เหลียนอวี้จูเดินลงบันได ก่อนจะนั่งลงบนตั่งเตี้ยที่ฉู่อวิ๋นจิ้งเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ “พ่อเจ้าไม่อยากสอบเตี้ยนซื่อต่อเอง เพราะถึงสอบได้จ้วงหยวนหรืออันดับต้นๆ ก็มีแม่ใหญ่กับพวกพี่น้องคอยกดขี่ เส้นทางชีวิตขุนนางของเขาก็ไม่ราบรื่นเช่นกัน”
“หากท่านพ่ออยากเป็นขุนนาง ก็คงหนีไม่พ้นถูกคนในสกุลฉู่กลั่นแกล้งจริงๆ”
“ข้อนี้พ่อเจ้าเองก็รู้ หากอยากเป็นขุนนาง มีเพียงต้องเข้าสำนักพิธีกรรมหงหลูเท่านั้น”
“สำนักพิธีกรรมหงหลู?” ฉู่อวิ๋นจิ้งสนใจขึ้นมาทันใด
“แม่เคยได้ยินพ่อเจ้าพูดถึงอยู่เหมือนกัน สำนักพิธีกรรมหงหลูจะคอยดูแลเรื่องแคว้นต่างบ้านต่างเมืองโดยเฉพาะ ที่สอบเคอจวี่เข้าสำนักพิธีกรรมหงหลูก็มีอยู่ แต่ส่วนมากจะเข้าโดยผ่านการเสนอชื่อ หากเป็นคนที่ฝ่าบาทต้องพระทัย ไม่ว่าใครก็ล้วนขัดขวางไม่ได้”
ฉู่อวิ๋นจิ้งเลิกคิ้วอย่างครุ่นคิด “ท่านพ่อต้องการให้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งเข้าสำนักพิธีกรรมหงหลูใช่หรือไม่”
“แม่ไม่รู้หรอก แต่พ่อเจ้าชอบสะสมหนังสือธรรมเนียมท้องถิ่นของต่างแคว้น ทั้งยังพร่ำเอ่ยข้างหูแม่บ่อยครั้ง ถึงสำนักพิธีกรรมหงหลูจะมีตำแหน่งไม่สูงมาก แต่ฝ่าบาทให้ความสำคัญยิ่งนัก หากเข้าตาพระองค์ ก็ไม่ต้องกลัวว่าอนาคตจะไร้โอกาสเลื่อนขั้น” ฉู่อวิ๋นจิ้งมองหนังสือที่ตากแดดอยู่ทั่วบริเวณ
“พ่อเจ้าไม่เพียงชอบสะสมหนังสือธรรมเนียมพื้นถิ่นของต่างแคว้นเท่านั้น เขายังเชี่ยวชาญภาษาต่างแคว้นอีกหลายภาษาด้วย”
ฉู่อวิ๋นจิ้งตกตะลึงยิ่งนัก “เชี่ยวชาญภาษาต่างแคว้นหลายภาษา?”
เหลียนอวี้จูดวงตาเปี่ยมด้วยแววเลื่อมใสชื่นชม “พ่อเจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาด แม่เห็นอักษรเหล่านั้นเหมือนกับภาพวาด แต่พ่อเจ้ามองปราดเดียวก็รู้ว่าเขียนว่าอะไร”
“ท่านพ่อรู้จักกับคนต่างแคว้นหลายคนใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“แม่ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าสนิทสนมกับผู้ใดบ้าง พ่อเจ้าเองก็รู้ว่าแม่เป็นคนซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยม ง่ายต่อการถูกคนหลอกให้พูด จึงไม่ชอบบอกเรื่องนอกบ้านกับแม่เลย หรือต่อให้บอกแม่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แม่จึงไม่เคยถามนู่นถามนี่พ่อเจ้ามาก่อน”
ฉู่อวิ๋นจิ้งเข้าใจได้ ก็ในเมื่อคนในสกุลฉู่จดจ้องครอบครัวของพวกเขาไม่วางตา ด้วยกลัวว่าเขาจะมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี บิดาจึงได้ปกปิดซุกซ่อนเรื่องพวกนี้เอาไว้แม้แต่กับคนใกล้ชิด มิเช่นนั้นด้วยความสัมพันธ์ลึกซึ้งปานนี้ระหว่างบิดามารดามีหรือมารดาจะไม่รู้ว่าบิดาไปที่ใด
เหลียนอวี้จูเห็นชัดว่าคิดถึงข้อนี้ได้เช่นกัน นางจึงถอนหายใจแล้วเอ่ย “หากแม่ฉลาดกว่านี้สักหน่อย มีเล่ห์เหลี่ยมขึ้นอีกสักนิด ยามนี้คงไม่ถึงกับไม่รู้ว่าพ่อเจ้าไปที่ใดกันแน่”
“ท่านแม่อย่าได้โทษตนเองเลย บุรุษรับผิดชอบภาระนอกบ้าน สตรีดูแลเรื่องในบ้าน ท่านพ่อไม่บอกเรื่องภายนอกกับท่านแม่ ก็เหมือนกับที่ท่านแม่ไม่บอกเรื่องภายในบ้านต่อหน้าท่านพ่อ นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
นี่คือยุคที่ชายหญิงไม่เสมอภาค ขีดเส้นแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน เป็นผลจากสภาพแวดล้อม ข้าพูดไป ท่านก็ไม่อาจเข้าใจหรอก ไยต้องเปลืองน้ำลายด้วย
เวลานี้ลุงหลี่ก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง “นายหญิง คุณหนูใหญ่ ท่านป๋อผู้เฒ่าส่งคนมาขอรับ”
“เหตุใดท่านป๋อผู้เฒ่าต้องส่งคนมาด้วย” เหลียนอวี้จูมองบุตรสาวอย่างกระวนกระวาย
ฉู่อวิ๋นจิ้งเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ลุงหลี่รู้จักเขาหรือไม่”
“รู้จักขอรับ จางเหยียนเป็นคนสนิทของท่านป๋อผู้เฒ่า แต่เทียบกับเหล่าหลิ่วแล้วยังด้อยกว่าขั้นหนึ่งขอรับ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้จักเพียงเหล่าหลิ่ว คนผู้นี้คือคนสนิทของท่านปู่ รับใช้ท่านปู่มาตั้งแต่เล็กแล้ว
“ท่านแม่ช่วยข้าตากหนังสืออยู่ที่นี่เถิด ข้าจะไปพบเขาเอง” ฉู่อวิ๋นจิ้งหันไปหาลุงหลี่ “ลุงหลี่พาเขาไปที่โถงรับแขก แล้วก็รั้งอยู่ด้วย รอฟังว่าเขาจะว่าอะไร”
เหตุใดท่านปู่จึงส่งคนมาได้นะ สัญชาตญาณของฉู่อวิ๋นจิ้งบอกว่าเรื่องนี้ดูมีลับลมคมในยิ่ง ที่ท่านพ่อถูกขับออกจากสกุลมานั้นก็เป็นความต้องการของท่านปู่เอง เห็นได้ชัดว่าท่านปู่กระจ่างแจ้งในความมุ่งหมายของท่านพ่อดี แล้วท่านปู่จะส่งคนมาหาท่านพ่อได้อย่างไรกันเล่า