บทที่หนึ่ง
“อาหารจานนี้มีชื่อว่าเป็ดพะโล้ ขั้นแรกล้างเป็ดให้สะอาด ใส่น้ำมันงาลงกระทะแล้วตั้งให้ร้อน เอาเป็ดลงไปจี่จนทั้งสองด้านเป็นสีเหลือง ใส่สุรา น้ำส้ม และน้ำเปล่าพอให้ท่วมเนื้อเป็ด จากนั้นใส่เครื่องเทศที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พวกยี่หร่า ชะเอม รากไป๋จื่อ ขิง พริกหอม กระวาน และเครื่องเทศบดละเอียดอื่นๆ ลงไป แล้วตามด้วยต้นหอม น้ำปรุงรส เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนสุก หลังสุกทั่วแล้วก็ให้เอาไปแช่ในน้ำพะโล้ เวลามีคนสั่งค่อยนำออกมาหั่นใส่จาน” หลังจากฉู่อวิ๋นจิ้งกล่าวให้ทั้งสามคนซึ่งประกอบไปด้วยหลงจู๊เหอกับพ่อครัวสองคนฟัง นางก็แสดงวิธีการทำให้ดูด้วยตนเองอีกหนึ่งรอบ
กลิ่นหอมลอยฟุ้งไปทั่วห้อง กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่กระตุ้นความอยากอาหารของคน ชวนให้คนที่ได้กลิ่นอยากจะลิ้มลองสักคำหนึ่ง ทว่าน่าเสียดายนักที่บ่าวอย่างพวกเขากลับได้กินแต่ของเหลือจากเจ้านายเท่านั้น แต่ต่อให้อาหารตรงหน้านี้เหลือจากเจ้านาย ขอเพียงเขาได้ชิมอาหารตรงหน้านี้สักคำหนึ่ง พวกเขาก็คงพอใจมากแล้ว เพราะพวกเขารู้มานานแล้วว่าแม่นางฉู่ผู้นี้มีฝีมือการปรุงอาหารล้ำเลิศเพียงใด ต่อให้เป็นอาหารชนิดเดียวกัน ขอเพียงได้ผ่านมือนางแล้วก็จะทำให้คนกินรู้สึกอยากกินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเสมอ
“เอาล่ะ อีกประเดี๋ยวค่อยยกไปให้แขกสำคัญ ถึงตอนนั้นก็ให้นำออกมาหั่นเป็นชิ้นลงจาน” ฉู่อวิ๋นจิ้งนับถือเถ้าแก่หอจ้วนเซียนยิ่งนัก เพราะตอนที่นางแสดงวิธีการทำอาหารนี้ เขาก็จะถือโอกาสเปิดตัวอาหารจานใหม่ไปด้วยเลยพร้อมกัน เพราะเหตุนี้ทุกคราวที่หอจ้วนเซียนเปิดตัวอาหารจานใหม่ ตลอดหนึ่งเดือนจากนี้บรรดาขุนนางคหบดีในเซียงโจวและพวกพ่อค้าที่เดินทางมาทำการค้าจากเมืองใกล้เคียงก็ต้องมาเพื่อสั่งอาหารจานใหม่นี้เป็นการเฉพาะ
หลงจู๊เหอหันไปบอกกับพ่อครัวว่า “อีกหนึ่งถ้วยชาให้ยกเป็ดพะโล้ไปส่งที่คฤหาสน์จู๋ย่วน” แล้วประสานมือเอ่ยกับฉู่อวิ๋นจิ้ง “เถ้าแก่รอแม่นางฉู่อยู่ที่ห้องตงซานขอรับ เชิญแม่นางฉู่ตามผู้น้อยมา”
ฉู่อวิ๋นจิ้งพยักหน้ารับรู้ นางปลดผ้ากันเปื้อนเก็บใส่ถุงผ้าสะพายหลัง ก่อนเดินตามหลงจู๊เหอออกจากห้องครัวไปยังห้องตงซานที่อยู่บนชั้นสอง
“แม่นางฉู่มาแล้วขอรับ” หลงจู๊เหอเอ่ยปากขึ้น แล้วหยุดอยู่อยู่เงียบๆ ที่ข้างประตู
ลู่ไป่จวิ้นลุกขึ้นต้อนรับ แล้วเชิญฉู่อวิ๋นจิ้งนั่งลง
ฉู่อวิ๋นจิ้งคารวะตอบ ก่อนนั่งลงตรงข้ามลู่ไป่จวิ้น เขาพลันเลื่อนหนังสือสัญญากับตั๋วเงินห้าสิบตำลึงสองใบมาให้ตรงหน้านาง
“แม่นางฉู่ขายสูตรอาหารกับข้าหนึ่งร้อยตำลึง ไม่รู้สึกเสียดายบ้างหรือ” แต่ไรมาลู่ไป่จวิ้นก็เชื่อว่าตนเองมีสายตาเฉียบแหลมมาตลอด เพียงแค่มองใครสักคนในปราดเดียวก็สามารถอ่านได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว ทว่าสายตาเฉียบแหลมของเขานั้นกลับใช้ไม่ได้กับฉู่อวิ๋นจิ้ง ทั้งที่พวกเขาติดต่อค้าขายกันมาหนึ่งปีแล้ว สิ่งที่เขาสัมผัสได้จากนางกลับเหมือนมองนางผ่านผ้าโปร่งคลุมชั้นหนึ่ง รู้แค่นางหาได้บอบบางอ้อนแอ้นดั่งรูปโฉมภายนอก
ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่เห็นด้วย “หากสูตรอาหารนี้ไม่ขายให้คุณชายลู่ ภายหน้าก็อาจมีคนคิดสูตรอาหารแบบนี้ออกมาได้เช่นกัน สูตรอาหารของข้าก็จะไม่มีความหมาย”
“ข้ายังคงเลื่อมใสในตัวแม่นางฉู่ยิ่งนัก ช่างเปิดเผยตรงไปตรงมาจริงๆ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งอธิบายอะไรเพิ่มไม่ได้ เพราะความจริงนางก็แค่ใช้สูตรอาหารของคนอื่นมาหาเงิน นางจึงเอ่ยเพียงว่า “ข้ายังต้องขอบคุณคุณชายลู่ที่ให้โอกาส”
“ข้าเป็นพ่อค้าที่มองสินค้าตามคุณภาพ หากไม่ใช่เพราะขนมที่แม่นางฉู่ทำออกมาทำให้ข้าเห็นโอกาสทางการค้าและแม่นางฉู่มีความสามารถจริงๆ ข้าเองก็คงไม่ร่วมงานด้วยหรอก” ลู่ไป่จวิ้นยังจำเหตุการณ์ตอนพบนางครั้งแรกเมื่อหนึ่งปีก่อนได้ นางมาขายขนมตรงข้ามกับหอจ้วนเซียน ซ้ำขนมที่ขายยังเป็นขนมเกาลัดที่เลื่องชื่อที่สุดของหอจ้วนเซียนอีกด้วย