“ไม่ต้องรีบ ไม่ว่าเป็นใคร สักวันก็ต้องเผยหางออกมา”
“หากอีกฝ่ายหาตัวฉู่ซื่อเหยียพบก่อนก้าวหนึ่งเล่าขอรับ” เกาฉีโพล่งออกมา
เซียวอวี้ตวัดสายตามองเขาอย่างเย็นชา “คนของข้าเทียบกับพวกมันไม่ได้เชียวรึ!”
เกาฉีพลันหดคอ คุณชายของข้าทะนงตนมากเพียงใดกันแน่นะ หากคุณชายเก่งกาจที่สุด ไหนเลยลูกน้องจะแพ้ให้ผู้อื่นได้
เสียงเกาเยี่ยนร้องขึ้นจากนอกประตู “คุณชาย แม่นางฉู่ขอเข้าพบ พ่อบ้านเสี่ยวลู่พาไปรอที่ศาลาบงกชแล้วขอรับ”
เซียวอวี้ลุกขึ้นยืนทันใด ก่อนจะก้าวเท้ายาวออกไปข้างนอก
เกาฉีกับหลินคุนเห็นแล้วพลันตะลึงงัน แล้วรีบร้อนตามไป
ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่รู้ฐานะของลู่ไป่จวิ้น ถึงอย่างนั้นก็เดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายเกิดมาในสกุลมั่งมี จริงดังคาด เมื่ออยู่ในคฤหาสน์สกุลลู่ที่มีนามว่าจู๋ย่วน ยามที่ยืนอยู่ในศาลาบงกชซึ่งตั้งอยู่กลางบ่อน้ำ ไม่ว่ามองจากซ้ายขวาหรือเหนือใต้ก็ล้วนเป็นภาพที่งดงามหาใดเปรียบ นางยิ่งแน่ใจว่าภูมิหลังตระกูลของลู่ไป่จวิ้นต้องส่องแสงวาวโรจน์เช่นกัน
มองทิวทัศน์ตรงหน้าแล้ว จู่ๆ นางก็ฉุกคิดถึงกลอน ‘บงกช’ ของหยางวั่นหลี่กวีสมัยซ่งใต้ขึ้นมา ‘บงกชแดงขาวผลิบานในบ่อน้ำ สองสีสันหนึ่งกลิ่นหอมจรุง’
ก่อนหน้านี้เซียวอวี้ยังรีบร้อนเดินมาอยู่แท้ๆ ทว่าพริบตาต่อมาเขาก็หยุดชะงักฝีเท้าลง เพียงมองโฉมสะคราญซึ่งงามประดุจภาพวาดอย่างเงียบเชียบ
นางเป็นหญิงสาวที่พิเศษยิ่งโดยแท้ ราวกับไม่ว่าเวลาหรือสถานที่ใดนางก็ล้วนเป็นอิสระไร้ข้อผูกมัด คล้ายกับไม่มีผู้ใดดำรงอยู่…ไม่สิ ไม่ถูกต้อง ควรพูดว่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องล้วนไม่ดำรงอยู่ในสายตานาง
ฉู่อวิ๋นจิ้งมองไปทางซ้ายทีขวาที ในที่สุดก็เห็นเซียวอวี้ นางรีบร้อนเก็บท่าทางเอ้อระเหยของตนเอง ก่อนเดินเข้าไปคารวะ “ซื่อจื่อ รบกวนแล้ว”
“ไม่เลย ข้ากำลังจะไปหาคุณหนูใหญ่พอดี นึกไม่ถึงคุณหนูใหญ่ก็มาแล้ว คุณหนูใหญ่ค้นพบอะไรใช่หรือไม่” เซียวอวี้พยายามเก็บอาการลิงโลดที่ได้พบนาง
“ข้าพบว่าท่านพ่อมีหนังสือสะสมเกี่ยวกับธรรมเนียมจารีตและสภาพความเป็นอยู่ของต่างแคว้นมากมายยิ่งนัก”
เซียวอวี้พลันนึกถึงคนที่บอกว่าตนเองนั่งเรือลำเดียวกับฉู่ซื่อเหยีย กล่าวว่าฉู่ซื่อเหยียมีความรู้กว้างขวาง สนทนากันได้ประโยชน์มากมาย ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความคิดอยากร่วมมือทำการค้ากับฉู่ซื่อเหยีย แท้จริงก็เพราะต้องใจที่ฉู่ซื่อเหยียแตกฉานธรรมเนียมจารีตและสภาพความเป็นอยู่ของต่างแคว้น…สมองเขาพลันแล่นปราด รีบบอกเรื่องที่หลินคุนสืบมาได้กับฉู่อวิ๋นจิ้ง
“ข้างกายพ่อข้ามีผู้ติดตามจริงๆ แต่เหตุใดพวกเขาต้องลอบกลับเมืองหลวงไปด้วย”
“นี่เป็นเรื่องเมื่อสองปีก่อน อาจต้องใช้เวลาในการตรวจสอบให้กระจ่างชัด”
“ข้ารู้สึกว่าเรื่องที่ท่านพ่อจะไปยังต่างแคว้นมีความเป็นไปได้มากนัก”
“แต่จากที่ข้าทราบมา นับแต่ฝ่าบาทสืบราชบัลลังก์มาจนวันนี้ ทรงมิเคยส่งทูตไปเยือนต่างแคว้นเลย”
ฉู่อวิ๋นจิ้งฟังแล้วพลันยิ้มขื่น “นั่นก็จริง หากเป็นทูตที่ฝ่าบาททรงส่งไป ท่านพ่อก็ไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ”
“แต่อย่างน้อยก็มีเบาะแสอะไรบ้างแล้ว ไม่จำเป็นต้องงมเข็มในมหาสมุทร”