ฉู่อวิ๋นจิ้งอยากโต้แย้งกลับไปแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นแย้งจากที่ใด เพราะนี่เป็นความจริง หากนางทำหน้าตึงใส่เขาจากใจจริง ต่อให้เขายั่วเย้านางสุดกำลังก็ไม่มีทางสั่นคลอนจิตใจนางให้หวั่นไหวได้ แน่นอนว่านางสามารถหาข้ออ้างไล่เขาไป…ไม่มีทางปล่อยให้เขาพูดเจื้อยแจ้วข้างกายตามใจชอบเช่นนี้ ซึ่งความจริงก็คือความจริง
“ยามที่เจ้าอยู่ใกล้ซื่อจื่อ ยากที่จะไม่หวั่นไหวไปกับเขา” ตลอดทางขึ้นเหนือมานี้เหลียนอวี้จูมองเห็นอย่างชัดเจนว่าอู่หยางโหวซื่อจื่อมีใจให้บุตรสาวนาง ทั้งยังทุ่มเทสุดตัวรุกเข้าใกล้ทีละก้าว ขณะเดียวกันจิ้งเอ๋อร์ก็หาใช่ไม่มีใจ เมื่อถอยจนไม่มีทางถอยแล้วบุตรสาวของนางก็ได้แต่เผชิญหน้ากับเขา
“แต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นคนพูดมากที่ตามตอแยไม่เลิกเช่นนี้เลย” คนที่พูดมากและคอยตามตอแยเช่นนี้ แน่นอนว่ายากยิ่งนักที่จะทำให้คนไม่หวั่นไหว ทว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนกำลังพูดโกหกอยู่นะ
เหลียนอวี้จูมองฉู่อวิ๋นจิ้งปราดหนึ่งโดยไม่เอ่ยวาจาสักคำ
“ท่านแม่ไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนพูดมากที่ตามตอแยไม่เลิกหรือเจ้าคะ” ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้ว่าคนมีปัญญาเมื่อพบเจอปัญหายากๆ ย่อมเดินอ้อมหนีไปทั้งนั้น ทว่ายามนี้นางก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่ คิดแต่จะเอาคืนเขาสักครั้งให้ได้
เหลียนอวี้จูไม่สนใจฉู่อวิ๋นจิ้งอีก เพียงสั่งให้ทุกคนเก็บข้าวของโดยไม่รอนางตอบ
ฉู่อวิ๋นจิ้งเห็นเช่นนั้นก็ไม่ยอมแพ้ รีบเดินตามไป “ท่านแม่”
เหลียนอวี้จูยกมือขัดคำพูดบุตรสาว “แม่ยุ่งมาก ยังต้องให้ซื่อจื่อมาพูดมากกับเจ้าต่อเถิด”
ฉู่อวิ๋นจิ้งรู้สึกราวกับตนเองโดนสายฟ้าฟาดใส่ จะไปต่อก็ไม่ได้กลับหลังก็ไม่ทัน
เสียงหัวเราะของเซียวอวี้ดังขึ้นที่ข้างหูนาง
ต่อให้ไม่อยากไยดีเขาเพียงใด ถึงอย่างนั้นนางก็ควบคุมตนเองไม่ได้อีก ต้องหันหน้าไปถลึงตาใส่เขา “มีอะไรน่าขันกัน”
“ก็ข้าอารมณ์ดียิ่งนี่”
สองวันมานี้สตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาได้เปลี่ยนเป็นเนื้อแท้ของนางมากขึ้น แตกต่างกับท่าทางที่นางจงใจสร้างขึ้นในอดีต มีหรือจะไม่ทำให้เขาชอบ
นี่คือความรู้สึกของการแพ้หมดรูปใช่หรือไม่ ฉู่อวิ๋นจิ้งยอมรับในที่สุดว่าตนเองพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
ติดตามต่อได้ในเล่ม