ทว่าก็ได้แต่บ่นอยู่ในใจ ใบหน้ายังคงหัวเราะหึๆ อย่างโง่งม
มู่หวาฮุยวางถ้วยน้ำชาในมือลง เงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่นางอย่างไม่สบอารมณ์ทีหนึ่ง
ทว่าสุดท้ายเขาก็จำต้องประนีประนอม บอกนาง “ยืนห่างเพียงนั้นด้วยเหตุอันใด กลัวข้าจะกินเจ้าหรือ”
เมิ่งถังคิดในใจ นี่ไม่ใช่เพราะถูกท่านควบคุมอบรมราวกับบุตรสาวคนหนึ่งทำให้ข้าเกิดท่าทีตอบสนองด้วยจิตใต้สำนึกหรอกหรือ
“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้ารู้ศิษย์พี่ดีต่อข้าที่สุดแล้ว จะตัดใจกินข้าได้อย่างไร อีกอย่างเนื้อคนก็ไม่อร่อย ใช่หรือไม่ศิษย์พี่”
ทำหน้าทะเล้นซุกซนแล้วเมิ่งถังก็เดินมานั่งที่ข้างโต๊ะ จากนั้นก็ถามอย่างกระตือรือร้น “ศิษย์พี่ ตอนกลางวันท่านอยากกินอะไร ข้าจะไปทำมาให้ท่าน”
เมิ่งถังคิดจะจับคู่ให้เขากับโจวอิ้งเสวี่ย มู่หวาฮุยมีหรือจะมองไม่ออก
ในใจของเขาย่อมโกรธโมโห
โกรธที่จนป่านนี้เมิ่งถังก็ยังไม่รู้ถึงความรู้สึกที่เขามีให้นาง และโกรธตนเองที่จนป่านนี้ก็ยังไม่กล้าบอกเมิ่งถังถึงความรู้สึกของตนที่มีต่อนาง
แต่เห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเมิ่งถังในเวลานี้แล้ว ต่อให้เขาโกรธเพียงใดก็ไม่อาจแสดงออกมาได้
ก็ได้แต่ทอดถอนใจ บอก “ข้าไม่กินธัญพืชนานแล้ว ไม่สนใจเรื่องอาหารการกิน เจ้าไม่จำเป็นต้องทำของกินมาให้ข้าเป็นพิเศษ” แล้วบอกนาง “เจ้ากลับห้องไปจัดเก็บข้าวของของตน ประเดี๋ยวข้าจะไปบอกลาเจ้าเมืองโจว พรุ่งนี้เราไปจากที่นี่กันแต่เช้า”
เมิ่งถังยังคงประหลาดใจอย่างมาก “รีบร้อนไปจากที่นี่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
มู่หวาฮุยคิดในใจ ขืนยังไม่ไป ผู้ใดจะรู้เจ้ายังคิดจะจับคู่ให้ข้ากับโจวอิ้งเสวี่ยอีกหรือไม่
แต่ภายนอกกลับบอก “เจ้าไม่ใช่คิดจะไปหาดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำหรอกหรือ”
“ใช่…ใช่”
เมิ่งถังยกมือขึ้นตบหน้าผากของตนเบาๆ “เพราะเหตุใดข้าจึงลืมเรื่องนี้ไปได้”
รีบลุกขึ้นกลับไปที่ห้องของตน
แต่เดินไปได้ครึ่งทางนางก็หมุนตัววิ่งตึกๆ กลับมาอีก
“ศิษย์พี่ ไปหาดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำในครั้งนี้ เราไปกันสองคน หรือไปด้วยกันทั้งห้าคน”
ตอนลงจากเขามาฝึกฝนหาประสบการณ์ ผู้อาวุโสซ่งได้สั่งกำชับไว้เป็นพิเศษให้มู่หวาฮุยเป็นผู้นำพวกนาง หรือว่าตอนนี้ยังต้องพาพวกหลิงซิงเหยาสามคนไปด้วย
มู่หวาฮุยกดหัวคิ้วลงเล็กน้อย
เขาย่อมอยากไปกับเมิ่งถังตามลำพังสองคน
ประการแรกการเดินทางครั้งนี้ไม่รู้อันตราย เหตุการณ์ข้างหน้าไม่รู้แน่ชัด ประการที่สองการหมั้นหมายระหว่างเขากับอวิ๋นชูเยวี่ยยังไม่ได้ยกเลิก ก่อนการหมั้นหมายจะยกเลิกเขาไม่อยากคลุกคลีกับอวิ๋นชูเยวี่ยมากนัก
ประการที่สามเห็นชัดว่าเวลานี้ความรู้สึกที่หลิงซิงเหยามีต่อเมิ่งถัง…
นึกถึงคำพูดที่โม่เซียวพูดไว้เมื่อวาน ในใจของเขากระสับกระส่ายวุ่นวายขึ้นมาทันที
หลังจากสงบสติอารมณ์ของตนแล้ว เขาจึงกล่าวขึ้น “สายหน่อยข้าจะเรียกพวกเขามา บอกให้พวกเขารู้ถึงอันตรายในการเดินทางครั้งนี้ ให้พวกเขาเลือกตามความสมัครใจ”
เมิ่งถังรู้สึกว่าเช่นนี้ดียิ่ง ไม่ว่าอย่างไรมู่หวาฮุยก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่ ถ้าออกคำสั่งบังคับไม่ให้พวกเขาติดตามไป ด้วยนิสัยไม่เห็นแก่หน้าใครของผู้อาวุโสซ่ง เมื่อมู่หวาฮุยกลับไปสำนักจะต้องถูกลงโทษแน่นอน
แต่ให้พวกเขาเลือกตามความสมัครใจ ถ้าพวกเขาไม่ไป เช่นนั้นผู้อาวุโสซ่งก็ไม่อาจตำหนิมาถึงมู่หวาฮุยได้
แต่ที่ทำให้เมิ่งถังคาดคิดไม่ถึงก็คือพวกเขาสามคนถึงกับเลือกที่จะไปด้วย!
ความคิดของติงเล่อเซวียนก็คือศิษย์พี่ใหญ่ไปที่ใดข้าก็จะติดตามไปที่นั่น
ความคิดของหลิงซิงเหยาคือในเมื่อลงจากเขามาฝึกฝนหาประสบการณ์ ไปที่ใดไม่ใช่ฝึกฝนหาประสบการณ์ ส่วนที่ว่าไม่รู้ถึงอันตราย ลงจากเขาไม่ใช่มาเพื่อเสพสุข เดิมก็ต้องผ่านอันตรายต่างๆ อยู่แล้ว
เมิ่งถังคิด ดียิ่งนัก ข้าถึงกับไม่มีคำพูดจะโต้ตอบ
ส่วนอวิ๋นชูเยวี่ย แม้จะพูดอ้อมค้อมไปมารอบใหญ่ แต่ความหมายในคำพูดของนางความจริงแล้วก็เหมือนกับติงเล่อเซวียน
เมิ่งถังอดรนทนไม่ไหว ถามนาง “ตอนนี้เจ้าเจอกับพี่ใหญ่ของเจ้าแล้ว และรู้ว่าบิดามารดาของเจ้าอยู่ที่บ้านคิดถึงเจ้ามาก เจ้าไม่ตามพี่ใหญ่ของเจ้ากลับไปหาบิดามารดาของเจ้าหรือ”
ไม่อยากร่วมเดินทางกับคุณหนูใหญ่ผู้อ่อนแอเปราะบางท่านนี้แล้วจริงๆ
อวิ๋นชูเยวี่ยฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว ในใจลอบเคียดแค้น
นี่เมิ่งถังคิดจะไล่นางไป จะได้ครอบครองมู่หวาฮุยแต่เพียงผู้เดียว