แต่มู่หวาฮุยไม่รู้นี่นา
แม้เขาจะเคยขอคำยืนยันแล้ว เมิ่งถังก็เคยบอกกับเขาว่าไม่ได้ชอบหลิงซิงเหยาแล้ว แต่บางครั้งมู่หวาฮุยยังคงอดกินน้ำส้มไม่ได้ กลัวว่าเมิ่งถังจะกลับไปชอบหลิงซิงเหยาอีกครั้ง
ครานี้จากการยั่วยุด้วยคำพูดของโม่เซียว มู่หวาฮุยยังจะสงบใจอยู่ได้อย่างไร
ตอนกลางวันเขาเพิ่งเอาโลหิตจากหัวใจออกมาหยดหนึ่ง ลำดับขั้นของเขาเดิมก็ไม่เสถียรอยู่แล้ว มาบัดนี้ภายใต้คำพูดที่มีเจตนาปลุกปั่นของโม่เซียว สภาพจิตใจของเขาก็ขึ้นๆ ลงๆ หลายครั้ง
โม่เซียวก็รู้สึกว่าไอกระบี่ของเขาดุเดือดรุนแรงขึ้นทุกที นัยน์ตาดำคู่นั้นยิ่งเข้มดุจหมึก
ชั่วประเดี๋ยวเดียวในความดำดุจหมึกก็ค่อยๆ มีสีแดงเรื่อผุดขึ้นจางๆ
โม่เซียวในใจรู้สึกยินดียิ่ง
ไม่ผิดจากที่คาด เมิ่งถังคือจุดอ่อนของมู่หวาฮุยจริง ไม่ว่าที่ใดเวลาใดขอเพียงเอ่ยถึงเมิ่งถังขึ้นมา มู่หวาฮุยก็ไม่อาจทำใจให้สงบดุจสายธารได้
ครั้งนี้เขาจะต้องไม่เป็นเช่นครั้งก่อนถูกมู่หวาฮุยโจมตีเข้าใส่กระบวนท่าหนึ่งถึงกับรับมือไม่ทัน ต้องทดสอบกำลังความสามารถของมู่หวาฮุยหลังจากเข้าสู่ความเป็นมารให้ดี
แต่ในตอนนี้เอง เมิ่งถังก็สังเกตเห็นความไม่ถูกต้องของมู่หวาฮุยขึ้นมารำไรจึงรีบร้องเรียกเสียงดัง
“ศิษย์พี่!”
แทบจะทันทีที่สิ้นเสียงในดวงตาของมู่หวาฮุยที่เดิมมีสีโลหิตผุดขึ้นก็จางหายไปหมดสิ้น สติสัมปชัญญะของเขาฟื้นคืนกลับมาปลอดโปร่งดังเดิม
เขามองจ้องโม่เซียวเต็มตา
“เจ้าใช้คำพูดยั่วยุข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ที่แท้แล้วมีจุดประสงค์อันใดกันแน่”
เสียงของมู่หวาฮุยเย็นเยียบอย่างที่สุด อีกทั้งจิตสังหารในดวงตาของเขายังไม่จางไปแม้แต่น้อยกลับยิ่งเข้มข้นขึ้นกว่าเมื่อครู่ก่อน
โม่เซียวยังคงประหลาดใจอย่างมาก
เดิมมู่หวาฮุยใกล้จะเข้าสู่ความเป็นมารแล้ว คิดไม่ถึงว่าเมิ่งถังเพียงเรียกศิษย์พี่คำเดียวก็สามารถดึงเขากลับมาได้ทันที
เมิ่งถังผู้นี้ถึงกับมีอำนาจต่อมู่หวาฮุยมากเพียงนี้
โม่เซียวรู้สึกว่าเรื่องนี้ยิ่งพบยิ่งสนุกแล้ว
มู่หวาฮุยยิ่งใส่ใจเมิ่งถัง วันหน้าเมื่อเมิ่งถัง ‘ทรยศ’ เขา หรือตายลงตรงหน้าเขาก็จะทำให้เขายิ่งสะเทือนใจมากขึ้น
“ไม่มีจุดประสงค์ใด”
โม่เซียวหัวเราะขึ้น “ก็แค่เห็นเจ้าค่อยๆ กลายเป็นมารแล้วสนุกยิ่ง”
รูม่านตาของมู่หวาฮุยหดเล็กลง
ปกติผู้บำเพ็ญเซียนแม้จะเกิดจิตมารกำเริบ คนอื่นจะไม่พูดว่ากลายเป็นมาร แต่เวลานี้โม่เซียวกลับบอกว่าเขากลายเป็นมาร…
คำพูดนี้ของโม่เซียวหมายความว่าอย่างไร
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เล็กน้อยในดวงตาของมู่หวาฮุย ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของโม่เซียวไปได้
ในด้านการมองคนอย่างทะลุปรุโปร่ง อีกทั้งการยั่วเย้าด้วยความอดทน โม่เซียวเรียกได้ว่ามีความเชี่ยวชาญยิ่ง หาไม่เขาก็คงไม่มองเพียงแวบเดียวก็เห็นแล้วว่าเมิ่งถังมีความสำคัญต่อมู่หวาฮุยแตกต่างจากคนอื่น และใช้เมิ่งถังมายั่วยุมู่หวาฮุยครั้งแล้วครั้งเล่า
ยามนี้เห็นมู่หวาฮุยเกิดความสงสัยขึ้นในใจ เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“มู่หวาฮุย คงไม่ใช่จนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังไม่รู้ถึงจุดพิเศษของตนเองกระมัง”
คำพูดนี้เขาเพียงพูดออกมาครึ่งเดียว ที่เหลือก็ให้มู่หวาฮุยไปขบคิดเอาเอง
เขาเชื่อว่าความจริงแล้วมู่หวาฮุยรับรู้ถึงไอมารในร่างกายของตนแล้ว และเคยสงสัยในตัวเอง เพียงแต่ไม่กล้าที่จะเชื่อ
เพราะเขาคือนายน้อยแห่งเมืองเชียนเฮ่อ เป็นศิษย์คนโตของเจ้าสำนักหมิงหวาคนปัจจุบัน เป็นผู้ที่คนในแดนบำเพ็ญเซียนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเลื่อมใสและหวังพึ่งพา
แต่ไม่เป็นไร เวลานี้สิ่งที่โม่เซียวต้องทำก็คือการใส่ปุ๋ยบำรุงให้กับเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยในหัวใจของมู่หวาฮุย กระตุ้นให้เจริญเติบโต แข็งแรงขึ้นทีละก้าว…ทีละก้าว
ดังนั้นหลังจากกล่าวคำพูดนี้จบ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับไอกระบี่ของมู่หวาฮุยที่เหี้ยมโหดดุดันขึ้นมาอย่างฉับพลัน โม่เซียวเพียงหัวเราะออกมาเสียงดัง
ขณะนี้เมิ่งถังได้ร่วมแรงร่วมใจกับหลิงซิงเหยา ในที่สุดก็กำจัดมารอสูรและมารที่กีดขวางเหล่านั้นไปพอสมควรแล้ว
ในใจเป็นห่วงมู่หวาฮุย พอปลีกตัวได้ก็ทะยานขึ้นไปบนแท่นสูงทันที