“นอกจากข้ายังมีคนอีกกลุ่มตามหาร่องรอยของพ่อเจ้าอยู่ นั่นเป็นเพราะหยกมังกรบนตัวท่านอาเกี่ยวพันถึงตราพยัคฆ์และสมุดรายชื่อของทหารเรือกองหนึ่ง เป็นกองทหารที่องอาจห้าวหาญและเชี่ยวชาญการรบกองหนึ่ง ในบันทึกคุณูปการสร้างแคว้นของต้าโจวถึงกับครองหน้ากระดาษที่สำคัญที่สุดหน้าหนึ่ง เป็นเหตุให้ฝ่าบาทรีบร้อนหาหยกมังกรครึ่งซีกนั้นกลับมา” เซียวอวี้เคยใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้ว หากต้องการเปลี่ยนความคิดนางให้ได้ ที่ดีที่สุดคือให้เหตุผลที่นางจำเป็นต้องไปจากที่นี่ และหยกมังกรครึ่งซีกบนตัวฉู่ซื่อเหยียก็เป็นสิ่งที่เขานำมาอธิบายเรื่องราวให้ดูใหญ่โตขึ้นได้
ฉู่อวิ๋นจิ้งพลันรู้สึกว่าสมองของนางสับสนวุ่นวายไปหมด คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อจะมีเผือกร้อนลวกติดตัวก้อนหนึ่ง
“วันนั้นคุณหนูใหญ่บอกข้าว่าเป็นไปได้มากว่าท่านพ่อจะไปแคว้นข้างเคียง ข้าจึงไปตรวจสอบจดหมายเหตุราชสำนักของสองปีก่อนดู พบว่ามีความเป็นไปได้อยู่จริงๆ” เซียวอวี้เหลือบมองเกาฉี เขารีบนำสมุดคัดลอกจดหมายเหตุยื่นให้ฉู่อวิ๋นจิ้งทันที “คุณหนูใหญ่ดูจุดที่มีชาดทำเครื่องหมายไว้เถิด นี่เป็นเรื่องแรกที่ฝ่าบาทมีพระดำริหลังสืบราชบัลลังก์…เปิดการค้าขายข้ามชายแดนใหม่ ภายในสามเดือนหลังจากนั้น ก็มีขบวนพ่อค้าไปทำการค้ายังแคว้นเยียนและแคว้นเหลียงถึงยี่สิบสามสิบกอง”
ฉู่อวิ๋นจิ้งเปิดสมุดจนหาจุดที่ทำเครื่องหมายชาดพบ ก่อนจะอ่านเนื้อหาอย่างละเอียด “หากท่านพ่อตามขบวนพ่อค้าไปแคว้นเยียนหรือแคว้นเหลียงจริงๆ แม้จะหาเงินได้จนถุงเหอเปาล้นปริ่ม แต่ก็ไม่อาจสร้างอนาคตได้ จะพาพวกเราทั้งครอบครัวกลับเมืองหลวงอย่างสง่าสมเกียรติได้อย่างไรกัน”
เซียวอวี้ก้าวขึ้นหน้ามา จวบจนช่องว่างระหว่างทั้งสองคนไม่เหลือให้บุคคลที่สาม ฉู่อวิ๋นจิ้งก็อดตัวแข็งค้างไปไม่ได้ ความรู้สึกกดดันอันไร้ที่มาขุมหนึ่งพลันอบอวลอยู่รอบกายนาง เสียงแหบทุ้มของเขาดังพาดผ่านข้างหูอย่างเชื่องช้า “ข้าสงสัยว่าหนึ่งในนั้นอาจมีขบวนพ่อค้าที่ฝ่าบาททรงส่งไป”
ฉู่อวิ๋นจิ้งข่มความรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองลงไป ก่อนจะหันหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ตอนอดีตฮ่องเต้ยังครองราชย์อยู่นั้น การปิดกั้นการค้าขายชายแดน ปิดพรมแดนไม่ให้มีคนเข้าออกทำให้การติดต่อไปมาหาสู่ระหว่างแคว้นต้าโจว แคว้นเยียน และแคว้นเหลียงต้องขาดสะบั้นลง แม้จะมีขบวนพ่อค้าอีกไม่น้อยเดินทางจากแคว้นเล็กไปยังแคว้นเยียนและแคว้นเหลียง หรืออาจเสี่ยงภยันตรายเพื่อข้ามพรมแดนเข้าสู่ทั้งสองแคว้น แต่ข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับแคว้นเยียนและแคว้นเหลียงก็ยังน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หากยังไร้ข่าวคราวเช่นนี้ ไม่ถึงสิบปีอาจมีการเปลี่ยนแปลงจนถึงขั้นทำลายราชสำนักได้ภายในหนึ่งคืน ฝ่าบาททรงไม่อาจทนรับความว่างเปล่าตลอดสิบปีนี้ได้ จึงทรงส่งคนเดินทางไปสืบข่าวตรวจสอบทั่วแคว้นเยียนกับแคว้นเหลียง”
ฉู่อวิ๋นจิ้งพลันเข้าใจกระจ่าง “แม้ไปในนามขบวนพ่อค้า ทว่าแท้จริงคือสายลับของฝ่าบาท?”
“สายลับ อืม…คำนี้เรียกได้เหมาะสมยิ่งนัก”
ฉู่อวิ๋นจิ้งขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล “นี่มิใช่อันตรายมากหรือ”
“คุณหนูใหญ่คาดเดาได้ในใจตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือ หากท่านอาอยากหลุดพ้นจากการข่มเหงของคนในจวนจงอี้ป๋อ มีเพียงต้องเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อให้ได้มาซึ่งความก้าวหน้า”
ฉู่อวิ๋นจิ้งออกแรงกัดริมฝีปากล่าง ไม่ผิด ทว่าการคาดเดาก็เรื่องหนึ่ง หลังพิสูจน์ความจริงได้แล้วก็เป็นอีกเรื่อง
เซียวอวี้เห็นท่าทางของฉู่อวิ๋นจิ้งแล้วก็รู้สึกปวดใจยิ่ง เขาอยากเข้าไปปลอบโยนความไม่สงบใจของนางยิ่งนัก แต่เขายังทำเช่นนั้นไม่ได้ ทำได้เพียงปลอบโยนนางด้วยคำพูด
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย ผู้ที่ทำให้ฝ่าบาทต้องพระทัยจนได้รับหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้จะต้องเป็นยอดฝีมือในยอดฝีมืออย่างแน่นอน”
“หากท่านพ่อเป็นสายลับของฝ่าบาทจริง ฝ่าบาทก็น่าจะทรงรู้ว่าท่านพ่ออยู่ที่ใด เหตุใดจึงต้องให้ท่านมาตามหาหยกมังกรครึ่งซีกถึงที่เซียงโจวด้วย”
“ข้าคาดว่าฝ่าบาทเพียงรับสั่งภารกิจนี้กับคนผู้หนึ่ง ส่วนคนผู้นั้นจะตามหาใครมารวมตัวเป็นขบวนพ่อค้าบ้างนั้น ฝ่าบาททรงไม่ทราบแม้แต่น้อย แต่ที่มั่นใจได้คือขบวนพ่อค้าก็ต้องเป็นขบวนพ่อค้า ในสายตาคนนอกไม่มีทางมองสายสนกลในออก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ขบวนพ่อค้าถูกคนจับตามอง”