แม้ตัดสินใจแล้วว่าจะกลับเมืองหลวง แต่ก็ไม่ใช่นึกจะไปก็ไปได้ในทันที ยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องจัดการ อย่างเช่นพวกเขามีสินค้าในมือที่ต้องแลกเปลี่ยนเป็นเงิน ดูว่าสามารถหาโอกาสทางการค้าอื่นๆ ในเมืองหลวงได้หรือไม่ รวมไปถึงการจ้างคน…ลุงหลี่กับป้าหลี่ให้รั้งดูแลเรือนเป็นการชั่วคราว พร้อมกับรอข่าวคราวจากท่านพ่อด้วย พวกเขาต้องซื้อคนจำนวนหนึ่งติดตามไปเมืองหลวง นอกจากนี้ยังต้องจ้างคนที่คุ้นเคยช่วยพวกลุงหลี่ดูแลพืชผลต่างๆ ด้วย ต่อไปจะได้รับช่วงดูแลที่ดินต่อได้
โดยสรุป…ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาจัดเตรียมทั้งสิ้น และแน่นอนว่ายิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี ฉู่อวิ๋นจิ้งจึงยุ่งจนหัวหมุน ทั้งยังต้องรับมือกับลู่ไป่จวิ้นและเซียวอวี้ที่แวะมาหาบ่อยครั้งอีก
ครึ่งเดือนให้หลังในที่สุดก็เก็บหีบสัมภาระเรียบร้อย หีบสัมภาระของพวกเขามีมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือตำราของบิดา สิ่งของเหล่านี้แน่นอนว่าสามารถทิ้งไว้ที่นี่ก่อนได้ รอจนพวกลุงหลี่กลับเมืองหลวงแล้วค่อยเอาไปด้วย ทว่าหลังผ่านการค้นพบเบาะแสเมื่อครั้งก่อน นางมักรู้สึกว่าควรเก็บหนังสือตำราของบิดาไว้ข้างกาย ไม่แน่อาจจะมีส่วนช่วยในการตามหาบิดาในวันหน้า ด้วยเหตุนี้ตอนพวกเขาเริ่มเดินทาง เพียงแค่หนังสือตำราก็ต้องมีรถม้าเพิ่มขึ้นมาอีกคันหนึ่ง ยังดีที่ทุกอย่างได้เซียวอวี้เป็นผู้จัดการให้
“พอคุ้นเคยกับที่นี่ก็ต้องย้ายออกไปเสียแล้ว หากรู้แต่แรกก็คงไม่เปลืองเงินซื้อที่นี่” เหลียนอวี้จูลูบหีบใบแล้วใบเล่า ก่อนจะหันมองไปซ้ายทีขวาที เมื่อเห็นร้านต้นจื่อเถิงอารมณ์อาลัยอาวรณ์ก็ท่วมท้นขึ้นมา
“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล คุณชายลู่จะช่วยจัดการเรื่องบ้านหลังนี้ให้เอง รับรองว่าพวกเราไม่ขาดทุนแน่ ทว่าน่าเสียดายที่เงินพวกนี้ยังไม่พอจะซื้อบ้านที่เมืองหลวงเลย แต่หากคิดซื้อบ้านในเมืองหลวงในอีกสองปี…นั่นย่อมเป็นไปได้แน่” ฉู่อวิ๋นจิ้งมีความมั่นใจว่าตนเองจะกลายเป็นคหบดีน้อย
เงียบไปครู่หนึ่งเหลียนอวี้จูจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจ “คุณชายลู่ดีต่อพวกเราเกินไปแล้ว ตอนแรกช่วยพวกเราซื้อบ้าน ยามนี้ยังช่วยพวกเราขายบ้าน ทั้งยังจัดแจงที่พักในเมืองหลวง หาสำนักศึกษาให้เย่าเกอเอ๋อร์ จัดหาอาจารย์ให้เหยียนเกอเอ๋อร์…”
“ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวล คุณชายลู่รอให้ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจให้หอสุราของเขาอยู่ การที่เขาทำเรื่องเล็กน้อยเพื่อพวกเราก็ถูกต้องตามหลักเหตุผลแล้ว มิหนำซ้ำเรื่องที่พักของพวกเราที่เมืองหลวง เย่าเกอเอ๋อร์เข้าเรียนที่สำนักศึกษา และหาอาจารย์ให้เหยียนเกอเอ๋อร์ นี่ล้วนเป็นการจัดการของอู่หยางโหวซื่อจื่อ…เขาทำไปก็เพื่อหยกมังกรครึ่งซีกที่อยู่กับท่านพ่อ” ฉู่อวิ๋นจิ้งก็ไม่เข้าใจความคิดของตนเอง แม้อยากให้มารดารู้ว่าเป็นเรื่องที่เซียวอวี้ทำเพื่อพวกเขา แต่ก็ยังหมายขีดเส้นแบ่งแยกกับเขาให้ชัดเจน
เหลียนอวี้จูอ้าปากอึ้งงัน พักใหญ่ถึงเปล่งวาจา “อู่หยางโหวซื่อจื่อ…”
เห็นมารดามิได้เอ่ยต่อ ฉู่อวิ๋นจิ้งก็อดใจไม่ไหวถามขึ้น “เหตุใดท่านแม่ไม่พูดอะไรแล้วเล่า”
“ซื่อจื่อมีสัญญาหมั้นหมายกับเจ้านะ”
ฉู่อวิ๋นจิ้งเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “ท่านแม่ลืมไปได้อย่างไรเจ้าคะ พวกเรามิอาจใฝ่สูง จะวาดหวังถึงการแต่งงานนี้ไม่ได้”
“แล้วถ้าซื่อจื่อยอมรับการแต่งงานครั้งนี้เล่า” เหลียนอวี้จูก็ไม่อยากเกิดความคิดพะวงกับการแต่งงานนี้ แต่ระยะนี้เซียวอวี้มักจะตามลู่ไป่จวิ้นมาด้วยเสมอ ถึงปากบอกว่ามาหารือเรื่องหอสุรา แต่ก็คุยจนเลยไปถึงยามเย็น นางย่อมต้องรั้งพวกเขาอยู่กินอาหาร ทำให้มีโอกาสได้พูดคุยกันมากขึ้น สายตาที่ซื่อจื่อมองจิ้งเอ๋อร์ หรือท่าทีที่ปฏิบัติต่อจิ้งเอ๋อร์ก็ล้วนแฝงความรักใคร่เอ็นดู ส่วนจิ้งเอ๋อร์อยู่ต่อหน้าซื่อจื่อก็ไม่เป็นตัวของตัวเองสักนิด เห็นได้ชัดว่ามิใช่ไร้ความรู้สึกเสียทีเดียว
“ซื่อจื่อจะยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ได้อย่างไร” ฉู่อวิ๋นจิ้งเบือนหน้าหนีด้วยจิตใต้สำนึก ไม่กล้าจ้องใบหน้ามารดาตรงๆ
“หากซื่อจื่อยอมรับเล่า”
“หากท่านพ่อเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ท่านพ่อคงไม่เก็บเป็นความลับ ไม่คิดบอกท่านแม่เช่นนี้”
“แม่รู้ความคิดของพ่อเจ้าดี เขาต้องรู้สึกว่าพวกเราไม่อาจเอื้อมแน่ จึงเก็บของแทนใจไว้เพื่อยอมรับการขอบคุณของอีกฝ่าย แต่ไม่เคยคิดว่าจะเอาของแทนใจไปหาที่บ้านเพื่อขอร้องผู้อื่นให้ทำตามคำสัญญา”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ท่านพ่อเป็นคนมีศักดิ์ศรียิ่ง ในเมื่อยอมตัดใจจากจวนจงอี้ป๋อที่เลี้ยงดูเขามาแล้ว ยังมีอะไรที่ตัดใจไม่ได้อีก”