“พ่อบ้านหูอยากรอก็รอเถิด เพราะพ่อข้าก็ไม่ได้บอกไว้ว่าจะกลับมาเมื่อใด” ฉู่อวิ๋นจิ้งเอ่ย
พ่อบ้านหูลังเลชั่วขณะ ก่อนยกมือประสานแล้วเอ่ย “สามวันให้หลังบ่าวจะมาใหม่”
ฉู่อวิ๋นจิ้งให้ลุงหลี่ส่งแขก ไม่นานศาลารับลมก็เหลือเพียงพวกนางสองคนแม่ลูก
“จิ้งเอ๋อร์ ไยจู่ๆ จวนป๋อก็จะให้พวกเรากลับไปเล่า” เหลียนอวี้จูไม่อยากเชื่อเลยสักนิด อาศัยในจวนจงอี้ป๋อมาสิบกว่าปีนางไหนเลยจะไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นสถานที่เช่นไร นายท่านสี่ บุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยาเพียงคนเดียวผู้นี้พูดได้ว่าเป็นความอัปยศที่ฮูหยินผู้เฒ่าอยากลบออกไปมากที่สุด ตั้งแต่เด็กเขาก็ใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวนภายใต้การกดขี่ของฮูหยินผู้เฒ่ากับบรรดาพี่น้อง ฐานะในจวนต่ำต้อยยิ่งยวด กระทั่งคำพูดยังมีน้ำหนักไม่เท่าคนที่ปรนนิบัติข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า
“ไม่ว่าเป้าหมายคืออะไรก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่” ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่ไว้ใจพวกเขาเช่นกัน
“หากพวกเราไม่ตามพ่อบ้านหูกลับไป จวนป๋อจะเลิกราโดยดีหรือไม่”
“ข้าอยากย้ายไปอยู่ในเมืองมาโดยตลอด อยู่ที่นั่นสะดวกส่งน้องชายทั้งสองเรียนหนังสือ” พอเริ่มมีเงิน นางก็ส่งฉู่เย่าเข้าเรียนที่สำนักศึกษาในเมือง แต่ฉู่เหยียนเด็กเกินไปจึงยังเข้าสำนักศึกษาไม่ได้ เขาต้องเข้าเรียนในสำนักศึกษาชั้นต้นแทน ทว่าละแวกนี้กลับไม่มีสำนักศึกษาชั้นต้นเลย คิดไปคิดมาพวกเขาย้ายเข้าเมืองจะค่อนข้างสะดวกกว่าอยู่ที่นี่
“แม่ตัดใจจากที่นี่ไม่ได้”
“ท่านแม่ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่มีทางขายบ้านนี้แน่ ไม่ว่าอย่างไรก็จะเก็บบ้านนี้ไว้ ท่านพ่อกลับมาแล้วจะได้หาพวกเราเจอ” สองปีไม่มีข่าวคราว เกรงว่าบิดาคงเจอเรื่องร้ายมากกว่าดีแน่ แต่ทั้งครอบครัวก็ยังไม่อยากละทิ้งความหวัง
“ไม่ขายบ้านพวกเราก็ไม่มีเงินซื้อบ้านในเมืองนะ”
“ข้าเตรียมเงินสำหรับซื้อบ้านไว้แล้ว แต่คงต้องลำบากน้องสาวปักภาพวาดให้ข้าผืนหนึ่ง” ฉู่อวิ๋นจิ้งยังคงชอบให้มีเงินเก็บติดตัวมากหน่อย การปักภาพวาดเป็นรายรับที่นางคิดได้อีกช่องทางหนึ่ง ถึงแม้ฉากบังลมปักสองหน้าจะราคาสูงกว่าภาพปัก แต่ภาพปักเสียแรงน้อยกว่า ก่อนหาบ้านและย้ายเข้าเมืองก็น่าจะปักสำเร็จได้ภาพหนึ่งพอดี
นิ่งไปเล็กน้อยเหลียนอวี้จูก็เอ่ยขึ้นตะกุกตะกัก “ก่อนพ่อเจ้าออกจากบ้านไปเขาได้ทิ้งตั๋วเงินร้อยตำลึงไว้ให้แม่ยี่สิบใบ”
“เอ๋?” ฉู่อวิ๋นจิ้งพลันรู้สึกว่าสมองชาหนึบ
“พ่อเจ้าบอกว่าหากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ห้ามแตะต้องเงินเป็นอันขาด แม่เลยเย็บตั๋วเงินไว้ในเสื้อกันหนาวสองสามตัว ด้วยกลัวว่าหากเจอความลำบากเล็กๆ น้อยๆ แล้วจะทนไม่ไหวจนเผลอใช้เงินเหล่านั้น”
ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่รู้จะพูดอะไรแล้วจริงๆ
จริงสินะ ตอนนั้นยังไม่ถึงกับเข้าตาจนเสียทีเดียว เป็นนางที่รอไม่ไหวกระโดดออกมาแบกรับภาระเลี้ยงดูครอบครัวนี้เสียก่อน จะโทษที่มารดาไม่รู้จักปรับตัวตามสถานการณ์ ดึงดันจะเก็บตั๋วเงินไม่ยอมเอาออกมาก็ไม่ได้ นี่ถือเป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่าบิดานางหาใช่บุรุษที่ไม่มีความรับผิดชอบ อย่างน้อยออกจากบ้านไปก็ยังรู้จักทิ้งเงินให้ภรรยาและลูก
“ถึงวันนี้พวกเราก็ไม่ขาดเงินทองอะไร ท่านแม่เก็บไว้ต่อไปเถิดเจ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนี้เหลียนอวี้จูก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ตั๋วเงินที่สามีทิ้งไว้ให้นั้นสำหรับนางแล้วถือเป็นของดูต่างหน้าสามีอย่างหนึ่ง ทำให้หวนนึกถึงตอนเขาจากไป เขามอบตั๋วเงินให้นางอย่างจริงจัง ซ้ำยังไม่วางใจกำชับให้นางดูแลตนเองกับลูกให้ดี รอจนเมื่อเขากลับมา เขาจะเป็นผู้ชดเชยความน้อยเนื้อต่ำใจที่แล้วมาของนางให้ ยามราตรีดึกสงัดนางจึงมักลูบตั๋วเงินที่ซ่อนไว้ในเสื้อผ้าด้วยความถวิลหาสามี นางเชื่อว่าเขาจะรักษาสัญญากลับมาหา นางอดคิดไม่ได้ว่าหากนางใช้ตั๋วเงินเหล่านี้ไป สามีก็จะหายลับไปเช่นเดียวกัน