ที่เซียวอวี้ชอบชิมอาหารเลิศรสอย่างเงียบๆ นั้นไม่ใช่เพราะเขาทนที่ด้านข้างมีคนอื่นอยู่ด้วยไม่ได้ แต่เป็นเพราะเขาเกลียดการกินอาหารแล้วยังต้องรักษาสีหน้ายามอยู่กับคนอื่น สำหรับเขาแล้วการกินดื่มถือเป็นเรื่องง่ายดายอย่างหนึ่ง อร่อยคืออร่อย ไม่อร่อยคือไม่อร่อย หากมีคนจำนวนมากคอยตัดสินรสชาติอาหารจากความชอบของตนเอง รสชาติของอาหารก็จะเปลี่ยนไปไม่บริสุทธิ์
เพราะอย่างนี้แทนที่เซียวอวี้จะชอบนั่งในหอสุราที่มีชื่อเสียง เขากลับชมชอบร้านเล็กๆ ไม่สะดุดตาคนมากกว่า
“คุณชาย น้ำแกงปลาร้านนี้รสชาติโดดเด่นไม่เหมือนใครยิ่งนัก ให้รสชาติเหมือนกับเนื้อปูเลยขอรับ” เกาฉีเอ่ยประหนึ่งถวายของล้ำค่า ที่ใดมีอาหารโอชาชวนให้คนน้ำลายสอ คุณชายก็จะค้นพบก่อนพวกเขาเหล่าองครักษ์เสมอ ในที่สุดครั้งนี้เขาก็ชิงตัดหน้าค้นพบร้านน้ำแกงปลานี้ก่อนคุณชายหนึ่งก้าวแล้ว
เซียวอวี้กวาดตามองรอบด้านแล้วพยักหน้าเล็กน้อย แม้จะนั่งเบียดเสียดยัดเยียดไปบ้าง แต่จิตใจทุกคนล้วนจดจ่ออยู่กับการกินอาหารจึงไม่ถึงขั้นดูจอแจ
ไม่นานน้ำแกงปลาสองชามก็ถูกยกมาส่ง ทั้งสองคนกินก่อนพูดทีหลังอย่างรู้ใจกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด
“แม่นางฉู่” ท่านยายเสิ่นเอ่ยขึ้นเสียงไม่ดังก็จริง แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนสัมผัสได้ถึงความยินดีปรีดาของนาง ลูกค้าในร้านเลื่อนสายตามองตามไป กระทั่งเซียวอวี้ก็ไม่เว้น ทว่าที่ตัวเขาหันมานั้นเพราะ ‘แซ่ฉู่’ ต่างหาก
ฉู่อวิ๋นจิ้งที่กำลังกลัดกลุ้มจนใกล้สติแตกเต็มที จู่ๆ ได้ยินคนเอ่ยเรียกเช่นนี้นางจึงหยุดฝีเท้าแล้วมองตามเสียงไป เมื่อเห็นคนเรียกนางก็แย้มยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง “ท่านยายเสิ่น!”
“แม่นางฉู่คงยังไม่ได้กินอะไรมา นั่งกินน้ำแกงปลาคู่กับข้าวหน้าหมูพะโล้ก่อนเถิด”
ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิด แต่นางไม่มีวันปฏิเสธท่านยายเสิ่น เพราะนี่เป็นวิธีการตอบแทนบุญคุณที่ท่านยายเสิ่นมีต่อนาง เนื่องจากน้ำแกงปลาของท่านยายเสิ่นก็คือน้ำแกงปลาเทียมปูที่นางสอนให้กับมือทุกขั้นตอน รวมถึงข้าวหน้าหมูพะโล้ก็ด้วย ทำให้ท่านยายเสิ่นได้อาศัยสิ่งนี้เลี้ยงดูหลานทั้งสามคน
“ขอบคุณท่านยายเสิ่นมาก ข้าขอแค่น้ำแกงปลาชามหนึ่งก็พอแล้ว” ฉู่อวิ๋นจิ้งนั่งลงตามที่ท่านยายเสิ่นจัดให้
ท่านยายเสิ่นยกน้ำแกงปลามาส่งหนึ่งชามอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “แม่นางฉู่พบความยุ่งยากอะไรมาหรือ”
“แค่เรื่องเล็กเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่นับเป็นความยุ่งยากอะไรเจ้าค่ะ” ที่ฉู่อวิ๋นจิ้งพูดมาก็เป็นความจริง ต่อให้ยามนี้นางจะปวดสมองเต็มทีแล้วก็ตาม เพราะเดิมคิดว่าซื้อบ้านก็เหมือนกับการซื้อผักในตลาดที่ดูสุดแสนจะง่ายดาย สิ่งสำคัญคือต้องมีถุงเหอเปาที่ลึกพอเสียก่อน จากนั้นก็แค่เลือกแบบที่ชอบตรงกับที่ต้องการ…เป็นอันจบ
ทว่านางคิดผิด…ผิดมหันต์! ซื้อบ้านหาใช่เหมือนกับที่นางคิดไว้ อย่างน้อยๆ ก็ที่เซียงโจวนี้ หากจะซื้อบ้านสักหลังจำเป็นต้องให้เพื่อนบ้านทั้งซ้ายและขวายินยอมเสียก่อน…มีเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน น่าขบขันไปหรือไม่ ทว่าต่อให้นางไม่อยากเข้าใจเพียงใด ความจริงตรงหน้าก็ยังคงเป็นเช่นนี้
ในเวลานี้นางเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความสำคัญของคนที่มีอำนาจแล้ว หากได้วาจาของคนมีเงินที่มากอำนาจมาช่วยพูดให้ เพื่อนบ้านทั้งซ้ายและขวาไหนเลยจะกล้าไม่ยินยอม นางใคร่ครวญดู…หรือจะไปขอให้ลู่ไป่จวิ้นช่วยดีนะ คนที่ข้ารู้จักมีเพียงเขาที่ดูมีอำนาจ นอกจากนี้เขายังเคยเปรยว่ายินดีให้ความช่วยเหลือ นั่นก็หมายความว่าสำหรับเขาแล้วสิ่งนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากขอให้เขาช่วยออกหน้า ข้าก็ต้องติดหนี้บุญคุณเขาครั้งหนึ่ง
“แม่นางฉู่ หากมีสิ่งใดที่ยายพอช่วยเหลืออะไรได้ ขอให้เอ่ยปากมาเต็มที่เลยนะ”
“ได้เจ้าค่ะ เหตุใดวันนี้ข้าไม่เห็นต้าหลางเลยเล่า” ถึงหลานคนโตสุดของท่านยายเสิ่นจะอายุไม่ถึงสิบปี แต่สำหรับครอบครัวชาวบ้านยากจนนั้น จะมีเด็กขึ้นเป็นผู้นำครอบครัวตั้งแต่อายุน้อยๆ ขอแค่ไม่นอนติดที่ก็ต้องรับผิดชอบภาระเลี้ยงดูครอบครัวแล้ว