เหลียนอวี้จูพยักหน้า ก่อนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ค่อยๆ เล่าถึงความลำบากตรากตรำในทีแรกที่ตัดสินใจไปจากจวนจงอี้ป๋อ “ปู่เจ้าร่างกายแย่ลงทุกวัน ไม่รู้ว่าจะยังคุ้มครองพวกเราได้อีกนานเท่าใด จึงบังคับให้ครอบครัวของพวกเรารีบจากไปโดยเร็วที่สุด แต่ย่าเจ้าเป็นคนใจจืดใจดำ ไม่ใส่ใจดูแลปู่เจ้า ปู่เจ้าก็ไม่อาจวางใจลงได้ ก่อนจากไปพ่อเจ้าร้องไห้หนึ่งคืนเต็ม โทษตนเองว่าไม่สามารถทดแทนบุญคุณอยู่ข้างกายปู่เจ้าได้ ทั้งยังต้องให้ปู่เจ้าต้องเป็นกังวลเพราะเขาอีก”
“ท่านปู่รักท่านพ่อจริงๆ วางแผนเพื่อท่านพ่อ”
“ใช่ ความใจจืดใจดำและละโมบโลภมากของย่าเจ้านั้น ปู่เจ้ารู้ดีเป็นที่สุด พ่อเจ้าไม่มีความสามารถย่อมดีที่สุด หากมีความสามารถใดนางก็จะคิดหาหนทางขูดรีดพ่อเจ้า ไม่แปลกที่พ่อเจ้าจะปกปิดเรื่องหยกมังกรเอาไว้ แม่อยากรู้นักว่าคนของจวนจงอี้ป๋อรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน” เหลียนอวี้จูขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ฉู่อวิ๋นจิ้งกลับไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีจุดใดที่น่าแปลกใจ “ท่านพ่อปิดบังท่านแม่ เพราะท่านแม่ไม่เหมาะที่จะเก็บความลับ แต่ท่านพ่อไม่มีทางปิดเรื่องนี้กับท่านปู่แน่ และไม่ใช่ว่าคนข้างกายของท่านปู่จะจงรักภักดีทั้งหมด หากมีคนต่อรองด้วยสิ่งเย้ายวน เรื่องหยกมังกรก็จะไม่เป็นความลับอีก มิฉะนั้นจางเหยียนจะอาศัยนามของท่านปู่มาเชิญพวกเรากลับไปหรือเจ้าคะ”
“จวนจงอี้ป๋อน่าชิงชังเกินไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าเพื่อให้ได้หยกมังกรจะถึงกับพูดจาโป้ปดเช่นนี้”
“หากคราแรกคนที่ช่วยอู่หยางโหวคือท่านป๋อ อู่หยางโหวคงไม่สะดวกที่จะบิดพลิ้วไม่ตอบรับการแต่งงาน ดังนั้นจวนจงอี้ป๋อจึงเกิดความละโมบต่อหยกมังกรครึ่งซีกนั่น” ฉู่อวิ๋นจิ้งเพียงพูดส่งเดชอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน โดยคิดไม่ถึงสักนิดว่าจวนจงอี้ป๋อมีความคิดจะแย่งชิงการแต่งงานนี้ไปจริงๆ
เหลียนอวี้จูแค่นเสียงเย็นอย่างดูแคลน “จวนจงอี้ป๋อช่างกล้าคิดยิ่งนัก ทว่าจวนอู่หยางโหวหาใช่ชนชั้นสูงทั่วไป มิใช่เพียงตามตอแยก็สามารถเกี่ยวข้องได้”
ฉู่อวิ๋นจิ้งตบหน้าอกตนเองพลางกล่าวอย่างโอ้อวด “ยังดีที่พวกเราไม่คิดตามตอแย”
“พ่อเจ้าทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้นไม่ได้หรอก แต่หากจวนอู่หยางโหวยืนกรานจะทำตามคำสัตย์เล่า” มิใช่ว่าเหลียนอวี้จูคะนึงถึงการแต่งงานกับจวนอู่หยางโหวครั้งนี้ไม่รู้ลืม แต่เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองยืนด้วยกันแล้วเหมาะสมราวกับคู่จากสวรรค์เช่นนี้ ซ้ำท่าทีของเซียวอวี้ก็ชวนให้คนรู้สึกว่ามีโอกาส นางย่อมหักใจให้บุตรสาวพลาดการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนแรกนางคงไม่ไปปรามบุตรสาวไม่ให้คิดถึงการแต่งงานครั้งนี้
ฉู่อวิ๋นจิ้งอดกลอกตาไปมาไม่ได้ พูดไปมากมาย อ้อมไปวงใหญ่ ไยท่านแม่จึงไม่ตัดใจเสียที
เห็นท่าทางของบุตรสาวเหลียนอวี้จูก็ผ่อนลมหายใจออกเนิบช้า เอ่ยอย่างนุ่มนวลอ้อมค้อม “แม่แค่อยากบอกเจ้าว่าอย่าอยากเอาชนะเกินไปถึงขั้นไม่ยอมให้ผู้อื่นนินทาว่าเจ้าไม่ประมาณตน จนต้องผลักไสการแต่งงานดีๆ ไปเช่นนี้”
เนื้อแท้ของนิสัยฉู่อวิ๋นจิ้งก็แฝงความทะนงตนไม่ยอมแพ้ไว้จริงๆ
เหลียนอวี้จูตบไหล่บุตรสาวเบาๆ “เรื่องนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน มิใช่ว่าต้องแต่งกับคนอื่นแล้วเสียหน่อย”
“นั่นสิเจ้าคะ ท่านพ่อยังไม่กลับมา พวกเราก็ไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องงานแต่ง”
“พ่อเจ้าจะกลับมาแน่ใช่หรือไม่”
“จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวง ย่อมจะสืบหาข่าวคราวของท่านพ่อได้ง่ายดายกว่า เชื่อว่าไม่นานจะต้องพบตัวท่านพ่อแน่” ด้วยไม่อยากเห็นมารดาต้องเป็นทุกข์นางจึงไม่พูดให้ชัดเจนถึงอันตรายที่บิดากำลังเผชิญอยู่ แต่อย่างน้อยก็ควรเปิดเผยอะไรไปบ้าง อย่างเช่นเรื่องที่บิดานั่งเรือโดยสารกลับเมืองหลวงเงียบๆ สิ่งนี้ก็เพื่อให้มารดาคลายกังวล
เป็นอย่างที่คิดไว้…ระยะนี้มารดามีรอยยิ้มมากขึ้นจริงๆ
เมื่อฉุกคิดได้ว่ากลับเมืองหลวงง่ายต่อการสืบหาข่าวคราวของสามี ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ของเหลียนอวี้จูก็ลดน้อยลง รีบไปจัดเก็บสัมภาระจะดีกว่า