บทที่สี่
“อาหารชนิดนี้ชื่อว่าไก่ขอทาน…เลือกใช้ไก่ที่เนื้อนุ่ม จัดการล้างให้สะอาด ทาน้ำปรุงรสทั้งด้านในด้านนอกพอกไว้หนึ่งวัน ท้องไก่ยัดไส้ที่ผัดจนหอม เช่นเนื้อสับ หน่อไม้สับ กุ้งสด ใช้มันร่างแหห่อตัวไก่เอาไว้ แล้วห่อด้วยใบบัว ค่อยใช้ดินเหลืองพอกให้ทั่วทั้งตัวไก่ ก่อนจะนำไปเผา” ถึงส่วนที่ต้องทำไว้ล่วงหน้าจะจัดเตรียมเสร็จหมดแล้ว แต่ฉู่อวิ๋นจิ้งก็ยังอธิบายอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ เพื่อให้ฉู่เหยียนรู้ว่าไก่ขอทานจานนี้ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปมากเพียงใด นี่ก็คือการสอนด้วยสถานการณ์จริง
ฉู่เหยียนจ้องไก่ขอทานที่ถูกเผาอยู่ในกระถางไฟ บ่อยครั้งเขาก็ใช้ไม้คีบไปเขี่ยเล็กน้อย แล้วสูดจมูกฟุดฟิดเสียงดัง “ข้าได้กลิ่นหอมแล้ว”
ฉู่อวิ๋นจิ้งกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “จมูกเจ้าเป็นจมูกสุนัขหรือ”
“ข้าได้กลิ่นหอมแล้วจริงๆ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งทำท่าปวดหัวแล้วดีดหน้าผากเขาทีหนึ่ง “ข้าพูดยาวเป็นพรวน เจ้ากลับรับรู้แค่กลิ่นหอมอยู่อย่างเดียว”
ฉู่เหยียนยื่นปากเล็ก “ข้าฟังอยู่นะ นี่เรียกว่าไก่ขอทาน”
ฉู่อวิ๋นจิ้งยกมุมปาก ก่อนพยักหน้าขึ้นลง “ดีมาก อย่างน้อยก็ไม่บอกว่าชื่อเป็ดขอทาน”
เหลียนอวี้จูวางงานเย็บปักในมือลง ก่อนส่ายหน้าเอ่ย “เจ้าเอาใจเขาเกินไปแล้ว ยิ่งทำเช่นนี้เขาก็ยิ่งเลือกกิน นี่ก็ไม่กินนั่นก็ไม่กิน อะไรล้วนไม่อร่อยเท่าพี่สาวทำ”
“เหยียนเกอเอ๋อร์ของพวกเราแค่รู้จักเลือก” ฉู่อวิ๋นจิ้งเอ่ยยิ้มๆ
ฉู่เหยียนพลันยิ้มกว้าง
ฉู่อวิ๋นซินหยุดงานเย็บปักในมือ ก่อนจะเงยหน้าออกความเห็น “ข้าก็รู้สึกว่าอาหารที่พี่สาวทำอร่อยที่สุด”
เหลียนอวี้จูไร้หนทางเอ่ยโต้แย้ง นางได้แต่ก้มหน้าทำงานปักในมือต่อ
กลิ่นหอมฟุ้งลอยออกมาเป็นระลอก ฉู่เหยียนรีบใช้ไม้คีบไปจิ้มดู ก่อนร้องอย่างลิงโลด “พี่สาว เห็นหรือไม่ ดินปริแตกแล้ว อย่างนี้กินได้แล้วใช่หรือไม่”
ฉู่อวิ๋นจิ้งพยักหน้า ฉู่อวิ๋นซินก็วางงานปักในมือลงไปในกระจาดด้วยความดีใจ แล้วประชิดมาที่ข้างตัวพี่สาวโดยอยู่ข้างๆ ฉู่เหยียน มองพี่สาวใช้ไม้คีบคีบไก่ขอทานที่อยู่ในกระถางเผาไฟออกมา เริ่มจากวางไว้บนถาด จากนั้นจึงย้ายไปที่โต๊ะหิน ตามด้วยใช้ค้อนกะเทาะดินออก ลอกใบบัวทิ้ง เนื้อไก่นุ่มลื่นส่งกลิ่นหอมโชยมาแตะจมูก เพียงแค่สูดหายใจลึกเข้าหนึ่งเฮือก น้ำลายก็แทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว
“เอาล่ะ กินได้แล้ว ระวังลวกปากด้วยนะ”
ฉู่เหยียนเริ่มกินก่อน ฉู่อวิ๋นซินก็รีบกินตาม เหลียนอวี้จูเห็นพวกเขากินไปพลางปากก็ร้องว่าร้อนบ้าง ไม่ก็ร้องว่าอร่อย นางจึงอดไม่ได้ต้องเข้าไปชิมด้วยคำหนึ่ง อร่อยเหลือเกิน! โดยไม่รู้ตัวก็ขยับตะเกียบอีกครั้ง กินเช่นนี้คำแล้วคำเล่า
ฉู่อวิ๋นจิ้งเพียงแค่มองพวกเขากินอย่างมีความสุข นางก็อิ่มอกอิ่มใจมากแล้ว
เวลานี้เองลุงหลี่ก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ “แม่นางฉู่ อู่หยางโหวซื่อจื่อขอเข้าพบขอรับ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งตกตะลึงไปเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็สงบลง “ข้ายุ่งอยู่ ตอนนี้ไม่มีเวลารับรองแขก”
“เช่นนี้จะดีหรือ” เหลียนอวี้จูถามอย่างไม่สบายใจ
“ไม่ส่งเทียบก็มาถึงบ้านแล้ว เป็นฝ่ายเขาที่เสียมารยาทก่อนนะเจ้าคะ” เดิมทีฉู่อวิ๋นจิ้งไม่ควรมีความรู้สึกดีใจ เจ็บแค้น โศกเศร้า หรือว่ามีความสุขกับเซียวอวี้ แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่พวกเขาพบกันสองสามครั้งที่แล้วมา ทั้งยังคิดเรื่องที่นางกับเขาเป็นคู่หมั้นหมายกัน…ถึงสัญญาหมั้นหมายนี้จะคล้ายไม่มีความหมายอะไร แต่นางก็รู้สึกแปลกพิกลอยู่ดี