ลู่ไป่จวิ้นทำได้เพียงเฝ้ารออย่างอดทน ยังดีที่เซียวอวี้มีความสามารถในการกวาดตาอ่านที่รวดเร็วยิ่ง เพียงไม่นานก็หยุดนิ่งไม่เลื่อนสายตาต่อแล้ว
“หาเจอแล้วหรือ” ลู่ไป่จวิ้นขยับเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เซียวอวี้ขอชาดจากเกาฉี ทำเครื่องหมายลงบนจุดหนึ่งของรายงานนั้น “เปิดการค้าขายข้ามชายแดนใหม่ นี่เป็นพระดำริแรกหลังฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์”
“เรื่องนี้ข้าจำได้ ตอนนั้นมีขุนนางคัดค้านไม่น้อย ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานราชสำนักก็ปั่นป่วน ผู้คนจิตใจระส่ำระสาย ฝ่าบาทกลับมีพระดำริจะเปิดการค้าข้ามชายแดน นี่มิใช่หาเรื่องใส่ตัวหรือ”
เซียวอวี้พยักหน้า “อดีตฮ่องเต้ปิดการค้าข้ามชายแดนไปด้วยความจนใจ เนื่องจากแคว้นเยียนกับแคว้นเหลียงต่างก็มีใจทะเยอทะยาน พวกเขาใช้หนังสัตว์แลกเสบียงและอาวุธจากพ่อค้า ซ้ำยังลอบผูกสัมพันธ์กัน หากสร้างกองทัพ แคว้นต้าโจวย่อมลำบากแน่ ทั้งอดีตฮ่องเต้มีพระวรกายไม่สู้ดี กระนั้นก็ทรงต่อต้านสงครามมาแต่ไหนแต่ไร จึงทำได้เพียงปิดการค้าชายแดนเท่านั้น เช่นนี้ไม่เพียงสามารถยับยั้งอาวุธไหลเข้าสู่แคว้นทั้งสองได้ ยังทำให้สองแคว้นซื้อเสบียงไม่ได้ด้วย ทำให้ยากต่อการกักตุนเสบียงสร้างกองทัพ”
“เหตุใดฝ่าบาทจึงมีพระดำริจะเปิดชายแดนค้าขายอีกครั้งเล่า”
“แคว้นเหลียงซื้อเสบียงไม่ได้ก็สามารถไปซื้อจากแคว้นเล็กแคว้นน้อยทางตะวันตกเฉียงใต้ได้ ขณะที่แคว้นเยียนนั้นข้นแค้น จึงให้ทหารม้ามารุกรานชายแดนบ่อยครั้งเพื่อแย่งเสบียงอาหาร ฝ่าบาททรงเล็งเห็นว่าการปิดการค้าชายแดนไม่อาจหยุดความทะเยอทะยานของสองแคว้นลงได้ พวกที่หากินจากการค้าของเถื่อนก็มีแต่จะยิ่งกำเริบเสิบสาน ชีวิตของชาวบ้านชายแดนก็ยิ่งยากลำบาก นี่เป็นกลยุทธ์ชั้นเลวโดยแท้ มิสู้เปิดการค้าข้ามชายแดน ภาษีที่เก็บได้เพียงพอให้เลี้ยงกองทหารม้าได้กองหนึ่ง นอกจากนี้การไปหาสู่กันมากขึ้นยิ่งทำให้ควบคุมสถานการณ์ได้”
ลู่ไป่จวิ้นพยักหน้าเห็นด้วย “ปิดประตูการค้าเช่นนี้นอกจากจะยับยั้งพ่อค้าที่อยากหาเงินไม่ได้แล้ว ยังทำให้ตนเองกลายเป็นคนตาบอดด้วย”
“ในสายตาขุนนางการที่ฝ่าบาททรงเปิดการค้าขายข้ามชายแดนนั้นถือเป็นการแสดงอำนาจ พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานอย่างไรก็ต้องกระทำสองสามเรื่องที่ทำให้คนหมู่มากประจักษ์ชัดว่าพระองค์คือผู้เป็นใหญ่ การตัดสินใจของเขาไม่อาจให้ผู้อื่นมาสอดปากได้” เซียวอวี้เชื่อว่าฝ่าบาทมีเจตนาหมายแสดงอำนาจจริง ถึงอย่างนั้นก็มีความมุ่งหมายที่ลึกซึ้งยิ่งอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งเป็นไปได้มากว่าฉู่ซื่อเหยียจะพัวพันกับเรื่องนี้ และแน่ชัดว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเอง ยังต้องหาหลักฐานเพิ่มอย่างละเอียด
“ข้าจำได้ว่าแม้จะเปิดการค้าขายข้ามชายแดนใหม่อีกครั้ง แต่ทหารประจำการก็เพิ่มขึ้นมาก การลาดตระเวนชายแดนก็ยิ่งเข้มงวดขึ้น หากตรวจพบของต้องห้ามล้วนมีโทษเทียบเท่ากบฏ”
“ถึงอย่างนั้นเป้าหมายของฝ่าบาทก็ทรงบรรลุแล้วมิใช่หรือ”
“เรื่องนี้ทำให้ฝ่าบาททรงได้รับชื่อเสียงและความนิยมจากบรรดาแม่ทัพชายแดนอย่างมาก มีผลให้บัลลังก์มังกรของฝ่าบาทมั่นคงขึ้น”
“ฝ่าบาทดูคล้ายอ่อนโยน ทว่าจิตใจกลับกว้างใหญ่เหนือกว่าไท่จู่” ลู่ไป่จวิ้นเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “ว่าแต่เจ้าสืบเรื่องนี้ไปไย”
เซียวอวี้เล่าถึงเบาะแสการค้นหาฉู่ซื่อเหยียที่ตนเองค้นพบออกมา รวมทั้งเบาะแสที่ฉู่อวิ๋นจิ้งให้ ทั้งหมดล้วนพุ่งไปที่ฉู่ซื่อเหยีย…ไม่ไปแคว้นเยียนก็เป็นแคว้นเหลียง
ลู่ไป่จวิ้นดีใจยิ่งนักที่พบร่องรอยของหยกมังกรแล้ว ทว่าเวลานี้สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง “ความสัมพันธ์ของเจ้ากับแม่นางฉู่ในตอนนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ”
เซียวอวี้ชำเลืองมองลู่ไป่จวิ้นโดยที่ใบหน้าไม่เปลี่ยนสี “นางเป็นภรรยาที่ยังไม่แต่งเข้าของข้า ความสัมพันธ์ย่อมแตกต่างจากคนแปลกหน้าอยู่แล้ว”
ลู่ไป่จวิ้นพลันอ้าปากค้างทันใด เขาไม่อาจหาเรื่องมาโต้แย้งได้จริงๆ
“แล้วพวกที่ตามหลังสองสามกลุ่มนั่นตรวจสอบแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” เซียวอวี้เปลี่ยนไปถามอีกเรื่องแทน
“ข้าเกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท นักเลงท้องถิ่นไม่กี่คนพวกนั้นล้วนเป็นลูกน้องของสกุลอู๋”
“สกุลอู๋? สกุลอู๋ที่ทำกิจการซื้อขายแพรไหมอยู่ทางตะวันออกของเมืองน่ะหรือ”