ได้ยินเช่นนั้นลู่ไป่จวิ้นก็อดยกนิ้วโป้งขึ้นไม่ได้ “ยอดเยี่ยม! ข้ามาเซียงโจวกว่าครึ่งปีถึงแยกแยะได้ชัดเจนว่าสองสามตระกูลคหบดีใดบ้างที่เป็นตระกูลสำคัญของที่นี่ แล้วยังทำกิจการค้าขายอะไร เจ้ามาไม่ทันไรก็คลำชัดแล้วรึนี่”
“สกุลอู๋เป็นคหบดีใหญ่อันดับต้นๆ ของเซียงโจว ยามไปโรงน้ำชาก็ต้องได้ยินเรื่องของสกุลอู๋สักประโยคสองประโยค จิตใจเจ้าอยู่แต่กับหอจ้วนเซียน เกรงว่าคงไม่มีอารมณ์ไปนั่งในโรงน้ำชากระมัง”
“ข้อนี้ข้าสู้เจ้าไม่ได้จริงๆ แต่เจ้าไม่มีทางรู้แน่ว่าสกุลอู๋ส่งบุตรสาวคนหนึ่งไปเป็นอนุให้จิ้งอ๋อง”
“สกุลอู๋ส่งบุตรสาวไปถึงมือจิ้งอ๋องได้อย่างไรกัน”
“จิ้งอ๋องมาเซียงโจวเพื่อร่วมงานวันเกิดอายุแปดสิบปีของท่านยายของเขา คหบดีตระกูลต่างๆ ผลัดกันเป็นเจ้าภาพเชิญร่วมงานเลี้ยง คิดใช้โอกาสนี้ส่งลูกที่เกิดจากอนุภรรยาไปเป็นอนุภรรยาของจิ้งอ๋องเพื่อผูกสัมพันธ์เป็นครอบครัวเดียวกับจิ้งอ๋อง ทว่าจิ้งอ๋องรับเพียงบุตรสาวสกุลอู๋เพียงผู้เดียว ว่ากันว่าหญิงผู้นี้เป็นโฉมสะคราญแห่งเจียงหนานที่แท้จริง จิ้งอ๋องชมชอบยิ่งนัก”
นิ่งเงียบไปพักหนึ่งเซียวอวี้จึงเอ่ยอย่างเลื่อมใส “เรื่องนี้จัดการได้ประจวบเหมาะเสียจริง คนผู้นี้มีความคิดละเอียดรอบคอบโดยแท้”
ลู่ไป่จวิ้นอึ้งงันไป “หมายความว่าอะไร”
“เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับจิ้งอ๋องผู้เฒ่า จึงมีความเป็นไปได้ที่จิ้งอ๋องจะใส่ใจที่อยู่ของหยกมังกรครึ่งซีกนั้น” จิ้งอ๋องผู้เฒ่าขาดเท้าอีกข้างหนึ่งก็จะก้าวลงโลงอยู่แล้ว ยามนี้หากคิดวางแผนสิ่งใดย่อมต้องทำเพื่อบุตรชาย นี่ถือเป็นหลักการทั่วไป
ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งลู่ไป่จวิ้นก็เข้าใจ “มีคนจงใจลากจิ้งอ๋องออกมา พอพวกเราจับตาดูจิ้งอ๋อง เขาก็จะหนุนหมอนไร้กังวล”
“อาจไม่ถึงขั้นหนุนหมอนไร้กังวล เพราะต่อให้จิ้งอ๋องผู้เฒ่าเป็นคนที่น่าจะปลอมตราพยัคฆ์มากที่สุด แล้วมอบตราพยัคฆ์ปลอมนั้นให้จิ้งอ๋องจริง ทว่าจิ้งอ๋องผู้นี้กลับเป็นคนที่หูเบายิ่ง ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง อาจมีคนหวังใช้จุดอ่อนนี้หลอกใช้เขาก็ได้ หากมีคนรู้เรื่องนี้แล้วไม่ว่าใครก็ต้องพุ่งมาที่ตราพยัคฆ์ปลอมทั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงพวกเราเลย”
“มิผิด ข้านั้นใสซื่อเกินไป ไม่เหมือนเจ้า ช่างเจ้าแผนการยิ่งนัก” เมื่อได้รับสายตาเย็นชาจาก ‘บางคน’ ลู่ไป่จวิ้นก็รีบหัวเราะฮ่าๆ แล้วเปลี่ยนไปถามว่า “หากไม่ใช่จิ้งอ๋องแล้วจะเป็นผู้ใด”
“ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือหนิงอ๋องและอู่อ๋อง” หนึ่งคือพี่ชายของฝ่าบาท อีกหนึ่งคือน้องชายของฝ่าบาท พวกเขาต่างเป็นองค์ชายที่เคยมีโอกาสได้นั่งบัลลังก์มังกร อาจเคยมีโอกาสมากกว่าฝ่าบาทเสียด้วยซ้ำ เพราะโอรสที่อดีตฮ่องเต้ชื่นชอบที่สุดคือหนิงอ๋อง ขณะที่เสียนเฟยชายาที่โปรดปรานที่สุดคือมารดาของอู่อ๋อง
“หนิงอ๋องผู้นี้แต่ไรมาไม่มีปากมีเสียง กลับเป็นอู่อ๋องที่วันๆ ทำตัวเกะกะระราน มีเรื่องเล็กใหญ่ไม่ขาด”
“เกะกะระรานมีอันใดไม่ดีเล่า อย่างน้อยเจ้าก็รู้ว่าเขากำลังทำเรื่องไม่ดีอะไร แน่นอนว่าอาจเป็นภาพลวงก็เป็นได้ ทว่าการไม่มีปากมีเสียง เงียบเชียบคล้ายใช้ชีวิตอยู่ในกรอบไม่ออกนอกลู่นอกทางกลับทำให้คนไม่รู้ตื้นลึกมากกว่า” ด้วยการเลี้ยงดูแบบพิเศษของบิดาจึงมีน้อยนักที่เซียวอวี้จะไปมาหาสู่กับชนชั้นสูงในเมืองหลวง ในสายตาของเขาหนิงอ๋องกับอู่อ๋องจึงนับเป็นคนแปลกหน้า
ลู่ไป่จวิ้นพิจารณาอย่างละเอียดก็เห็นว่าเป็นไปได้จริงๆ ทว่าเขายังคงอดพูดแทนหนิงอ๋องไม่ได้ “หนิงอ๋องผู้นี้นิสัยดี เขาขึ้นชื่อว่าเป็นคนดีในหมู่ชนชั้นสูงของเมืองหลวงเชียวนะ”
เซียวอวี้ไม่แยแสคำพูดของคนภายนอกแม้แต่น้อย ทุกคนล้วนมีความชอบของตนเอง ทั้งยังเป็นยอดฝีมือในการใส่น้ำมันเติมน้ำส้ม สุดท้ายจริงหรือเท็จก็ไม่แน่ชัด เนื่องจากทุกคนก็เอาสิ่งที่ตนเองเห็นมาตัดสินจริงเท็จอยู่ดี