ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา
ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา บทที่ 62-63
จิตใจร้ายกาจยิ่งนัก
แต่ขอเพียงนางกับมู่หวาฮุยยังไม่ได้ยกเลิกการหมั้นหมายหนึ่งวัน มู่หวาฮุยก็คือคู่หมั้นของนางอวิ๋นชูเยวี่ยหนึ่งวัน เมิ่งถังก็อย่าได้หวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะไล่นางไปจากข้างกายมู่หวาฮุยได้
นางติดตามอยู่ข้างกายมู่หวาฮุยเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักการฟ้าดิน!
ทว่าภายนอกนางกลับพูดอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา “ท่านพ่อท่านแม่ทราบว่าข้ากราบอาจารย์เข้าสำนักหมิงหวา ในใจดีใจยิ่งนัก พี่ชายเองก็เคยบอก ยามนี้ข้าควรมุ่งมั่นฝึกวิชาบำเพ็ญเพียร เรื่องกลับไปเยี่ยมท่านพ่อท่านแม่ รอให้เสร็จสิ้นการลงจากเขามาฝึกฝนหาประสบการณ์ในครั้งนี้แล้วค่อยกลับไปก็ไม่ช้า”
เมิ่งถังยังจะพูดอะไรได้
ได้แต่ปลอบตนเอง อวิ๋นชูเยวี่ยน่าจะมีรัศมีของนางเอก หาไม่ครั้งก่อนที่ดินแดนลี้ลับแห่งนั้น เหตุใดนางเพียงนั่งยองลงไปที่ข้างสระน้ำล้างมือดินแดนลี้ลับก็เปิดออกแล้ว
เช่นนั้นพานางไปด้วยก็แล้วกัน ไม่แน่ถึงเวลาอาศัยรัศมีนางเอกของนางก็จะหาดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำพบได้อย่างง่ายดาย
ครั้นแล้วเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็ไปจากเมืองเหิงหยาง มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ตามเส้นทางที่โจวเฉินเฟยเขียนไว้ในบันทึกการเดินทาง
ตอนจากมาได้ยินว่าโจวอิ้งเสวี่ยได้เรียนให้เจ้าเมืองโจวทราบถึงเรื่องที่ตนคิดจะไปกราบอาจารย์ที่สำนักหมิงหวาแล้ว เจ้าเมืองโจวให้การสนับสนุนอย่างมาก
ยังบอกจะเอายาวิเศษเม็ดสุดท้ายเม็ดนั้นมอบให้สำนักหมิงหวาเป็นของขวัญกราบอาจารย์ของโจวอิ้งเสวี่ย
การกระทำนี้ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญต่อเรื่องที่โจวอิ้งเสวี่ยจะกราบอาจารย์ แต่เมิ่งถังกลับรู้สึกว่าเขาออกจะตั้งใจผลักภัยพิบัติไปให้
เมื่อวานแดนมารยกทัพใหญ่มาโจมตีก็ไม่ใช่เพื่อยาวิเศษเม็ดนั้นหรือ เวลานี้เจ้าเมืองโจวคงรู้ถึงความหมายของคำว่าคนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยกแล้ว และรู้ว่าเพียงอาศัยเมืองเหิงหยางของพวกเขาไม่อาจปกป้องยาวิเศษเม็ดนี้ไว้ได้
แทนที่จะถูกแดนมารเฝ้าคิดถึงยาวิเศษเม็ดนี้ตลอดเวลา ไม่แน่วันใดอาจยกทัพใหญ่มาโจมตีอีกครั้ง ไม่สู้ส่งยาวิเศษเม็ดนี้ออกไป
ไม่เพียงจะได้รับชื่อเสียงว่าใจกว้าง ต่อไปยังรักษาความสงบสุขของเมืองเหิงหยางไว้ได้อีกด้วย
ทว่าเช่นนี้ก็ดียิ่ง ถ้ายาวิเศษเม็ดนั้นอยู่ที่สำนักหมิงหวา แดนมารคิดจะโจมตีสำนักหมิงหวาก็ยังต้องชั่งน้ำหนักไตร่ตรองดู
เรื่องของเมืองเหิงหยางก็ลุล่วงไปขั้นตอนหนึ่งแล้ว เมิ่งถังเพราะเป็นห่วงเรื่องผนึกในร่างของมู่หวาฮุยมีรอยแยก แทบอยากจะเดินทางทั้งวันทั้งคืน เร่งไปให้ถึงหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นโดยไม่หยุดพักแม้แต่เค่อเดียว
พูดถึงเรื่องนี้ก็ต้องโทษมู่หวาฮุย จะต้องปฏิบัติตามกฎของสำนัก บอกศิษย์ในสำนักที่ลงจากเขามาฝึกฝนหาประสบการณ์ ถ้าไม่ใช่พบเรื่องคับขันอันตรายล้วนไม่อาจขี่กระบี่ได้แต่เดินเท้า หาไม่ถ้าขี่กระบี่ไปคิดว่าใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็พอแล้วกระมัง ไหนเลยยังจะได้แต่พึ่งพาการเดินเท้าเช่นในตอนนี้
ดีที่หลังจากนั้นครึ่งเดือน ในที่สุดพวกนางก็มาถึงหมู่บ้านชาวประมงที่พูดถึงในบันทึกการเดินทางแห่งนั้น
ไม่นับว่าเป็นหมู่บ้านใหญ่ ในหมู่บ้านยังมีบ้านร้างใกล้จะพังอยู่หลายหลัง
ถามคนในหมู่บ้านบอกมีคนบ่นว่าหาเลี้ยงปากท้องด้วยการประมงลำบากทั้งอันตราย จึงย้ายครอบครัวไปอยู่ในเมือง หาเลี้ยงครอบครัวด้วยอาชีพอื่น บ้านที่เหลืออยู่ไม่มีคนต้องการจึงทิ้งว่างไว้
พวกเมิ่งถังจึงเลือกบ้านที่ดูแล้วผุพังไม่มากนักหลังหนึ่ง คิดว่าคืนนี้จะถูไถพักที่นี่ก่อนสักคืน
เจ้าของบ้านหลังนี้คงตัดสินใจเด็ดขาดจะไม่กลับมาอีกแล้ว ดังนั้นประตูใหญ่จึงไม่ได้ใส่กุญแจ เพียงหับไว้
เมิ่งถังยื่นมือไปผลักประตู จากนั้นฉากอิหลักอิเหลื่อฉากหนึ่งก็เกิดขึ้นแล้ว
ประตูบานหนึ่งถึงกับถูกนางผลักโค่นลงไปทั้งเช่นนั้น ตอนลงถึงพื้นเกิดเสียงโครมดังสนั่น ฝุ่นปลิวคละคลุ้ง
ประตูอีกบานหนึ่งแม้จะไม่ได้โค่นลงไป แต่ก็ห้อยร่องแร่งไปมาอยู่ที่นั่น เมิ่งถังรู้สึกว่ายามนี้ถ้ามีลมพัดโชยมาเบาๆ ประตูข้างนั้นจะต้องโค่นลงไปอย่างแน่นอน
หันหน้ามาด้วยลำคอที่แข็งทื่อ นางชี้มือไปยังประตูบานที่โค่นลงไป ยิ้มแหยพลางบอก “ประตูนี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยแข็งแรง”
เพิ่งกล่าวจบก็ได้ยินเสียงโครมดังขึ้นอีกครั้ง
หันหน้ากลับไปมอง ดียิ่งนักประตูอีกข้างที่เหลืออยู่ในที่สุดก็โค่นลงไปแล้ว
ติงเล่อเซวียนกลั้นไม่อยู่ หัวเราะพรืดเสียงดังออกมา
ระยะหลังมานี้นางเป็นฝ่ายทำตัวห่างเหินจากอวิ๋นชูเยวี่ย กับเมิ่งถังกลับนับวันยิ่งใกล้ชิดสนิทสนม
อีกทั้งยิ่งใกล้ชิดสนิทสนม นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเมิ่งถังดียิ่ง
เมิ่งถังเป็นคนใจกว้างมองโลกในแง่ดีทั้งจิตใจเปิดเผย อยู่กับนางถึงเจ้าจะมีอะไรล่วงเกินนาง ขอเพียงไม่แตะถูกขีดต่ำสุดของนาง อย่างมากนางก็บ่นว่าเจ้าสองคำ ผ่านไปแล้วก็ลืม ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ
ยิ่งไม่ต้องห่วงว่านางจะทำร้ายเจ้าลับหลัง อยู่กับคนเช่นนี้สบายใจยิ่งนัก
แม้แต่หลิงซิงเหยายังอดหัวเราะไม่ได้
ส่วนมู่หวาฮุยไม่ว่าที่ใดเวลาใด ยามเขามองไปที่เมิ่งถังล้วนดูเหมือนจะมีแสงสว่างในดวงตา
มีเพียงอวิ๋นชูเยวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างได้แต่มองดูพวกเขาไม่พูดอะไร
หลิงซิงเหยาก็ดี ติงเล่อเซวียนก็ดี แต่ก่อนล้วนแต่ห้อมล้อมอยู่ข้างกายนาง ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนคิดเพื่อนาง แต่ยามนี้พวกเขาสองคนล้วนทำตัวห่างเหินจากนางกลับไปใกล้ชิดสนิทสนมกับเมิ่งถัง
ในใจก็รู้สึกว่าเมิ่งถังแย่งชิงทุกอย่างไปจากนาง
เมิ่งถังกระทั่งคู่หมั้นของนางก็ยังแย่งชิง!
ชอบหรือไม่ชอบใคร เพียงมองดวงตาก็รู้แล้ว ยามมู่หวาฮุยมองเมิ่งถัง ประกายในดวงตาของเขาไม่อาจโกหกคนได้
แต่ในช่วงเวลานี้กระทั่งจะมองนางสักแวบ มู่หวาฮุยก็ยังตระหนี่ถี่เหนียว
นี่ก็คือจุดที่ในใจของอวิ๋นชูเยวี่ยไม่อาจยอมรับได้
เมิ่งถังกับติงเล่อเซวียนพวกนางเดินเข้าไปในบ้านแล้ว
บ้านหลังนี้ไม่รู้ไม่มีคนอยู่อาศัยมานานเพียงใดแล้ว ในบ้านเต็มไปด้วยฝุ่นผงและหยากไย่ เนื่องจากตอนนี้เป็นฤดูร้อน ดังนั้นแมลงต่างๆ จึงมีมาก
อวิ๋นชูเยวี่ยเพียงเดินเข้าไปมองแวบเดียวก็ย่นหัวคิ้วแล้วถอยออกมา
ในบ้านมีบรรยากาศคล้ายเปลวไฟลุกโชนสู่ท้องฟ้า*
แม้จะมีอาคมทำความสะอาด แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีส่วนที่ตกหล่นตามมุมตามซอก ในเวลาเช่นนี้ก็จำเป็นต้องใช้แรงคนลงมือทำด้วยตนเอง
เมิ่งถังรู้มู่หวาฮุยรักความสะอาด ตอนเก็บกวาดจึงทำอย่างละเอียดลออยิ่ง กระทั่งฝุ่นผงในซอกกระเบื้องก็แทบจะเช็ดจนสะอาดสะอ้าน
หลังจากลงมือเก็บกวาดอย่างเหน็ดเหนื่อย บ้านหลังนี้แม้จะยังดูชำรุดผุพัง แต่อย่างน้อยก็สะอาดสะอ้าน มีที่ให้พักผ่อนหลับนอนแล้ว
น้อยครั้งที่เมิ่งถังจะมีอารมณ์สนุกสนานเช่นนี้ เรียกติงเล่อเซวียน “มา…มา เราสองคนไปเก็บฟืนด้วยกัน ตอนค่ำก่อกองไฟกันแล้วไปจับปลาที่ทะเลมาสักหลายตัว ประเดี๋ยวเรามาย่างปลากินกัน”
ติงเล่อเซวียนยามนี้ก็อยู่ช่วงวัยรักสนุก เมื่อก่อนตอนอยู่สำนักหมิงหวาก็เอาแต่ฝึกวิชาทั้งวัน เก็บฟืน จับปลา เรื่องพวกนี้ไม่เคยทำมาก่อนเลย