บทที่สาม
วิญญาณของฉู่อวิ๋นจิ้งมาอยู่ต้าโจวได้หนึ่งปีกว่าแล้ว นอกจากหนึ่งเดือนที่นอนพักรักษาตัวและคอยสังเกตผู้คนในตอนเริ่มแรก ต่อจากนั้นฉู่อวิ๋นจิ้งก็รักการนอนเป็นชีวิตจิตใจ ด้วยเพราะกลางวันยุ่งจนไม่มีเวลาว่างสักชั่วครู่เดียว ยามราตรีนางจึงนอนหลับยาวไปจนฟ้าสว่าง คนโบราณนอนเร็ว ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าดึกดื่นจะมีมนุษย์ค้างคาวสร้างเสียงรบกวนมาปลุกให้ตื่น แต่ถึงอย่างนั้นคืนนี้นางกลับนอนไม่หลับ
ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่ชอบฝืนตนเอง นอนไม่หลับก็ไม่ต้องนอน ฤดูร้อนยามราตรีเหมาะแก่การชมจันทร์เป็นที่สุด กระนั้นก็ต้องมีถุงหอมกันแมลงติดตัวไว้ด้วย
ฉู่อวิ๋นจิ้งเดินคลำทางในความมืดออกมาจากห้อง ย่อมนึกไม่ถึงว่าจะพบมารดานั่งอ้างว้างอยู่บนขั้นบันได
“อากาศร้อนเกินไป ท่านแม่เลยนอนไม่หลับหรือเจ้าคะ” ฉู่อวิ๋นจิ้งแสร้งทำทีผ่อนคลายขณะเดินไปนั่งลงข้างกายเหลียนอวี้จู
เหลียนอวี้จูหลุดจากภวังค์พลางหันหน้ามามองฉู่อวิ๋นจิ้ง “เหนื่อยมาทั้งวัน เหตุใดเจ้าจึงไม่นอนเล่า”
“ท่านแม่เคยคิดจะกลับเมืองหลวงบ้างหรือไม่” ฉู่อวิ๋นจิ้งเพียงถามไปตามปาก ก่อนจะเงยหน้ามองจันทร์ที่ทอแสงกระจ่างอย่างไม่ใส่ใจนัก วันนี้จันทร์เต็มดวง…จันทร์เต็มดวงผู้คนกลมเกลียว ทว่าครอบครัวนี้กลับไม่มีวันได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกแล้ว
ครู่ใหญ่เหลียนอวี้จูก็คล้ายพึมพำกับตนเองว่า “ตอนออกจากเมืองหลวงพ่อเจ้ารับปากกับแม่ว่าวันข้างหน้าจะให้แม่กลับเมืองหลวงอย่างสง่าสมเกียรติ ตอนนั้นแม่ก็แค่ยิ้มรับ สำหรับแม่แล้วขอแค่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า ไม่ว่าเซียงโจวหรือเมืองหลวงแม่ล้วนไม่ติดใจ แต่แม่รู้ว่าใจของพ่อเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงมาตลอด ถึงเขาออกจากจวนจงอี้ป๋อแล้ว แต่ก็ยังอยากอยู่ที่เมืองหลวง”
ฉู่อวิ๋นจิ้งฟังแล้วไม่เข้าใจ หากท่านพ่ออยากอยู่เมืองหลวงจริงๆ เหตุใดจึงต้องยั่วโมโหท่านปู่ด้วย ท่านพ่อเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยา หากไม่ได้ท่านปู่ช่วยคุ้มครองไว้ ตอนที่อยู่ในจวนจงอี้ป๋อทั้งครอบครัวคงถูกข่มเหงกัดแทะจนเหลือแต่เศษกระดูกไปแล้ว ทั้งที่เป็นเช่นนั้นท่านพ่อก็ยังทะเลาะกับท่านปู่ นี่มิใช่ผิดหลักการปกติหรือไร หรือจริงๆ แล้วพวกเขาเจตนาใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็สามารถอธิบายได้เพียงเรื่องเดียว…ท่านพ่ออยากไปจากจวนจงอี้ป๋อ ทั้งยังได้รับการยินยอมจากท่านปู่ พ่อลูกจึงแสดงละครฉากหนึ่งขึ้น
คาดว่าท่านพ่อคงจำใจออกจากจวนจงอี้ป๋อเพื่อความก้าวหน้า แน่นอนว่าต้องหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้หวนคืนสู่เมืองหลวงอย่างสง่าสมเกียรติ
เงียบไปครู่หนึ่งเหลียนอวี้จูก็เอ่ยต่อโดยไม่รอบุตรสาวพูดขึ้นมา “บัดนี้พ่อเจ้าไม่อยู่แล้ว พวกเราจะอยู่ที่ใดล้วนไม่เป็นปัญหา”
“ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านพ่อจึงตามเรือสินค้าออกทะเลไป” ฉู่อวิ๋นจิ้งคิดไม่ออกเสียที เพราะออกทะเลทำการค้าก็ทำได้แค่หาเงิน ไม่ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อะไร ยามอยู่ต่อหน้าผู้มีอำนาจก็ยังต้องก้มศีรษะค้อมเอวอยู่ดี
เงียบงันไปชั่วอึดใจเหลียนอวี้จูจึงตัดสินใจไม่ตอบตามคำถาม “จิ้งเอ๋อร์ แม่รู้สึกได้ว่าพ่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
ฉู่อวิ๋นจิ้งก็หวังว่าบิดาจะยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน แต่ความจริงนั้นโหดร้าย “อย่างมากที่สุดเรือสินค้าก็ออกทะเลไม่เกินสองปี”
“แม่รู้ แต่…” จวบจนบัดนี้สามีก็ยังไม่เคยมาเข้าฝัน นางจึงไม่เชื่อว่าเขาตายจากไปแล้ว แต่หากอาศัยเพียงข้อนี้ก็ไม่มีเหตุผลใดมาคัดค้านได้
“ข้าหวังว่าฟ้าจะเห็นใจ ความจริงท่านพ่อเพียงติดอยู่ที่ใดสักแห่งยังไม่อาจกลับมาอยู่ข้างกายพวกเราได้ในตอนนี้เท่านั้น” ต่อให้ความหวังมีน้อยนิดเพียงใด แต่นี่ก็เป็นความปรารถนาของนางผู้เป็นบุตรสาว
ได้ฟังดังนั้นเหลียนอวี้จูจึงอดถามขึ้นด้วยความกังวลใจไม่ได้ “หากพ่อเจ้าติดอยู่ที่ใดจริงๆ ทำให้ไม่อาจกลับมาอยู่ข้างกายพวกเราได้ เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี”
“ข้าจะหาคนไปสืบข่าวเกี่ยวกับเรือสินค้าที่ออกทะเลเมื่อสองปีที่แล้วก่อน” ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่ใช่ไม่เคยคิดจะหาร่องรอยของบิดามาก่อน ทว่าในมือนางไม่มีคนที่ใช้ให้ไปสืบข่าวได้เลย ทั้งยังไม่มีเส้นสาย เพียงแค่สืบหาข่าวของเรือสินค้าที่ออกทะเลไปเมื่อสองปีก่อนก็ยังไม่รู้จะเริ่มต้นสืบจากที่ใด