บทที่ห้า
เวลาที่ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกกลุ้มใจนางจะอยากกินอาหาร แน่นอนว่าเวลาเช่นนี้นางคงไม่มีอารมณ์มาลงมือปรุงเอง แต่จะออกไปตระเวนตามถนนตั้งแต่หัวถนนจนสุดถนน เดินไปกินไป อยากกินอะไรก็นั่งลงกินตรงนั้น กินเสร็จก็ลุกขึ้นเดินต่อ พอเห็นของที่อยากกินก็นั่งลงอีก…เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ถนนหนึ่งสายนางก็ได้กินไปสี่ถึงห้าร้านแล้ว โดยไม่สนว่ารสชาติของอาหารจะอร่อยหรือไม่ เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็กินหมดเกลี้ยงอยู่ดี นี่ถือเป็นความเคารพต่อผู้ปรุงอาหารอย่างหนึ่ง
ร้านแรกที่ฉู่อวิ๋นจิ้งเลือกเป็นร้านขายเกี๊ยวน้ำ ร้านเกี๊ยวน้ำร้านนี้ถือเป็นหนึ่งในร้านไม่กี่ร้านที่ได้รับคำชมจากนาง ซึ่งแป้งเกี๊ยวทำได้บางแต่ไม่แตกง่าย ไส้มีแต่เนื้อหมู ในขณะที่น้ำแกงก็ทำอย่างเต็มที่ ถึงกับใช้เนื้อแม่ไก่ต้ม อร่อยล้ำยิ่งนัก
ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกว่าการกินอาหารเป็นความเพลิดเพลินใจอย่างหนึ่ง โดยไม่รู้สักนิดว่ายามที่ผู้อื่นมองนางกินอาหารก็ถือเป็นความเพลิดเพลินใจอย่างหนึ่งเช่นกัน พอเป่าเกี๊ยวน้ำเบาๆ ให้หายร้อนแล้วตักใส่ปาก จู่ๆ ด้านซ้ายของนางก็มีคนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง ตามด้วยบนโต๊ะมีเกี๊ยวน้ำเพิ่มมาอีกชาม กระนั้นนางก็ทำทีเป็นไม่เห็นเสียอย่างนั้น ยังคงดื่มด่ำกับรสชาติของเกี๊ยวน้ำเบื้องหน้าตนเองต่อ
เซียวอวี้มองฉู่อวิ๋นจิ้งวูบหนึ่ง ก่อนตักเกี๊ยวน้ำใส่ปากโดยไม่พูดอะไร เขาค่อยๆ ละเลียดชิมอย่างพิถีพิถัน ซดน้ำแกงอีกคำหนึ่ง แล้วเอ่ยคำวิจารณ์ที่ตนเองรู้สึกว่าไว้หน้าผู้อื่นมากแล้ว “พอใช้ได้ แต่เทียบกับฝีมือเจ้าแล้วยังห่างชั้นนัก”
ฉู่อวิ๋นจิ้งไม่สนใจ เพียงตั้งหน้าตั้งตากินเกี๊ยวน้ำของนางต่อ
เซียวอวี้เห็นเช่นนี้จึงกินเกี๊ยวน้ำต่อตามไปด้วย รอจนนางวางช้อนลงเขาก็กินเสร็จพอดี
“ข้าอยากรู้เหตุผลยิ่งนัก ในเมื่ออาหารที่เจ้าทำก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้อยู่แล้ว เหตุใดเจ้ายังสามารถดื่มด่ำกับอาหารที่ผู้อื่นปรุงได้ถึงเพียงนี้”
“แต่ไรมาข้าไม่เคยรู้สึกว่ารสมือของตนเองเป็นหนึ่งไม่มีสองในโลกนี้ แผ่นดินกว้างใหญ่ อาหารทั้งเหนือใต้มีมากมายถึงเพียงนี้ ข้าไม่อาจเชี่ยวชาญไปเสียทุกอย่าง”
“ข้ากลับรู้สึกว่าไม่มีอาหารใดที่จะเอาชนะอาหารที่เจ้าปรุงเองได้”
“ข้าไม่อาจเชี่ยวชาญได้โดยไร้อาจารย์สอนสั่ง” เมื่อพบเจออาหารแปลกตาสักอย่างหนึ่ง แม้นางสามารถลองผิดลองถูกอย่างช้าๆ ได้ ทว่าความล้มเหลวนั้นกลับเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เทียบกับคนที่ทำอยู่นานปีย่อมจะห่างชั้นไปไกล
“ไก่ขอทานที่เจ้าทำข้าก็ไม่เคยกินมาก่อน” นี่มิใช่เชี่ยวชาญโดยไร้อาจารย์หรอกหรือ
ฉู่อวิ๋นจิ้งตะลึงงันไป ไม่รู้ควรมีอาการตอบสนองอย่างไรจริงๆ ในเมื่ออาหารหลายชนิดนางได้เรียนรู้ก่อนจะโผล่มาอยู่ที่นี่แล้ว
“ในสายตาของข้าเจ้านั้นยอดเยี่ยมที่สุด”
“วันนี้ได้เจอซื่อจื่อที่นี่ บังเอิญยิ่งนัก” ฉู่อวิ๋นจิ้งเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยความเก้อเขิน
“ไม่บังเอิญหรอก ข้ามาหาเจ้าโดยเฉพาะ” เขาไปบ้านสกุลฉู่ แต่นางไม่อยู่ เขาจึงมาหานางละแวกนี้ แล้วก็พบเจ้าตัวดังคาด
“ยังไม่พ้นสามวัน ซื่อจื่อออกจะใจร้อนเกินไปหรือไม่” ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกว่านางต้องทำความรู้จักบุรุษผู้นี้ใหม่เสียแล้ว เดิมเคยคิดว่าเขามีท่าทีเหมือนกับห้ามคนแปลกหน้าเฉียดเข้าใกล้เสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะแท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่ทำตามใจตนเองมากคนหนึ่ง ท่าทางที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นก็ขึ้นอยู่กับ ‘ความพอใจของเขา’ ทั้งสิ้น
“ข้าแค่อยากบอกเจ้า ไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีข้าอยู่ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมเป็นอันขาด”
“พวกเราแทบไม่มีความเกี่ยวข้องใดกัน” ฉู่อวิ๋นจิ้งอดหน้าแดงไม่ได้ บุรุษผู้นี้พูดจามีขอบเขตสักหน่อยมิได้หรือ หากเป็นหญิงสาวคนอื่นอาจง่ายต่อการคิดเหลวไหลไปไกล ไม่แน่อาจคิดว่าเขายอมรับการแต่งงานของสองตระกูลไปแล้ว
“เจ้าลืมว่าพวกเรามีความสัมพันธ์อะไรกันแล้วหรือ” เซียวอวี้จงใจหยุดพูดไปชั่วครู่ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำ “พวกเรามีสัญญาหมั้นหมายกัน ของแทนใจก็ยังอยู่ที่ตัวท่านอาอยู่เลย”
ฉู่อวิ๋นจิ้งเบิกตาโตประดุจเห็นผี เขาคงแหย่ข้าเล่นกระมัง
คิ้วเรียวปานกระบี่เลิกขึ้นเล็กน้อย เซียวอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือแววหยอกเย้า “เจ้าคิดจะบิดพลิ้วไม่รับผิดชอบได้อย่างนั้นหรือ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกว่าตนเองต้องหูฝาดไปแน่ ไยสถานการณ์จึงกลับตาลปัตรไปเสียแล้วเล่า คนที่บิดพลิ้วไม่รับผิดชอบควรเป็นเขาต่างหาก เขาคืออู่หยางโหวซื่อจื่อเชียวนะ เขาลืมฐานะของตนเองไปแล้วหรือไร