วขึ้นใช่หรือไม่
ขอเพียงคนผู้นี้ตายแล้ว หลังจากนี้ความเสี่ยงที่มู่หวาฮุยจะเข้าสู่ความเป็นมารก็ย่อมต่ำลงมาก
คิดมาถึงตรงนี้เมิ่งถังก็เริ่มประเมินกำลังความสามารถระหว่างตนกับโม่เซียว
กำลังความสามารถของตัวนางเอง ผู้ฝึกวิชากระบี่ขั้นหยวนอิงที่สดใหม่เพิ่งออกจากเตา ภายนอกมีอาวุธเทพกระบี่ชิงหลวนเพิ่มเข้ามาอีกเล่มหนึ่ง ไม่พูดถึงขั้นต้าเฉิง แต่อย่างน้อยประมือกับผู้มีพลังวัตรขั้นหยวนอิงช่วงปลายนางน่าจะพอถูไถรับมือได้
ส่วนกำลังความสามารถของโม่เซียว นางไม่ทราบ…
เรื่องนี้ความจริงแล้วก็ไม่อาจตำหนิเมิ่งถัง
เพราะในหนังสือนิยาย โม่เซียวเป็นเพียงบุคคลที่เป็นเครื่องมือในการผลักดันให้มู่หวาฮุยเข้าสู่ความเป็นมาร เรียกได้ว่าถ้าหากมู่หวาฮุยเรียกหาก็พร้อมจะไปอยู่เคียงข้างช่วยเหลือ
คิดว่านักเขียนเดิมก็ไม่ได้กำหนดลักษณะตัวละครตัวนี้ไว้อย่างละเอียด เพียงบอกมีกำลังความสามารถที่แข็งแกร่งคำเดียวก็จบเรื่อง
นอกจากนี้ภาพประทับใจของโม่เซียวที่มีต่อเมิ่งถัง นั่นคือเขาเป็นคนที่ลอบวางแผนการร้ายที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำไม่อาจให้ใครรู้อยู่เบื้องหลัง ทั้งไม่เคยสังเกตเห็นว่าเขาเคยต่อสู้กับใครมาก่อนเลยจริงๆ
ครั้นแล้วเมิ่งถังก็ลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายยังคงตัดสินใจเด็ดขาด พุ่งกระโจนไม่กี่ครั้งไปอยู่ที่ข้างกายมู่หวาฮุย
มารและมารอสูรที่อยู่รอบด้านพุ่งเข้ามาไม่ขาดสาย มีผู้บำเพ็ญเซียนระดับล่างหลั่งโลหิตอาบย้อมสถานที่แห่งนี้ไม่น้อยแล้ว
เมิ่งถังเห็นหลิงซิงเหยาก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ไอกระบี่เย็นยะเยียบสาดกระจายออกมาเป็นสายๆ
แม้เวลานี้พลังวัตรของเขาจะสูงส่งลึกล้ำ แต่สุภาษิตพูดไว้ได้ดี หมัดที่ชกออกมาสะเปะสะปะตียอดฝีมือให้ตายได้* มารและมารอสูรบุกเข้ามาเป็นระลอก ตายแล้วก็มีมารและมารอสูรอีกกลุ่มบุกเข้ามา ถึงจะเป็นการต่อสู้แบบเวียนเทียนแต่ไม่ช้าก็เร็วก็ทำให้คนเหนื่อยตายได้
แต่ถ้าโม่เซียวตายแล้ว ฝูงมังกรไร้เศียร** ก็ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่ถอย
ดียิ่งนัก มีเหตุผลที่โม่เซียวต้องตายเพิ่มขึ้นมาอีกข้อแล้ว
เมิ่งถังกับมู่หวาฮุยยืนหันหลังชนกันทำศึก เช่นนี้ทั้งสองคนไม่เพียงสามารถต้านทานข้าศึกต่อไปได้ ยังรับรองได้ว่าจะไม่ถูกข้าศึกโจมตีที่ด้านหลัง
เมิ่งถังทางหนึ่งกวัดแกว่งกระบี่ไม่หยุด ทางหนึ่งก็ปรึกษากับมู่หวาฮุยเสียงต่ำ
“ศิษย์พี่ ท่านเห็นโม่เซียวที่ยืนอยู่บนแท่นสูงทางด้านนั้นหรือไม่ เอาอย่างนี้ข้าคิดจะไปลองหยั่งเชิงกำลังความสามารถของเขา ท่านคุ้มกันข้าเข้าไป”
ที่นี่อยู่ห่างจากจุดที่โม่เซียวอยู่ยังไกลพอสมควร
ประเด็นคือระหว่างทางมีมารกับมารอสูรอยู่เต็มไปหมด อีกทั้งยิ่งเข้าไปใกล้ข้างกายโม่เซียว มารกับมารอสูรเหล่านั้นก็ยิ่งมีพลังวัตรสูงส่งลึกล้ำ ถ้าไม่มีคนช่วยคุ้มกันเกรงว่าเมิ่งถังยังไปไม่ถึงเบื้องหน้าโม่เซียวก็คงสิ้นเรี่ยวแรงตายไปก่อนแล้ว