“ในเมื่อพ่อเจ้าไม่อยู่ จะให้เขาส่งเทียบมาให้ผู้ใดเล่า” เหลียนอวี้จูเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย
“ขอบคุณฮูหยินที่เข้าใจ ข้าเองก็วางตัวลำบากยิ่งนัก” เห็นชัดว่าเซียวอวี้คาดเดาได้ล่วงหน้าว่าอีกฝ่ายจะไม่ต้อนรับ เขาจึงเดินตามหลังลุงหลี่มาเสียเลย จากนั้นจึงคารวะคนทั้งหมดอย่างนอบน้อมก่อนกล่าวต่อ “อีกทั้งข้าก็นึกไปว่าแม่นางฉู่คงไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับพิธีรีตองเหล่านี้ ถึงได้มาขอเข้าพบถึงบ้านโดยตรง ย่อมคิดไม่ถึงว่าจะมารบกวนพวกท่านกินข้าวเสียได้”
“พวกเราไม่ได้กำลังกินข้าว พี่สาวทำอาหารว่างให้พวกเรา…” ชะงักไปเล็กน้อยฉู่เหยียนพลันรู้สึกว่านี่คงไม่นับเป็นอาหารว่างได้ แต่เขาก็ไม่มีคำพูดที่ใกล้เคียงกว่ามาอธิบาย จึงข้ามตรงนี้ไปเสียเลยแล้วพูดแนะนำต่อ “นี่เรียกว่าไก่ขอทาน เนื้อไก่สุกนุ่ม หอมกรุ่นแตะจมูก เอร็ดอร่อยถูกปากยิ่งนักขอรับ”
“ชื่อไก่ขอทานดูน่าสนใจยิ่งนัก” เซียวอวี้เดินไปนั่งลงข้างฉู่เหยียนอย่างเป็นกันเอง
“พี่สาวบอกว่าคนแรกสุดที่ใช้ดินเหลืองพอกไก่แล้วนำไปย่างไฟเป็นขอทานผู้หนึ่ง”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
“ถึงอย่างนั้น…ขอทานก็ทำไม่อร่อยเท่าพี่สาวหรอกขอรับ” ฉู่เหยียนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
“นี่ย่อมแน่นอน ใต้หล้านี้ฝีมือปรุงอาหารของแม่นางฉู่เป็นหนึ่งไม่มีสอง”
“พี่ชายช่างรู้ใจข้าจริงๆ”
“ข้าขอชิมคำหนึ่งได้หรือไม่” เซียวอวี้เอ่ยปากขอทันที
ฉู่เหยียนลังเลไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพยักหน้ายินยอม ถึงขั้นยื่นตะเกียบให้เซียวอวี้ด้วยตนเอง พี่สาวบอกว่าห้ามหวงของ โดยเฉพาะของอร่อยต้องรู้จักแบ่งปัน กินไปพลางสนทนาไปพลางก็จะทำให้การกินอาหารยิ่งคึกคักได้บรรยากาศ
ฉู่อวิ๋นจิ้งอึ้งงันไปทันใด นี่มันสถานการณ์อะไร!
เกาฉีได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง ปกติยามคุณชายกินอาหารจะไม่ชอบให้คนอื่นพูดส่งเสียงจอแจอยู่ข้างกาย บอกว่าความอยากอาหารมีมากเพียงใดก็ล้วนหายหมด ทว่ายามนี้กลับกินติดต่อกันคำแล้วคำเล่าได้เสียอย่างนั้น เขามองดูจนน้ำลายจวนจะไหลอยู่แล้ว อยากลิ้มชิมรสชาติของอาหารที่เรียกว่าไก่ขอทานนี่ดูบ้างสักคำหนึ่ง อยากรู้นักว่าเหตุใดจึงทำให้คุณชายของเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนี้ได้
เมื่อเซียวอวี้เข้าร่วมด้วย เหลียนอวี้จูกับฉู่อวิ๋นซินก็เดินไปหยิบกระจาดของพวกนางแล้วแยกตัวไปเงียบๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนฉู่อวิ๋นจิ้งเป็นคนที่เซียวอวี้ขอเข้าพบ นางจะเดินหนีออกไปก็ไม่ได้ จึงได้แต่รอให้คนตัวโตกับคนตัวเล็กกินอิ่มเสียก่อน
“พี่สาว ข้าจะไปอ่านหนังสือแล้ว” ฉู่เหยียนเป็นเด็กดี นี่เป็นเรื่องที่ตกลงกันก่อนแล้ว หลังกินอาหารว่างเขาต้องไปอ่านหนังสือหนึ่งชั่วยาม
ที่ควรไปก็ไปแล้ว ฉู่อวิ๋นจิ้งจึงเอ่ยขึ้นอย่างเห็นว่าควรแก่เวลา “ซื่อจื่อคงมาด้วยเรื่องหยกมังกร แต่น่าเสียดายพวกเราค้นหาทั่วบ้านแล้วก็ไม่พบแม้แต่เงา คาดว่าของล้ำค่าเช่นนี้ท่านพ่อข้าคงเก็บไว้ติดตัว”
“แม่นางฉู่เข้าใจผิดแล้ว วันนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อหยกมังกร ข้าอยากมาขอคำตอบจากแม่นางฉู่เรื่องหนึ่ง…พวกท่านแน่ใจว่าฉู่ซื่อเหยียออกทะเลไปกับเรือสินค้าแน่หรือ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งตะลึงไป “ข้าไม่เข้าใจ ซื่อจื่อโปรดกล่าวตรงไปตรงมาด้วย”
“สองสามปีนี้ไม่เคยเกิดเหตุเรือล่ม หากฉู่ซื่อเหยียออกทะเลทำการค้าจริง จนถึงวันนี้ไม่ใช่ว่าควรกลับมาแล้วหรือ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงให้คนไปตรวจสอบเรือที่ออกทะเลในสองปีนี้อย่างละเอียด แต่ไม่พบฉู่ซื่อเหยียอยู่ในรายชื่อเลย เมื่อคิดว่าฉู่ซื่อเหยียอาจใช้นามอื่นจึงสืบค้นจากผู้ที่ออกทะเลแต่ละคน แต่ทั้งหมดล้วนพูดว่าไม่เคยพบฉู่ซื่อเหยียมาก่อน จึงเป็นไปได้มากว่าฉู่ซื่อเหยียจะไม่ได้ออกทะเล”
ใคร่ครวญครู่หนึ่งฉู่อวิ๋นจิ้งจึงเอ่ยตามจริง “หลายวันก่อนท่านแม่ข้าสารภาพกับข้าว่าท่านพ่อไม่ได้ออกทะเลไปกับเรือสินค้า แต่ท่านพ่อไปที่ใดนั้นก็ไม่รู้แน่ชัด เพียงรู้ว่าเรื่องนี้เป็นความลับยิ่ง หลังจากเสร็จเรื่องพวกเราทั้งครอบครัวจะสามารถกลับเมืองหลวงได้อย่างสง่าสมเกียรติ” แม้เจตนาของพวกเขาแตกต่างกัน แต่เป้าหมายกลับเหมือนกัน อย่างไรเซียวอวี้ก็มีเส้นสาย เงินก็มีมากกว่านาง เทียบกันแล้วเขาสามารถหาร่องรอยบิดาของนางได้ง่ายกว่ามาก