บทที่ 61
ความจริงมู่หวาฮุยสังเกตเห็นโม่เซียวตั้งแต่แรกแล้ว และเคยคิดเรื่องจะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้าก่อน
แต่ความกังวลของเขาก็เหมือนกับเมิ่งถัง ห่วงว่าตนยังไม่ทันบุกไปถึงเบื้องหน้าโม่เซียวก็จะหมดแรงตายไปก่อนแล้ว
นอกจากนี้ต่อให้เขาไม่ได้หมดแรงตายไปก่อน ปราณวิเศษก็ต้องสิ้นเปลืองอย่างหนัก ยังจะต่อสู้กับโม่เซียวได้อย่างไร
ครั้งก่อนเขาเคยประมือกับโม่เซียวมาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย จิตมารของเขาถูกโม่เซียวปลุกเร้า เขาก็ไม่กล้ารับรองว่าตนจะสามารถเอาชนะโม่เซียวได้
แต่เวลานี้เมิ่งถังถึงกับบอกว่าคิดจะไปเจอโม่เซียว
เขาจะยอมให้เมิ่งถังไปอยู่ในอันตรายเช่นนั้นได้อย่างไร!
จึงดุนาง “อย่าก่อกวน!”
เมิ่งถังเบ้ปากอย่างออกจะไม่ยินยอม
หึ ศิษย์พี่เอาแต่บอกว่านางก่อกวน แต่ครั้งนี้นางไม่ได้รู้สึกว่าตนเองก่อกวนแม้แต่น้อย
ขอเพียงสังหารโม่เซียวแล้ว ไม่เพียงสามารถหยุดยั้งความวุ่นวายในการถูกข้าศึกโอบล้อมเมืองในครั้งนี้ได้ ไม่แน่ยังอาจยุติความเสี่ยงในวันข้างหน้าของมู่หวาฮุย ยิงเกาทัณฑ์ดอกเดียวได้นกสองตัว ต่อให้มีอันตรายนางก็ควรจะลองดู
อย่างมากถึงตอนนั้นถ้าเห็นท่าไม่ดี นางก็หมุนตัววิ่งหนีไปก็แล้วกัน
จึงวางแผนจะไปหาโม่เซียวเพื่อต่อสู้ขั้นเด็ดขาด โดยไม่ต้องผ่านความยินยอมจากมู่หวาฮุย
อย่างไรเสียขอเพียงนางก้าวเท้าออกไป นางก็เชื่อว่ามู่หวาฮุยจะต้องช่วยคุ้มกันให้นางแน่นอน
แต่มู่หวาฮุยไหนเลยจะไม่รู้ว่าในใจนางกำลังคิดอะไร
หัวคิ้วขยับเข้าหากัน ได้ถ่ายทอดเสียงให้หลิงซิงเหยาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว “ศิษย์น้องหลิง คุ้มกันข้าด้วย”
หลิงซิงเหยาไม่หยุดเพลงกระบี่ในมือ เอียงหน้าหันมามอง
ความจริงเมื่อครู่ตอนเมิ่งถังขี่กระบี่เข้ามาหลิงซิงเหยาก็เห็นแล้ว
เมิ่งถังสวมชุดสีแดง เท้าเหยียบชิงหลวน จากในเมืองมาถึงอย่างรวดเร็วดุจสายลมดุจสายฟ้าแลบ
ทั่วร่างนางร้อนแรงดุจดวงอัคคีกลุ่มหนึ่ง ในท่วงทีองอาจห้าวหาญมีความงามแฝงอยู่ ยากยิ่งที่คนจะไม่สังเกตเห็น
แต่ดวงอัคคีกลุ่มนี้พุ่งไปที่มู่หวาฮุยอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ไม่เห็นคนอื่นใดอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง
ในใจของหลิงซิงเหยารู้สึกเศร้าสลด แต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่ง
มู่หวาฮุยเดิมก็เป็นศิษย์พี่ของเมิ่งถัง และคอยอยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด คิดเพื่อนางทุกเรื่อง นางใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาก็เป็นเรื่องสมควร
แต่ความกลัดกลุ้มในใจไม่มีที่ให้ปลดปล่อย ไอกระบี่ที่กวัดแกว่งออกมาต่อจากนั้นเปรียบกับก่อนหน้านี้แล้วยิ่งเย็นยะเยือกมากขึ้น
มาบัดนี้ได้ยินมู่หวาฮุยถ่ายทอดเสียงมา เขาไม่ลังเลใดๆ รีบเหินทะยานเข้ามาทันที
ไม่ว่าปกติเขาจะไม่ยอมรับมู่หวาฮุยเพียงใด แต่ยามนี้ศึกใหญ่เพียงนี้ ทุกคนอาจตายได้ทุกเมื่อ ในฐานะศิษย์ร่วมสำนัก พวกเขาย่อมสมควรปกป้องกันและกัน
รอหลิงซิงเหยามาถึง มู่หวาฮุยก็ทะยานร่างพุ่งไปทางแท่นสูงที่โม่เซียวอยู่ทันที
เมิ่งถังเบิกตาค้างแล้ว ร้องเรียกเสียงดัง “ศิษย์พี่!”
คิดไม่ถึงว่ามู่หวาฮุยถึงกับชิงตัดหน้านางไปก้าวหนึ่ง ทำในสิ่งที่นางคิดจะทำแล้ว
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ไม่มีหนทางอื่น จำต้องแบกรับหน้าที่คุ้มกันไว้
มารอสูรของแดนมารกลุ่มนี้แม้จำนวนมากจะยังไม่ได้เปิดปัญญา แต่ยากจะต้านทานต่อร่างกายที่ใหญ่โตมโหฬาร ผิวหยาบหนังหนาโลหิตมากได้ อีกทั้งดูเหมือนจะไม่กลัวความเจ็บปวดเช่นนั้น แม้มือเท้าจะถูกฟันขาดแล้วยังสามารถเลื้อยขยุกขยิกอยู่บนพื้นได้
ส่วนมารเหล่านั้น พวกเขาก็ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรมีทั้งพลังวัตรสูงและพลังวัตรต่ำ
ปกติผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไปเจอกับมารอสูรและมารไม่กี่ตนก็หนักมือพอแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเบื้องหน้าเต็มไปมารอสูรและมารแน่นขนัด
มู่หวาฮุยเพื่อจะรักษาปราณวิเศษในร่างกายจะได้ไปต่อสู้ขั้นเด็ดขาดกับโม่เซียว ระหว่างทางที่เร่งรุดไปเขาจึงลงมือน้อยมาก
ในเวลาเช่นนี้ย่อมต้องอาศัยเมิ่งถังกับหลิงซิงเหยาแล้ว
พวกเขาสองคนต่างเป็นผู้บำเพ็ญเซียนในขั้นหยวนอิงเช่นกัน คนหนึ่งมือกุมกระบี่เซียน คนหนึ่งที่กุมอยู่ในมือแม้จะไม่ใช่กระบี่เซียน แต่ก็เป็นกระบี่ที่มีชื่อเสียงที่จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของแดนบำเพ็ญเซียน
ชั่วขณะนั้นประกายกระบี่ทั้งสองก็เปล่งแสงวูบวาบไม่ขาดสาย ผ่านไปทางใดก็ฟาดฟันเหล่ามารอสูรและมารที่ขวางทาง เปิดเส้นทางที่เต็มไปด้วยโลหิตขึ้นมาสายหนึ่ง
สภาพการณ์ในเวลานี้มีแต่กลิ่นคาวโลหิตทำให้คนรู้สึกไม่สบายเป็นอย่างยิ่ง