บทนำ
หากทำได้ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่อยากจะฟื้นขึ้นมาเลย ทางที่ดีหลังผ่านไปสองสามวันแล้วก็ให้นางค้นพบว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝันเถิด เรื่องประหลาดผิดธรรมดานี้ไม่เคยเกิดขึ้น นางไม่เคยต้องกังวลเรื่องปากท้องอะไร ทว่าน่าเสียดาย…
ฉู่อวิ๋นจิ้งกวาดตามองจากซ้ายไปขวา เก็บภาพความระเกะระกะเละเทะของทั้งห้องไว้ในสายตา ก่อนเงยหน้ามองฟ้า ถามโดยไร้สุ้มเสียง เทวดาฟ้าดินเจ้าคะ ครอบครัวนี้บ้านเหลือแต่ผนังสี่ด้านแล้ว ยังจะถูกขโมยขึ้นบ้านอีก พระองค์ว่าเช่นนี้มันยุติธรรมหรือเจ้าคะ
แน่นอนว่านางไม่ได้รับคำตอบจากเบื้องบน สายตาจึงค่อยๆ มองคนในบ้านที่มีทั้งเด็กและสตรี ท้ายที่สุดนางก็ได้ข้อสรุปว่า…ครอบครัวนี้อเนจอนาถเกินไปแล้ว!
เมื่อหนึ่งปีก่อนบิดาได้ออกทะเลไปพร้อมกับเรือสินค้า นับแต่นั้นมาเขาก็ประหนึ่งก้อนหินที่จมหายไปในห้วงสมุทร ทั้งครอบครัวพลันสูญเสียคนหาเงินที่สำคัญที่สุดไป ทว่ายังดีที่มีเงินช่วยเหลือจากท่านยายทุกคนจึงพอประทังชีวิตมาได้ แต่เพียงไม่กี่เดือนให้หลังคิดไม่ถึงว่าแหล่งเงินช่วยเหลือซึ่งก็คือท่านยายของพวกเขากลับจากไป อำนาจของผู้ดูแลเรือนจึงตกไปอยู่ในมือสะใภ้ใหญ่ และแน่นอนว่า…พวกเขาไม่ได้รับเงินช่วยเหลืออีกแล้ว
แล้วก็ยิ่งเคราะห์ซ้ำกรรมซัดขึ้นไปอีกเมื่อมารดามาล้มป่วยจากการโหมงานหนักเกินไป ต่อจากนั้นก็มีเรื่องที่พี่สาวคนโตของครอบครัวนี้ช่วยชีวิตน้องชายคนเล็กที่พลัดตกจากหน้าผาจนตัวตาย เคราะห์ดีที่นางทะลุมิติมาที่ร่างนี้พอดี ทั้งยังมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอยู่ด้วย มิฉะนั้นครอบครัวนี้คงได้อเนจอนาถยิ่งกว่านี้แน่
“ท่านแม่ พวกเราถูกโจรขึ้นบ้านขอรับ” ฉู่เย่าพยายามสะกดน้ำเสียงให้นิ่งมากที่สุด ถึงกระนั้นเขาก็มีอายุเพียงสิบสี่ปี เมื่อเจอสถานการณ์ตรงหน้านี้ร่างเขาก็ยังสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
เหลียนอวี้จูผู้เป็นมารดาตั้งสติได้ในที่สุด นางคล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นได้จึงวิ่งพุ่งเข้าไปในห้อง เวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา นางจึงเดินเนิบช้าออกมา ถึงใบหน้าจะยังขาวซีด แต่สีหน้ากลับดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด
นางมองลูกๆ ที่ดูเป็นกังวล แล้วฝืนคลี่ยิ้มอย่างปลอบประโลม “ไม่เป็นไรนะ เงินหลายสิบตำลึงที่แม่ซ่อนไว้ใต้เตียงยังอยู่ดี”
หลายสิบตำลึง?!…ฉู่อวิ๋นจิ้งเหลียวมองกระบุงไม้ไผ่ที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง ภายในนั้นใส่ผักป่าและผลไม้ที่เพิ่งเก็บมาจากบนเขาไว้จนเต็ม นางอดทอดถอนใจไม่ได้ ครอบครัวนี้ยากจนข้นแค้นเกินไปแล้วนะ! ไม่ได้การ ชีวิตที่แล้วมาของข้าล้วนสุขสบายยิ่งนัก ข้าจะกินยากหรือเอาแต่ใจอย่างไรก็ได้ เพียงแค่วันเวลาที่กินไม่อิ่มท้องในตอนนี้ก็เกินพอให้ข้าลืมไม่ลงไปชั่วชีวิตแล้ว ข้าจะต้องลุกขึ้นสู้ เปลี่ยนแปลงอะไรบ้างแล้ว จะปล่อยให้ครอบครัวนี้ตกต่ำต่อไปไม่ได้!
“ท่านแม่ พวกเราเคยล่วงเกินผู้ใดไปหรือไม่”
ตลอดหนึ่งเดือนมานี้หลังจากที่ฉู่อวิ๋นจิ้งฟื้นขึ้นมาจากการช่วยชีวิตน้องชายคนเล็ก นอกจากอาการบาดเจ็บภายนอกแล้วนางก็ดูนิ่งเงียบจนแทบจะกลายเป็นคนใบ้ทีเดียว จู่ๆ ยามนี้ได้ยินนางเอ่ยปากพูดเช่นนี้ช่างชวนให้คนทั้งหมดอึ้งไปพร้อมกัน
ฉู่อวิ๋นจิ้งประหนึ่งไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของตนเอง นางยังคงเอ่ยต่อโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าบ้านพวกเรายากจนข้นแค้นเพียงใด พวกโจรมาที่นี่ออกจะโง่เขลาเกินไปหรือไม่ ซ้ำยังแทบจะค้นทุกซอกทุกมุม เกรงว่าคงไม่ใช่การขโมยของธรรมดาๆ แน่”
“พวกเราไหนเลยจะไปล่วงเกินผู้อื่นได้” แววตาเหลียนอวี้จูเผยประกายวูบหนึ่ง
“ท่านแม่บอกความจริงมาเถิด ข้าจะได้คิดให้กระจ่างว่าเรื่องวันนี้เกิดจากโจรที่ตาไร้แววเข้าผิดบ้าน หรือมีคนจงใจ”
“…คนจงใจ?”
“ท่านแม่เห็นว่าเหตุการณ์นี้ปกติหรือเจ้าคะ” ฉู่อวิ๋นจิ้งกวาดตามองทุกคนอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง ทว่าเพียงแค่แวบเดียวบรรยากาศก็ตึงเครียดเพิ่มขึ้นทันใด จู่ๆ คนทั้งหมดก็พร้อมใจกันตั้งใจฟัง ชั่วพริบตานี้เองพี่สาวคนโตที่คงอยู่ประดุจร่างโปร่งแสงมาตลอดทั้งเดือนก็เปลี่ยนเป็นผู้นำครอบครัวคอยดูแลจัดการเรื่องราวภายในบ้าน
“แม่ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเราไปล่วงเกินใครเข้า เพียงแต่ก่อนพ่อเจ้าออกจากบ้านได้เอ่ยกำชับหลายครั้งว่าพวกเรากับจวนจงอี้ป๋อ ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว ลำบากยากเข็ญเพียงใดก็ห้ามคิดกลับจวนจงอี้ป๋อ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งจัดระเบียบความคิดอย่างรวดเร็วครู่หนึ่ง เรียบเรียงความเป็นมาของพวกเขาทั้งครอบครัวอย่างคร่าวๆ