ปลายกระบี่ชิงหลวนชี้ตรงไปที่โม่เซียว เมิ่งถังเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าครั่นคร้าม “โม่เซียว วันนี้ก็คือวันตายของเจ้า”
ก็ไม่เชื่อว่ารวมกำลังกันสามคนมู่หวาฮุย หลิงซิงเหยา และนางแล้วจะจัดการกับโม่เซียวไม่ได้
โม่เซียวไม่ได้เอาคำพูดดุดันของนางมาใส่ใจแม้แต่น้อย
หากแต่ชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง แล้วมองหลิงซิงเหยาที่ทะยานตามนางขึ้นมาบนแท่นสูง กล่าวยิ้มๆ “เมื่อครู่เจ้าร่วมมือและประสานกับศิษย์พี่ผู้นี้ของเจ้าได้ดียิ่ง แดนมนุษย์มีสำนวนอยู่วลีหนึ่ง เรียกว่ารู้ใจกัน ใช่ใช้กับสถานการณ์เช่นพวกเจ้าสองคนเช่นนี้หรือไม่”
เมิ่งถังกลับฟังไม่ออกถึงความต้องการยุแหย่ให้แตกแยกกันในคำพูดประโยคนี้ของเขา และไม่ได้สังเกตเห็นแววตาที่พลันขรึมลงมาของมู่หวาฮุย
สะบัดข้อมือตัวกระบี่ชิงหลวนสั่นวิ้ง นางแค่นหัวเราะ
“ประเดี๋ยวตอนเอาชีวิตสุนัขของเจ้า เราจะร่วมมือและประสานกันดียิ่งขึ้น”
พูดพลางสะกิดปลายเท้าพุ่งเข้าไปที่โม่เซียว
มู่หวาฮุยกับหลิงซิงเหยาเห็นแล้วรีบสะบัดกระบี่คนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวาเร่งรุดเข้าไปช่วยเหลือนาง
พูดตามตรงพวกเขาสามคนรวมกำลังกัน โม่เซียวมากน้อยก็ยังนึกกลัวอยู่บ้าง
มองมารอสูรและมารที่บาดเจ็บล้มตายอยู่ข้างหน้าแวบหนึ่งเห็นว่าถึงกลับไปตอนนี้ก็มีคำอธิบายให้กับจอมมารแล้ว
ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาเห็นว่าเมื่อครู่เขาได้ผลักมู่หวาฮุยให้เดินหน้าไปบนเส้นทางสู่ความเป็นมารอีกระยะแล้ว
ในเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นี่อีก
ครั้นแล้วหลังจากประมือกับคนทั้งสามไปไม่กี่กระบวนท่า เขาก็ยกมือขึ้นขว้างระเบิดควันออกมาลูกหนึ่ง
บนแท่นสูงอบอวลไปด้วยควันดำในทันที
มู่หวาฮุยเกรงว่าควันดำจะมีพิษ ในเวลาเดียวกันกับที่ตนเองปิดกั้นลมหายใจก็พุ่งเข้าไปโอบเมิ่งถังไว้ในอ้อมแขน ยกมือสร้างม่านอาคมขึ้นมา
แล้วหยิบยาลูกกลอนต้านพิษจากแหวนเก็บทรัพย์ยัดใส่ปากเมิ่งถังเม็ดหนึ่ง
เมิ่งถังอ้าปากอมไว้แล้ว
เพียงแต่นางกลับไม่ยอมซุกอยู่ในอ้อมแขนมู่หวาฮุยแต่โดยดี เงยหน้าขึ้นมองควันดำตรงหน้าตลอดเวลา คิดจะหาเงาร่างของโม่เซียว
แน่นอนย่อมหาไม่พบ
กระทั่งรอจนควันดำสลายไปหมด บนแท่นสูงไม่เพียงโม่เซียว ลูกสมุนหลายตนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็ล้วนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
บนแท่นสูงที่กว้างใหญ่เหลือเพียงนาง มู่หวาฮุย และหลิงซิงเหยาสามคนเท่านั้น
“น่าโมโหยิ่งนัก! ถึงกับปล่อยให้เขาหนีไปได้!”
เมิ่งถังโมโหจนกระทืบเท้าเร่าๆ
ครั้งนี้ปล่อยให้โม่เซียวหนีไปได้แล้ว ครั้งต่อไปจะรวมกำลังกันสามคนเช่นเมื่อครู่อีกครั้งไม่รู้ต้องรอถึงเมื่อใด
มู่หวาฮุยมองธงใหญ่ของแดนมารที่ยังคงตั้งอยู่บนแท่นสูง นิ่งเงียบไม่พูด
โม่เซียวแม้จะจากไปแล้ว แต่คำพูดที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ในใจของมู่หวาฮุย
เขาอดที่จะหันไปมองด้านข้างแวบหนึ่งไม่ได้
เมื่อครู่ตอนโม่เซียวขว้างระเบิดควันแล้วหนีไป เขาเร่งรุดมาปกป้องเมิ่งถังก็รู้สึกได้ว่าหลิงซิงเหยากำลังมุ่งมาทางด้านนี้เช่นกัน
หลิงซิงเหยาเองก็คงจะเร่งรุดมาด้วยจิตใต้สำนึกเพื่อจะปกป้องเมิ่งถังกระมัง แต่ถูกเขาชิงตัดหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งจึงจำต้องล้มเลิก
เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ก็คือถ้าเมื่อครู่เขาช้าไปเพียงก้าวเดียว เช่นนั้นตอนนี้คนที่โอบเมิ่งถังไว้ในอ้อมแขนก็คือหลิงซิงเหยาใช่หรือไม่
คิดมาถึงตรงนี้มู่หวาฮุยก็อดกระชับแขนขวาที่โอบเอวบางของเมิ่งถังเข้ามาไม่ได้
เมิ่งถังเป็นของเขาเพียงคนเดียว เขาจะไม่ยอมให้ใครมีโอกาสแตะต้องเมิ่งถังได้อีก!
ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลิงซิงเหยามองสบสายตานิ่งขรึมของมู่หวาฮุย แล้วหันหน้าไปทางด้านหนึ่งเงียบๆ
เมื่อครู่เห็นท่าไม่ดี เขาคิดจะเข้ามาปกป้องเมิ่งถังจริง
ทั้งหมดนั้นเป็นการทำไปด้วยจิตใต้สำนึกกลับถูกมู่หวาฮุยชิงตัดหน้าไปก้าวหนึ่ง
ตอนเห็นมู่หวาฮุยโอบเมิ่งถังเข้ามาในอ้อมแขนด้วยความรวดเร็วอย่างที่สุด และยกมือขึ้นสร้างม่านอาคม เขาก็หยุดฝีเท้าลง
จะแย่งชิงเรื่องทำนองนี้ไปทำอันใด เห็นชัดว่าเมิ่งถังปฏิบัติต่อมู่หวาฮุยอย่างสนิทสนมกว่ามาก
ดังนั้นทุกครั้งตอนนางถูกมู่หวาฮุยโอบกอดล้วนจะโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่เคยดิ้นรนขัดขืน
แล้วมองท่าทางที่ปรารถนาจะครอบครองนางแต่เพียงผู้เดียวของมู่หวาฮุย…
พวกเขาสองคนความจริงน่าจะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อกันไปแล้วกระมัง
เพราะเหตุใดในใจจึงมีความรู้สึกฝาดเฝื่อนบอกไม่ถูกอยู่จางๆ
หลิงซิงเหยาเงยหน้าเหม่อมองจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้าไกล
* หมัดที่ชกออกมาสะเปะสะปะตียอดฝีมือให้ตายได้ เป็นการเปรียบเปรย หมายถึงคนที่ทำอะไรส่งเดช ไม่มีระเบียบขั้นตอนอาจจับพลัดจับผลูเอาชนะผู้เชี่ยวชาญที่ทำอะไรมีขั้นตอนได้ ในที่นี้หมายถึงยอดฝีมืออาจรับมือกับผู้ด้อยฝีมือแต่มีจำนวนมากกว่าไม่ไหว
** ฝูงมังกรไร้เศียร หมายถึงกลุ่มคนที่ขาดผู้นำ ไร้ทิศทาง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.